17 พ.ค. 2023 เวลา 05:08 • หนังสือ

#25 HWG. — บทที่ 1️⃣5️⃣ (ส่วนที่ 2)

“ความตายเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ มันน่าตื่นเต้น น่าทึ่ง และน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆...𝗯𝘂𝘁 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘁𝘄𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘆𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘁𝘁𝘆 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘁𝗽𝗼𝗻𝗲𝗱 𝘂𝗻𝘁𝗶𝗹 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿.
N : ตกลงครับ...แต่ตอนนี้มีสองอย่างแล้วนะครับที่พระองค์บอกว่ามันค่อนข้างสำคัญและพระองค์จะพูดถึงมันในภายหลัง
𝗘𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝗱 𝗮𝗻 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗮 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝗵𝗼𝗰𝗸 𝗺𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗻𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗹𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲 '𝗴𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝘁.
ก่อนหน้านี้พระองค์บอกว่าพระองค์มีคำตอบสำหรับคำถามที่อาจทำให้ผมต้องตกใจ และพระองค์ก็บอกว่าพระองค์ต้องการ 'ปูพื้นฐาน' ให้ผมก่อนที่จะตอบคำถามนั้น
𝗡𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗮𝗹 𝘁𝗼 𝗺𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 '𝘁𝗵𝗲 𝗛𝗼𝗹𝘆 𝗜𝗻𝗾𝘂𝗶𝗿𝘆' 𝗶𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 '𝗽𝘂𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗯𝘂𝗶𝗹𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗹𝗼𝗰𝗸𝘀 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲.' 𝗦𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗶𝗴𝘂𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗿𝗲.
และตอนนี้พระองค์ก็กำลังบอกกับผมว่าพระองค์กำลังจะเปิดเผยให้ผมรู้ว่า “การไต่ถามอันศักดิ์สิทธิ์” นั้นคืออะไร แต่ต้องเป็นหลังจากที่พระองค์ปูพื้นฐานให้ผมก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนั้น อีกแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกคันที่หัวใจจริงๆ (อยากรู้จนจะทนไม่ไหว)
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗶𝗴𝘂𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗶𝗴𝘂𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗼𝘁𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹."
G : ก็นะ, เพราะความตายเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ มันน่าตื่นเต้น น่าทึ่ง และน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗶𝗳 𝗚𝗼𝗱 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗼 𝗴𝗿𝗲𝗲𝘁 𝗠𝗼𝗺, 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗶𝗱 𝗚𝗼𝗱 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲? 𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗺𝗲𝗲𝘁 𝘆𝗼𝘂, 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗜 𝗯𝗲 𝗮𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘇𝗲 𝘆𝗼𝘂?
N : ถ้าพระเจ้าอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับแม่ของผม งั้นช่วยบอกผมหน่อยสิครับว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร❓ ผมหมายถึง ตอนที่ผมได้พบกับพระองค์ ผมจะจำพระองค์ได้ไหมครับ❓
𝗚 : "𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲?"
G : เธออยากให้ฉันหน้าตาเป็นยังไงล่ะ❓
𝗡 : 𝗜 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗜 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲?
N : ผมเดาว่าพระองค์จะมีหน้าตาหรือดูเหมือนกับอะไรก็ได้ตามที่ผมต้องการงั้นเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀. 𝗔𝘀 𝗶𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲. 𝗬𝗲𝘀, 𝘆𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝗺𝗼𝗿𝗲, 𝘆𝗲𝘀.
G : ถูกต้อง เช่นเดียวกับทุกสิ่ง เธอจะได้รับในสิ่งที่เธอเลือก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ใช่ ใช่ และอีกครั้ง ใช่แล้ว
𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗠𝗼𝘀𝗲𝘀, 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗠𝗼𝘀𝗲𝘀. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗝𝗲𝘀𝘂𝘀, 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗝𝗲𝘀𝘂𝘀. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗠𝘂𝗵𝗮𝗺𝗺𝗮𝗱, 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗠𝘂𝗵𝗮𝗺𝗺𝗮𝗱. 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁, 𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗳𝗼𝗿𝘁𝗮𝗯𝗹𝗲 𝗶𝗻 𝗠𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲
ถ้าเธอเลือกให้ฉันดูเหมือนโมเสส ฉันจะดูเหมือนโมเสส ถ้าเธอคาดหวังให้ฉันดูเหมือนเยซู ฉันก็จะดูเหมือนเยซู ถ้าเธออยากให้ฉันดูเหมือนมูฮัมหมัด ฉันก็จะดูเหมือนมูฮัมหมัด ไม่ว่าเธอคาดหวังให้ฉันเป็นแบบไหน ฉันก็จะเป็นแบบนั้น หรือเป็นรูปแบบที่จะทําให้เธอรู้สึกสบายใจต่อการแสดงตัวของฉัน
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗳 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝗚𝗼𝗱 𝗹𝗼𝗼𝗸𝘀?
N : แล้วจะเป็นยังไงถ้าผมไม่มีแนวคิดใดๆเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของพระเจ้า❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗮 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗮𝗱. 𝗜𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗿𝘀𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗮 𝘄𝗮𝗿𝗺 𝗯𝗮𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁, 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗰𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗹𝗼𝘃𝗲.
G : ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันจะเป็นความรู้สึก ฉันจะเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เธอเคยมี มันจะรู้สึกราวกับว่าเธอถูกแช่และเอิบอาบอยู่ในแสงอันอบอุ่นสบาย ราวกับว่าเธอกำลังถูกโอบกอดด้วยความรัก
"𝗢𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗻𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗮 𝗰𝗼𝗰𝗼𝗼𝗻, 𝗼𝗿 𝘀𝘂𝘀𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗮 𝘄𝗲𝗶𝗴𝗵𝘁𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗴𝗹𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗮𝗶𝗻𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗮𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲, 𝘂𝗻𝗰𝗼𝗻𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗽𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗳 𝗜 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗻 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗿𝗺.
𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗲𝗹𝘁 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗺𝗲 𝗶𝗻 𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝘀𝗵𝗮𝗽𝗲 𝗼𝗿 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝘄𝗵𝗮𝘁𝘀𝗼𝗲𝘃𝗲𝗿.
หรือเธออาจรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังถูกห่อหุ้มอยู่ในรังไหม หรือแขวนลอยอยู่ในภาชนะไร้น้ำหนักที่เรืองแสงอันบริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งเป็นความรู้สึกได้รับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เธอจะได้รับประสบการณ์ถึงความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ก่อนเป็นอันดับแรกในตอนที่ฉันปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์บางอย่างให้เธอเห็น และในท้ายที่สุดรูปลักษณ์นั้นก็จะละลายหายไปกลายเป็นความรู้สึกล้วนๆ และเธอก็ไม่จำเป็นต้องเห็นฉันในรูปลักษณ์หรือในรูปแบบใดๆอีกต่อไป
"𝗬𝗲𝘁 𝗻𝗼𝘄 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗚𝗼𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝗶𝗻 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
𝗦𝗼, 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗺𝗮𝘆 𝘀𝘂𝗿𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝘀𝗺𝗶𝘀𝘀 𝗶𝘁, 𝗱𝗼𝘄𝗻𝗽𝗹𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗶𝘁 𝗮𝗻 𝗵𝗮𝗹𝗹𝘂𝗰𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗼𝗿 𝗱𝗶𝘀𝗿𝗲𝗴𝗮𝗿𝗱 𝗶𝘁 𝗮𝗹𝘁𝗼𝗴𝗲𝘁𝗵𝗲𝗿."
แต่ในตอนนี้ ให้เธอระลึกถึงสิ่งที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า #มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตายโดยปราศจากพระเจ้า #แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคิดว่าเป็นเช่นนั้น เธออาจคิดอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการในระยะที่สองของความตาย ดังนั้น พลังงานจากแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของฉันอาจอยู่รอบตัวเธอ แต่เธออาจเลือกที่จะมองข้ามมัน หรือรู้สึกอยู่แต่ก็ไม่ให้ค่าความรู้สึกนั้นเพราะคิดว่าตัวเองคงรู้สึกหลอนไปเอง หรือไม่ก็ไม่สนใจเลย (คือทั้งมองข้าม และ เพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้น)
𝗡 : 𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗱𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁. 𝗪𝗵𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗜 𝗱𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁?
N : ผมไม่มีวันทำอะไรอย่างนั้นหรอกครับ ผมจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗱𝗼𝗻𝗲 𝗶𝘁 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗱𝗼 𝗶𝘁 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵?"
G : เธอทำอย่างนั้นมาหลายครั้งแล้วนะในช่วงชีวิตนี้ของเธอ อะไรทำให้เธอคิดว่าเธอจะไม่ทำอย่างนั้นหลังจากที่เธอตายล่ะ❓
𝗡 : 𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗯𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿. 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝗜'𝗺 𝗱𝗲𝗮𝗱, 𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗯𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿. 𝗕𝗲𝘀𝗶𝗱𝗲𝘀, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜'𝗺 𝗱𝗲𝗮𝗱, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗶𝘁 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗼 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗚𝗼𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗮𝗺 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗜 𝗮𝗺 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂, 𝘄𝗲𝗹𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝗛𝗼𝗺𝗲.
N : เพราะในตอนที่ผมตาย ผมคงจะเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ผมหวังว่างั้นนะครับ นอกจากนี้ ในตอนที่ผมตาย พระองค์คงบอกกับผมอย่างชัดเจนว่าพระองค์คือพระเจ้า ว่าผมเป็นที่รัก และประสบการณ์ที่ผมกำลังมีอยู่นี้ก็คือพระองค์ กำลังต้อนรับผมกลับบ้าน
𝗚 : "𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝗺𝗲
G : ฟังฉันนะ
"𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝗮𝗱𝗷𝘂𝘀𝘁𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗳𝗶𝗻𝗲-𝘁𝘂𝗻𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗱𝘂𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗻𝗼𝗻𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱,
𝘀𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴, 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺.
ความตายเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ มันจะมีการปรับเปลี่ยนทางพลังงานในช่วงเวลาของสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” นั่นก็คือการปรับแต่งอันละเอียดอ่อนของพลังงานในช่วงเวลาแห่งความตายนั้นก่อให้เกิดการทำสำเนาตัวเธอให้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่เธอเพิ่งเข้ามา★ เพื่อที่เธอจะยังคงสามารถมีประสบการณ์ถึงสิ่งที่เธอกำลังสร้างขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่เธอกำลังเคลื่อนย้ายเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง
★หรือก็คือกระบวนการจุติหรือการเกิดของเราในโลกวิญญาณนั่นเอฃครับ เพราะร่างวิญญาณที่อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ กับ ร่างทางกายภาพที่อาศัยอยู่ในโลกทางกายภาพนั้นใช้พลังงานเพื่อการดำรงอยู่แตกต่างกัน –ผู้แปล–
(𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝘀 𝗮𝘁 𝗯𝗶𝗿𝘁𝗵, 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲. 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗼𝗿𝗻, 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗯𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀𝗳𝗼𝗿𝗺𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝗮𝘁𝘁𝘂𝗻𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁,
𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗱𝘂𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱.)
(กระบวนการแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในตอนที่เธอเกิดเช่นกัน แต่เป็นไปในทางตรงกันข้าม ในตอนที่เธอเกิด พลังงานที่ติดตัวเธอมาจากโลกวิญญาณจะถูกแปลงให้กลายเป็นสสารด้วยกระบวนการปรับเปลี่ยนทางพลังงานนี้ ซึ่งก่อให้เกิดการทำสำเนาตัวเธอให้เกิดขึ้นในโลกทางกายภาพที่เธอเพิ่งเข้ามา –หรือก็คือกระบวนการที่ทำให้เธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพได้นั่นเอง)
"𝗥𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿: 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗮 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗹𝗸 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝗱𝗲𝘁𝗲𝗿𝗺𝗶𝗻𝗲𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲.
𝗡𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗿𝗲-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗲𝘄 𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 (𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗶𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲), 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗶𝗻𝗶𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗶𝗻𝗶𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.
จำสิ่งที่ฉันพูดไว้เมื่อกี้นี้ให้ดี : เพราะความตายคือทางเข้า-ออก (ประตูระหว่างสองโลก) และพลังงานที่เธอใช้ในตอนที่เดินผ่านประตูนั้นจะกำหนดสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตู มาถึงตรงนี้ เธอจึงสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อที่เธอเลือก (เช่นเดียวกับที่เธอทำในชีวิต) แต่ที่นั่น ณ โลกวิญญาณนั้น สิ่งแรกที่เธอจะได้พบก็คือสิ่งที่เธอคาดหวังไว้หรือเชื่อว่าจะเจอ
2
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗱, 𝗚𝗼𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗚𝗼𝗱—𝗮𝗻𝘆 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲.
หากเธอไม่เชื่อในพระเจ้า และเข้าสู่ความตายโดยไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะยังคงอยู่ที่นั่นแต่เธอจะไม่มีประสบการณ์ถึงพระเจ้า – มากไปกว่าประสบการณ์ที่เธอมีเกี่ยวกับพระองค์ในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
"𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗚𝗼𝗱 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁.
เธอจำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเพื่อให้เธอสามารถมีประสบการณ์ถึงการสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนั้นของพระเจ้าได้
(เธอจำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้าสำแดงตัวเองออกมาเพื่อให้เธอสามารถมีประสบการณ์ถึงพระเจ้าที่กำลังสำแดงตัวอยู่นั้นได้)
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗮 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗚𝗼𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗢𝘁𝗵𝗲𝗿𝘄𝗶𝘀𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗲 𝗮 𝘄𝗲𝗲𝗱.
หากเธอมองดูดอกไม้และรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น เธอก็จะเห็นพระเจ้าอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่เห็นอะไรที่มากไปกว่าดอกไม้ดอกหนึ่ง เธออาจเห็นว่ามันเป็นวัชพืชด้วยซ้ำ (ไม่ใช่แม้แต่ดอกไม้อันงดงาม)
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗚𝗼𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗢𝘁𝗵𝗲𝗿𝘄𝗶𝘀𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗲 𝗮 𝘃𝗶𝗹𝗹𝗮𝗶𝗻.
หากเธอมองเข้าไปในดวงตาของผู้อื่นและรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น เธอก็จะเห็นพระเจ้าอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่เห็นอะไรที่มากไปกว่ามนุษย์คนหนึ่ง เธออาจเห็นว่าเขา/เธอเป็นผู้ร้ายด้วยซ้ำ
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗮 𝗺𝗶𝗿𝗿𝗼𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗚𝗼𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗢𝘁𝗵𝗲𝗿𝘄𝗶𝘀𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗴𝘂𝗿𝗲 𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗼'𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗲 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗼 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻."
หากเธอส่องกระจกแล้วมองเข้าไปในดวงตาของตัวเองและรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น เธอก็จะเห็นพระเจ้าอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่เห็นอะไรที่มากไปกว่าใครสักคนที่กำลังพยายามคิดหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใคร เธออาจเห็นแม้กระทั่งว่านั่นคือคนที่ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น (ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หรือ เป็นอะไรกันแน่)
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱 𝗱𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝗿𝗲𝘀𝗰𝘂𝗲 𝗺𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗺𝘆 𝗼𝘄𝗻 '𝘂𝗻𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴'?
N : พระองค์หมายความว่าแม้พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจาก “ความไม่รู้” ของตัวผมเองได้งั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 '𝗿𝗲𝘀𝗰𝘂𝗶𝗻𝗴' 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗱𝗮𝘆 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝘂𝗻𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴. 𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝘀?"
G : พระเจ้านั้นกำลัง “ช่วย” เธออยู่ในทุกๆวันให้เธอหลุดพ้นจากความไม่รู้ของตัวเธอเอง เธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า❓ เธอรู้สึกถึงความช่วยเหลือของฉันได้ใช่ไหม❓
𝗡 : 𝗜 𝘀𝘂𝗽𝗽𝗼𝘀𝗲.
N : ผมคิดว่าผมรู้และก็รู้สึกได้นะครับว่าพระเจ้ากำลังช่วยผมอยู่
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗱𝗼?"
G : เธอรู้สึกแบบนั้นได้ทุกวันไหม❓
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀.
N : เอ่อ, บางวันก็รู้สึกได้ บางวันก็ไม่ครับ
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗦𝗼𝗺𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗶𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗱𝗼𝗻'𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲, 𝘀𝗼 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝘁 𝗯𝗲 𝗱𝗼𝗻𝗲 𝘂𝗻𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂."
G : ในทันทีหลังจากการตายก็เหมือนกันนั่นแหละ บางครั้งผู้คนก็รู้ บางครั้งก็ไม่รู้ ว่าพระเจ้ากำลังอยู่ที่นั่นเพื่อให้ความช่วยเหลือพวกเขา และเมื่อเธอมีความเชื่ออย่างไร มันก็จะเป็นไปในแบบที่เธอเชื่อ
𝗡 : 𝗕𝗼𝘆, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝗺𝗲𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲. 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗼𝗱'𝘀 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗮𝗰𝘁 𝗮𝘀 𝗮𝗻 '𝗼𝘃𝗲𝗿𝗿𝗶𝗱𝗲,' 𝗼𝗯𝗹𝗶𝘁𝗲𝗿𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗯𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝗶𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗔𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲 𝗚𝗹𝗼𝗿𝘆.
N : นี่มันคำตอบอะไรกันครับ ผมคาดหวังมากกว่านั้นนะครับ ผมคาดหวังว่าพระองค์จะบอกผมว่าการปรากฏตัวของพระเจ้าในชีวิตหลังความตายจะสามารถ “แทนที่” และลบล้างความเชื่อที่กีดขวางการไม่รู้ความจริงทั้งหมดของเราได้ และเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความตายนั้นด้วยความรุ่งโรจน์สูงสุด
𝗚 : "𝗚𝗼𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗔𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲 𝗚𝗹𝗼𝗿𝘆, 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗴𝗹𝗼𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗰𝘁 𝗼𝗳 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗚𝗼𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗹𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵.
G : พระเจ้าจะเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความตายนั้นด้วยความรุ่งโรจน์สูงสุด เพราะไม่มีอะไรจะรุ่งโรจน์มากไปกว่าการสร้างสรรค์อันบริสุทธิ์ (การสร้างด้วยตัวของเธอเอง) และพระเจ้าจะอนุญาตให้เธอสร้างในสิ่งที่เธอปรารถนาไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามในช่วงเวลาแห่งความตายของเธอ
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗶𝗻 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗜𝗻 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗮 𝗹𝗮𝗿𝗴𝗲𝗿 𝗧𝗿𝘂𝘁𝗵 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂—𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗶𝘁.
𝗙𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗚𝗼𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁. 𝗬𝗲𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘀𝘁𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะที่สองของความตาย และในระยะที่สาม เธอจะได้รู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับตัวตนของเธอ —จากนั้นเธอจะจดจำถึงวิธีการสร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง เพราะเธอเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าเธอจะยังคงจินตนาการว่าเธอไม่ใช่พระเจ้าอยู่อย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่เธอก็ยังคงสามารถสร้างประสบการณ์อะไรก็ได้ตามที่เธอปรารถนาได้อยู่ดี
"𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗻𝗼𝘄, 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀: 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝘀𝘁 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘄, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗶𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗵𝗼𝗽𝗲."
มาถึงตรงนี้ เธอจงทำความเข้าใจถึงเรื่องนี้ให้ดี : ประสบการณ์หลังความตายแรกสุดของเธอคือบางสิ่งที่เธอกำลังสร้างขึ้นที่นี่ในขณะนี้ (ในตอนที่กำลังมีชีวิตอยู่นี่) และเธอก็จะสร้างมันต่อไปที่นั่นและตอนนั้น ด้วยความคิด (ความเชื่อ) และความหวังว่าเธอจะได้เจอกับอะไรหลังจากที่เธอตาย
"𝗛𝗼𝗽𝗲' 𝗽𝗹𝗮𝘆𝘀 𝗮 𝗿𝗼𝗹𝗲."
“ความหวัง” นั้นมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
"𝗥𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘁𝗼𝗹𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘀𝘂𝗿𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗴𝗲𝗹𝘀.
𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗺𝗲𝗲𝘁 𝗠𝘂𝗵𝗮𝗺𝗺𝗮𝗱, 𝗠𝘂𝗵𝗮𝗺𝗺𝗮𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗴𝘂𝗶𝗱𝗲 𝘆𝗼𝘂. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗝𝗲𝘀𝘂𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗝𝗲𝘀𝘂𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗢𝗿 𝗟𝗼𝗿𝗱 𝗞𝗿𝗶𝘀𝗵𝗻𝗮. 𝗢𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗮. 𝗢𝗿 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗟𝗼𝘃𝗲.
จำสิ่งที่ฉันบอกเธอก่อนหน้านี้ได้ไหมว่า : หากเธอหวังไว้มากให้ใครสักคนมาช่วยเธอ เธอก็จะถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าคนที่เธอรักและเหล่าทูตสวรรค์ หากเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับมูฮัมหมัด มูฮัมหมัดก็จะมานำทางเธอ หากเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยซูจะอยู่ที่นั่น ในตอนนั้น เยซูก็จะอยู่ที่นั่น หรือกฤษณะ หรือพระพุทธเจ้า หรือแค่แก่นแท้ของความรักอันบริสุทธิ์ ก็จะอยู่ที่นั่น
"𝗛𝗼𝗽𝗲 𝗽𝗹𝗮𝘆𝘀 𝗮 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝗿𝗼𝗹𝗲 𝗶𝗻 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻 '𝗹𝗶𝗳𝗲.' (𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲, 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲.) 𝗡𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝘂𝗽 𝗵𝗼𝗽𝗲. 𝗡𝗲𝘃𝗲𝗿. 𝗛𝗼𝗽𝗲 𝗶𝘀 𝗮 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗵𝗶𝗴𝗵𝗲𝘀𝘁 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗿𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗻𝗻𝗼𝘂𝗻𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗴𝗿𝗮𝗻𝗱𝗲𝘀𝘁 𝗱𝗿𝗲𝗮𝗺. 𝗛𝗼𝗽𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁, 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝗗𝗶𝘃𝗶𝗻𝗲."
ความหวังมีบทบาทอันน่าอัศจรรย์ทั้งใน “ความตาย” และใน “ชีวิต” (แน่นอนว่าความหวังมีบทบาทเหมือนกันทั้งในชีวิตและความตาย) จงอย่าหมดหวัง จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าให้สิ่งก็ตามมาทำให้เธอสิ้นหวัง ความหวังคือคำแถลงการณ์ถึงความปรารถนาอันสูงสุดของเธอ มันคือการประกาศถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ #เพราะความหวังคือความคิดที่มาจากพระเจ้า
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁? 𝗛𝗼𝗽𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁, 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝗗𝗶𝘃𝗶𝗻𝗲. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁!
N : โอ้ ช่างเป็นคำกล่าวที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้ ความหวังคือความคิดที่มาจากพระเจ้า❓ นั่นเป็นคํากล่าวที่วิเศษมากจริงๆครับ❗ ไม่มีคำกล่าวไหนจะสมบูรณ์แบบมากไปกว่านี้อีกแล้ว
𝗚 : "𝗦𝗶𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵, 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝟭𝟬𝟬 𝘄𝗼𝗿𝗱 𝗙𝗼𝗿𝗺𝘂𝗹𝗮 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗟𝗶𝗳𝗲' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗽𝗿𝗼𝗺𝗶𝘀𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂."
G : เนื่องจากเธอชอบคำกล่าวนั้นมาก ดังนั้น นี่คือ “สูตร 100 คำสำหรับทั้งชีวิต” ที่ฉันเคยสัญญากับเธอไว้
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝘆𝗲𝘀, 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗹𝗮𝘆𝗲𝗱 𝗽𝗿𝗼𝗺𝗶𝘀𝗲𝘀!
N : โอ้ ใช่ครับ มันเป็นหนึ่งในคำสัญญาที่ถูกเลื่อนไปก่อนของพระองค์❗ (ที่พระองค์บอกว่าจะตอบแต่ขอปูพื้นฐานก่อน)
𝗚 : "𝗛𝗼𝗽𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳, 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴, 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : “ความหวัง” คือประตูสู่ 'ความเชื่อ' ความเชื่อคือประตูสู่ 'การรู้' การรู้คือประตูสู่ 'การสร้างสรรค์' และ การสร้างสรรค์คือประตูสู่ 'ประสบการณ์'
"𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗰𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗟𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗚𝗼𝗱.
ประสบการณ์คือประตูสู่ 'การแสดงออก' การแสดงออกคือประตูสู่ 'การเป็น' การกลายเป็น (บางสิ่ง) คือ 'กิจกรรม' ของทุกสรรพชีวิต และ 'เป็นหน้าที่' เพียงหนึ่งเดียวของพระเจ้า
"𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗼𝗽𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗸𝗻𝗼𝘄, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲,
𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗼𝗿𝗺𝘂𝗹𝗮 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲.
สิ่งที่เธอหวัง ในที่สุดเธอก็จะเชื่อ สิ่งที่เธอเชื่อ ในที่สุดเธอก็จะรู้ สิ่งที่เธอรู้ในที่สุดเธอก็จะสร้าง สิ่งที่เธอสร้าง ในที่สุดเธอจะได้รับประสบการณ์ สิ่งที่เธอได้รับประสบการณ์ ในที่สุดเธอก็จะแสดงออก สิ่งที่เธอแสดงออก ในที่สุดเธอก็จะกลายเป็น (สิ่งนั้น) นี่คือสูตรสำหรับทั้งชีวิต
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝘀 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝗲 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁."
สูตรแห่งชีวิตนั้นเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
𝗡 : 𝗜 𝗹𝗼𝘃𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗴𝗶𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝘂𝘀𝗲 𝘀𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗰𝗶𝗻𝗰𝘁𝗹𝘆. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝗴𝗶𝗳𝘁! 𝗣𝗼𝗲𝘁𝘀 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗯𝗲𝗿𝘁 𝗙𝗿𝗼𝘀𝘁 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝘂𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗴𝗶𝗳𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼𝗻𝗴 𝘄𝗿𝗶𝘁𝗲𝗿𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝗽𝗹𝗮𝘆𝘄𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝗮𝘂𝘁𝗵𝗼𝗿𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝗺𝗲𝘀𝘀𝗲𝗻𝗴𝗲𝗿𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗲𝗮𝗰𝗵𝗲𝗿𝘀.
𝗜 𝗹𝗼𝘃𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗽𝗼𝗲𝘁. 𝗟𝗶𝘀𝗲𝗹 𝗠𝘂𝗲𝗹𝗹𝗲𝗿, 𝗽𝘂𝘁 𝗶𝗻 𝗮 𝗳𝗿𝗲𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗽𝗼𝗲𝗺 𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝗹𝗲𝗱 '𝗛𝗼𝗽𝗲.""
N : ผมนี่รักเลยเวลาที่ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมดถูกสรุปออกมาได้อย่างรวบรัด นี่มันคือของขวัญชัดๆ❗ กวี อย่างโรเบิร์ต ฟรอสต์ ให้ของขวัญชิ้นนั้นแก่เรา เขายังเป็นนักแต่งเพลง นักเขียนบทละคร นักเขียน ผู้ส่งสาร และอาจารย์อีกด้วย และผมยังรักบทกวีที่ชื่อ “ความหวัง” ที่แต่งโดย ลิเซล มูเอลเลอร์
𝗦𝗵𝗲 𝘀𝗮𝘆𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗼𝗽𝗲 '𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝘂𝗻𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗮𝗶𝗹 𝗼𝗳 𝗮 𝗱𝗼𝗴.' 𝗜𝘀𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁? 𝗗𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗰𝗮𝗽𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗶𝘁? 𝗛𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗰𝗲𝗽𝘁 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗵𝗲𝗿 𝗹𝗮𝗿𝗴𝗲𝗿 𝘄𝗼𝗿𝗸:
เธอบอกว่าความหวังคือ “การเคลื่อนไหวที่เลื่อนไหลจากดวงตาไปยังหางของสุนัข” นั่นมันเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรือครับ❓ นั่นมันบ่งบอกได้ถึงแก่นสำคัญแล้วมิใช่หรือ❓ นี่คือผลงานชั้นยอดชิ้นหนึ่งของเธอ :
𝗛𝗢𝗣𝗘...
ความหวัง...
...𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝘂𝗻𝘀
...คือการเคลื่อนไหวที่เลื่อนไหล
𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗮𝗶𝗹 𝗼𝗳 𝗮 𝗱𝗼𝗴,
จากดวงตาไปยังหางของสุนัข
[ความหวังของสุนัขมีเพียงแค่การได้เห็นเจ้านายของตนเอง เมื่อได้เห็น หางจึงกระดิกรัวๆด้วยความดีใจ]
𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘂𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗻𝗳𝗹𝗮𝘁𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝘂𝗻𝗴𝘀
มันคือปากที่ขยายปอด
𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗶𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝘀 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗯𝗼𝗿𝗻.
ของทารกที่เพิ่งเกิด
[ความหวังในการมีชีวิตทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้า ปอดจึงขยายตัว]
𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗴𝗶𝗳𝘁
เป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียว
𝘄𝗲 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝗱𝗲𝘀𝘁𝗿𝗼𝘆 𝗶𝗻 𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀,
ที่เราทําลายด้วยตัวเองไม่ได้
[ความหวังและความฝันเป็นของขวัญเพียงชื้นเดียวที่ไม่ได้ถูกทำลายด้วยตัวเราเอง แต่ถูกทำลายด้วยคนอื่น เราไม่เคยทำให้ตัวเองสิ้นหวัง แต่เราถูกคนอื่นทำให้สิ้นหวัง]
𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗿𝗴𝘂𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗲𝗳𝘂𝘁𝗲𝘀 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵,
คำแถลงการณ์ว่าความตายไม่มีอยู่จริง
[เราทุกคนมีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งนั่นได้มอบความหวังให้กับมนุษย์ทุกคน]
𝘁𝗵𝗲 𝗴𝗲𝗻𝗶𝘂𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗻𝘃𝗲𝗻𝘁𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝘂𝘁𝘂𝗿𝗲,
อัจฉริยภาพในการบ่งบอกวิธีสร้างอนาคต
[ด้วยความคิด คำพูด และการกระทำ นั่นทำให้เราสามารถสรรค์สร้างอนาคตแบบใดก็ได้ที่ตนต้องการ]
𝗮𝗹𝗹 𝘄𝗲 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗼𝗳 𝗚𝗼𝗱.
นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้เกี่ยวกับพระเจ้า
[แต่ยังมีอีกมากมายที่เราไม่รู้ ,ลืม-ยังจำไม่ได้ในตอนนี้]
(((จบบทที่ 15)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา