บุคคลผู้มีความยึดมั่นถึอมั่นตนเอง

โยมถาม :
คนทุศีลที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตนเองสูงส่ง ความจริงแล้วเขามาจากภพภูมิไหนกันแน่ครับ
พระอาจารย์ตอบ :
ความถือตัวไม่ใช่สิ่งที่จะละกันได้ง่าย ๆ แม้ผู้ที่ตั้งใจเป็นกุศลแล้ว ความถือตัวก็ยังมีอยู่ ยกตัวอย่าง เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่คราวหนึ่ง พระสารีบุตรกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะนำศิษย์ออกปฏิบัติศาสนกิจไปยังสถานที่อื่น ก็กราบลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งพระผู้ใหญ่รูปอื่น ๆ ทั้งพระโมคคัลลานะ พระอานนท์ พระอุบาลี
จากนั้น ท่านก็เดินออกไป มีพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านคาดหวังว่า พระสารีบุตรน่าจะเข้ามาลาตนเองก่อน เพราะตนเองก็เป็นพระผู้ใหญ่ในวงสงฆ์เช่นกัน แต่เนื่องจากมีพระผู้ใหญ่จำนวนมาก ครั้นจะให้กล่าวทักทายให้ครบทุกรูปนั้นไม่ได้ พระสารีบุตร เอ่ยปากร่ำลาให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วแล้วจึงเดินออกมา
พระสงฆ์รูปนั้นเกิดความรู้สึกหงุดหงิดใจว่า ทำไมพระสารีบุตรไม่กล่าวลาท่าน ไม่ให้เกียรติกันเลย ก็เกิดความอึดอัดขี้นในใจ จึงเข้าไปกราบทูลฟ้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรทำจีวรสังฆาฏิกระทบตนเองแล้วไม่กล่าวขอโทษ ถือตนว่าเป็นอัครสาวก พอหงุดหงิดไม่พอใจ ก็หาเรื่องมาใส่ร้ายท่าน ทั้งที่มีเจตนาดีมาบวชแล้ว ใจเป็นกุศลนั้นมี แต่กิเลสยังไม่หมด
เพราะฉะนั้น ถึงคราวที่อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ความคิดร้ายก็เกิดขึ้นทันที คนเราเป็นอย่างนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ความจริงด้วยข่ายพระญาณของพระองค์อยู่แล้ว แต่พระองค์ต้องการให้ความจริงประจักษ์จึงเรียกประชุมสงฆ์ ให้คนไปตามพระสารีบุตรกลับมา พอมาถึงพระองค์ตรัสถามพระสารีบุตรว่า พระสงฆ์รูปนี้ว่าท่านทำชายจีวรกระทบแล้วไม่กล่าวขอโทษ เพราะหยิ่งว่าตนเป็นอัครสาวกใช่หรือไม่
พระสารีบุตรตอบว่า
“พระพุทธเจ้าค่ะ... ข้าพระองค์บวชมานาน มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนโคที่เขาขาดแล้ว เป็นเหมือนเด็กจัณฑาลที่หลงเข้าไปในบ้าน”
ความจริงแล้วโคมีเขาแหลมคมเป็นอาวุธ พร้อมจะไล่ขวิดสัตว์ตัวอื่นเสมอ แต่เมื่อใดที่โคดุถูกตัดเขาที่แหลมคมของมันออกไป มันจะหงอยลงทันที เพราะรู้สึกว่าไม่มีดีให้ถือเสียแล้ว พระสารีบุตรเปรียบตนเองเป็นเหมือนโคที่เขาขาดแล้ว ไม่มีอะไรจะมาถือดีแล้ว
และยังเปรียบตนเองเป็นเหมือนเด็กจัณฑาลที่หลงเข้าไปในบ้าน ใครเห็นเข้าก็กลัวเสนียดจะติด แค่มองก็ต้องเอาน้ำมาล้างตาแล้ว ถามว่าเด็กจัณฑาลจะไปหยิ่งยโสอะไรได้ เหมือนผ้าขี้ริ้วที่ไว้ใช้เช็ดพื้น เหมือนคนที่กำลังประคองหม้อน้ำมันที่เต็มล้นอยู่แล้วมีคนถือดาบจ่อข้างหลัง บอกว่าถ้าทำน้ำมันหกจะฟันทิ้งเสีย ก็ต้องประคองหม้อน้ำมันด้วยความมีสติไปอย่างนั้น
พระสารีบุตรเปรียบเปรยตนเองอย่างนั้น แทนที่ท่านจะบอกว่า “ท่านไม่ได้ทำ” ก็ฟังเหมือนเป็นการแก้ตัว จึงเปรียบเปรยว่าท่านมีวัตรปฏิบัติรักษาตนเองอย่างไร
พอพระภิกษุที่ใส่ความท่านได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการเร่าร้อนในตัวขึ้นมาจนทนไม่ไหว ด้วยคุณธรรมความดีของพระสารีบุตร ต้องกราบขอขมาลาโทษว่า “ข้าพเจ้าใส่ความพระสารีบุตร”
1
ความจริงแล้วพระท่านมีใจเป็นกุศลถึงได้มาบวช สุดท้ายพอพระสารีบุตรพูดอย่างนี้ ก็ยังยอมขอขมาลาโทษเพราะสำนึกผิด แสดงว่าพื้นใจท่านเป็นคนดี แต่มีความถือตัว พอความหงุดหงิดใจเกิดขึ้นมา ทิฐิมานะในตัวก็เกิดขึ้นตามทันที จึงเกิดอาการอาละวาดทำร้ายคนอื่นทันทีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เราจะบอกว่าบุคคลผู้มีความยึดมั่นถือมั่นตนเองสูงเหล่านี้ มาจากภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งนั้นไม่ได้ เพราะมันแพร่กระจายไปทั่วทุกภพภูมิ ตราบใดที่ยังมีมานะทิฐิความถือตัวอยู่ ยังไม่หมดกิเลส ไม่ว่าจะมาจากภพภูมิใด จะเป็นเทวดาก็ตาม พรหมก็ตาม หรือมาจากอบายก็ตาม ล้วนแล้วแต่ยังมีความถือตัวด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เราจึงไม่ควรประมาท
ให้เราหมั่นสำรวจตนเองให้ดีว่า เราเผลอไปทำเย่อหยิ่งถือตัวใส่ผู้อื่นหรือไม่ ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ใครเห็นก็เกิดความรู้สึกชื่นชม ยิ่งเราถ่อมตน เรายิ่งสูงขึ้น แต่ถ้าใครอวดเบ่ง อวดดี มีทิฐิมานะถือตัว ใครมองแล้วก็รู้สึกไม่ชื่นชอบ ยิ่งจะทำให้เราตกต่ำลง เพราะฉะนั้น อย่าไปถือตัว อย่ามีทิฐิมานะมาก แล้วตั้งใจทำความดี อ่อนน้อมถ่อมตน เราก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ
เจริญพร
โฆษณา