28 พ.ค. 2023 เวลา 06:06 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 12)

🍀 ความดี ความชั่ว และความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ 🍀
⚜️ โศลกที่ 1️⃣5️⃣ ⚜️ หน้า 590—595
❇️ ความดี ความชั่ว และความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ ❇️
โศลกที่ 1️⃣5️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
พระผู้ทรงสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล ไม่ทรงตัดสินบุญบาปของผู้ใด เพราะมายาจักรวาลบดบังปัญญาญาณ มนุษย์จึงได้ลุ่มหลง
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
แสงจักรวาลซึ่งปรากฏทุกที่ทุกกาลสร้างภาพยนตร์ฝันแห่งชีวิตเพื่อความบันเทิง บนเวทีโลกจึงมีทั้งกิจกรรมบุญและบาป พระเจ้าไม่ทรงพิถีพิถันในการคิดบัญชีบุญและบาปของมนุษย์ เบื้องหลังเงาอวิชชาและสัมพัทธภาวะย่อมมีแสงจักรวาล ปัญญา และความเบิกบานซ่อนอยู่ มนุษย์ไม่เห็นแสงเหตุอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เขาจึงเดินเปะปะไปในความมืดของมายา
เช่นเดียวกับหมอกหนาปกคลุมถนนจนไม่เห็นปลายทาง คนขับรถจึงหลงทางไป หมอกความหลงก็ปิดบังทางปัญญาญาณไปสู่พระเจ้า มนุษย์จึงเฉไฉตกลงไปในคูความอยากและความโง่หลง
พรหมัน หรือ สัต-จิต-อานันทะ (ดำรงอยู่ทุกเมื่อ รู้ทุกเมื่อ เบิกบานทุกเมื่อ) ไร้มลทินความมืดของมายา (ธรรมชาติ) เช่นเดียวกับงูซึ่งมีพิษ แต่พิษนั้นไม่เป็นภัยแก่งู ทั้ง ๆ ที่พิษเกิดในตัวงู ทว่าพิษนั้นไม่อาจทำอะไรได้ ทำนองเดียวกัน แม้ว่ามายาทวิภาวะแห่งธรรมชาติเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อพระองค์
เมื่องูฉกคน เหยื่อจะได้รับพิษ เช่นเดียวกับมตชนที่โดนพิษของมายาจักรวาล แต่แม้มายาเข้าหามนุษย์ได้ บุคคลก็สามารถเอาชนะมันด้วยการไม่ยอมไปกับความเย้ายวนของมัน ผู้ภักดีควรเข้าใจว่า ในการสร้างโลกนั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้มายาเป็นสิ่งพัฒนามนุษย์สู่ความสมบูรณ์ และนั่นคืองานอดิเรกของพระเจ้า❗
เพื่อให้ความสมบูรณ์เป็นไปได้ พระเจ้าจึงประทานเจตจํานงอิสระ — และความท้าทายให้แก่มนุษย์❗ พระองค์ทรงกำหนดให้ทุกคนรู้ได้ถึงความเย้ายวนของความดี ความบริบูรณ์แห่งพระองค์ภายในตัวเขา และรู้ได้ถึงความเย้ายวนอันมีความพร่องของธรรมชาตินอกตัวเขา ชีวิตมนุษย์เป็นปริศนาซับซ้อนกว้างขวางที่มนุษย์แต่ละคนต้องหาคําตอบให้ได้ในที่สุด
เมื่อมนุษย์ใช้เจตจำนงและปัญญาที่พระเจ้าประทานอย่างเชี่ยวชาญ เพื่อตอบสนองต่อความดีที่เย้ายวน มิใช่ความชั่ว เขาย่อมได้ชัยชนะ เขา “พิชิต เกมชีวิตได้ กลับสู่บ้านอันประเสริฐพร้อมกับชัยชนะ❗
นี่คือความลับของชีวิตมนุษย์บนโลกนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ต้องไม่ยอมให้แก่แรงกระตุ้น “ตามธรรมชาติ” (อย่างที่นักจิตวิทยาจำนวนมากแนะนำกันอย่างผิด ๆ) แต่ควรกระทําตามการนําของจริตฝ่ายจิตวิญญาณ อันเป็นธรรมชาติแท้จริง หรือ วิญญาณของตน
.
◾เข้าใจ “กฎกติกา” และความยุติธรรมของพระเจ้า◾
ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าคือความดี แต่พระองค์ทรงสร้างจักรวาลชั่วไว้ก็เพื่อทดสอบมนุษย์ เปิดโอกาสให้เขาได้ใช้เจตจํานงอิสระ เพื่อกลับสู่อาณาจักรแห่งพระบิดาเจ้า แต่แม้กระนั้น “แผน” อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ทำให้มนุษย์เดือดร้อนยิ่งนัก❗ เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงด้วยใจ และตระหนักว่า ยิ่งมนุษย์มีวินัยในกายมากเท่าใด เขาจะพบบรมสุขในวิญญาณมากเท่านั้น นี่คือกฎกติกา เราทําอะไรไม่ได้เลย และเราก็คงไม่อยากเปลี่ยนกติกานี้ ถ้าเราเข้าใจปัญญาญาณแห่งพระองค์ผู้ทรงกำหนดกรอบนี้
เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงแวดล้อมอยู่ด้วยมายาจักรวาล แต่มายานั้นไม่มีผลใด ๆ ต่อพระองค์ มนุษย์ซึ่งเป็นภาพลักษณ์แห่งพระเจ้าก็มีทิพยอำนาจในตนอยู่แล้วเช่นกัน เขาย่อมสามารถอยู่กับผัสสะมายาได้อย่างไม่เป็นทาสของมัน
พระเจ้าทรงตั้งพระทัยรังสรรค์มนุษย์ให้มีความสมบูรณ์แห่งพระองค์อยู่ในตัวทั่วทุกคน แต่เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจของความชั่ว แค่ชั่วครู่ หรือนานวัน ความสมบูรณ์ในวิญญาณของเขาอาจเบี่ยงเบนไป แต่มันไม่อาจถูกทำลาย ทันทีที่เขาปอกเปลือกมายาความโง่หลง เขาจะพบว่าตนสมบูรณ์อยู่เสมอ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ดุจเดียวกับพระเจ้า
คนที่ช่างสงสัยควรจําไว้ว่า พระเจ้าทรงความยุติธรรมอย่างยิ่ง พระองค์ไม่โยนมนุษย์ไว้ในความชั่วอย่างถาวร ด้วยการทำลายธรรมชาติทิพย์ในตัวเขา และทําให้เขาตายไปจริง ๆ แต่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์ ธรรมชาติแท้แห่งพระองค์จะไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าจะถูกทดลองอยู่ในมายาแวดล้อมใด ๆ ถ้ามนุษย์เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแล้วละก็ ยากนัก หรือเป็นไม่ได้เลยที่เขาจะกลายเป็นทิพย์
แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธก็คือ แรกสุดพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์ ทรงให้เขาอยู่ในอำนาจของมายาจักรวาล แล้วประทานอำนาจเจตจำนงเสรีแก่เขา — อำนาจที่จะเลือกเอาธรรมชาติ (สิ่งสร้าง) หรือพระเจ้า (ผู้ทรงสร้าง) ไม่เร็วก็ช้า มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะเลือกให้ถูกต้อง เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอ่านหนังสือเล่มนี้❗
เป็นพระมหากรุณาแห่งพระเจ้าที่ไม่ได้ทรงสร้างมนุษย์ตามฉายาของมตชน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เราคงไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทิพยธรรมชาติ เว้นแต่พระองค์จะประทานพรประเสริฐให้ พระเจ้าทรงเห็นว่าทุกวิญญาณถูกสร้างตามพระฉายาแห่งพระองค์ ต่อให้มนุษย์จมลึกเท่าใดในมายา ต่อให้เขาบาปหนักที่สุดในหมู่คนบาป โคลนตมความโง่เขลาของเขาก็จะถูกล้างออกไป เผยให้เห็นวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนอยู่
เราทุกคนเป็นทิพยนิรันดร์ เป็นทาสของความหลงแต่เพียงชั่วคราว “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นใน (พระจิตอันสมบูรณ์แห่ง) พระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้เราดำเนินตาม”★ [★เอเฟซัส 2:10]
นี่คือเหตุผล ว่าทําไมมนุษย์ทุกคนจึงควรเข้าใจว่าความเพลิดเพลินทางผัสสะมิใช่เป้าหมายของชีวิต มนุษย์อิ่มเอิบสุขใจ ยามเมื่อได้กลับสู่ความสมบูรณ์ตามแผนการของพระเจ้าเท่านั้น
.
◾ ไม่มีวิญญาณใดจะถูกหลงลืมอยู่ในนรกนิรันดร์ ◾
บุคคลผู้ทำกรรมชั่วไว้มากอาจจมอยู่กับมายาในหลายภพชาติ แต่ไม่ตลอดไป เพราะเขาเป็นลูกของพระเจ้าชั่วนิรันดร์ บุคคลผู้ลืมอาตมันที่แท้จริงของตน ต้องทนทุกข์จนเขาไม่สามารถทนกับตนเองหรือนิสัยของตนได้ ทันทีที่เขาตั้งใจจริง อยากปรับปรุงตน เขาจะพบวิถีสู่ทิพยสุขทันที
นรกตลอดกาล หรือการจมอยู่กับมายาไปจนวันสุดท้ายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทองคำต่อให้ซ่อนอยู่ใต้ซากใหญ่ยิ่งกว่าหิมาลัยก็ยังเป็นทองคำอยู่วันยังค่ำ เมื่อขนขยะออกไป ทองคำก็จะฉายประกายทองของมัน ทำนองเดียวกับบาปใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขา ก็ไม่อาจเปลี่ยนธรรมชาติเดิมแท้ของภาพลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ได้
เราจึงควรคิดอย่างมีเหตุผลว่า มนุษย์ถูกสร้างในภาพลักษณ์แห่งพระเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลงลืมอยู่กับมายาตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ที่วิญญาณจะชั่วช้านิรันดร์ เพราะวิญญาณเป็นความดีนิรันดร์
นักศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล ไม่ให้ความเป็นธรรมกับคำสอนในพระคัมภีร์เมื่อเขาเชื่อว่า วิญญาณจะถูกลืมอยู่ในนรกนิรันดร์ ตุลาการทางโลกลงโทษมนุษย์ตามความบาปของเขา แต่พระเจ้าทรงความยุติธรรมยิ่งกว่าตุลาการมนุษย์คนใด พระองค์จะไม่ลงโทษมนุษย์ผู้กระทําชั่วในชาติใดชาติหนึ่งหรือหลาย ๆ ชาติให้อยู่ในไฟนรกแห่งมายา “ตลอดไป” อย่างไม่สมควรแก่เหตุ เพราะเหตุอันจำกัดไม่อาจส่งผลได้อย่างไม่จํากัด
ภควัทคีตาโศลกนี้ ที่ถูกนำไปกล่าวอ้างบ่อย ๆ ได้พูดถึงสิ่งจริงแท้ที่ว่า พระเจ้าไม่ตัดสินบุญบาปของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์เอง ที่จะส่งผลเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วให้แก่ตัวเขา ขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้เจตจำนงอิสระของตนอย่างถูกต้องหรือไม่นั่นเอง
ในแง่นี้ พระเจ้าไม่ได้อยู่ในจักรวาลในฐานะผู้เฝ้ามองมนุษย์ คอยให้รางวัลหรือลงโทษตามบุญบาปของเขา แต่พระองค์ทรงเป็นผู้วางกฎ และกฎนั้นจะดำเนินการอย่างยุติธรรม
“อย่าหลงเลย ท่านจะล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าใครหว่านอะไรลงไป ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น อย่าให้เราเหนื่อยล้าในการทําดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”★ [★กาลาเทีย 6:7-9]
พระเจ้าไม่เคยลงโทษผู้ใดเพราะเขาทำชั่ว มนุษย์นั่นเองเป็นผู้หว่านและเก็บเกี่ยวความทุกข์ของตน เพราะเขาละเมิดกฎและละเมิดธรรมชาติของตนเองอย่างโง่ ๆ เขาจึงเป็นต้นเหตุทำให้ตนเจ็บปวด
โศลกในภควัทคีตาเกี่ยวกับต้นเหตุของความชั่ว ที่ชาวอินเดียชอบนำมากล่าวอ้างมากที่สุดว่า “อวิชชาบังปัญญาญาณ จึงพาให้มนุษย์โง่หลง” ก็คือ โศลกที่ 1️⃣5️⃣ ในบทนี้นี่เอง
ประเด็นนี้อาจขยายความได้ว่า ถ้าบุคคลอยู่ในห้องไฟสว่าง ตกแต่งเครื่องเรือนสวยงาม แต่เขากลับหลับตา กระโดดโลดเต้น เขาก็จะเห็นแต่ความมืด เขาล้มคว่ำคะมำหงาย ทำให้แขนขาของตนบาดเจ็บ แต่ถ้าเขาได้สติ เขาก็จะคิดได้ว่าความมืด และอันตรายที่เกิดแก่ชีวิตและแขนขาของตนนั้น เกิดจากความโง่ของตนโดยแท้
ทำนองเดียวกัน ผู้มีปัญญาที่เปิดตาภายในของตน ก็จะเห็นแสงแห่งพระเจ้าที่ส่องสว่างอยู่ในทุกสิ่ง เขาจะไม่เจ็บตัว แต่จะเอิบอาบอยู่กับความสุข
คนโง่ปิดตาปัญญาของตน จึงไม่เห็นอะไรบนโลกนอกจากความมืด มายา และความทุกข์ แต่เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคุรุผู้มีญาณปัญญา ผู้ศรัทธาที่ตาบอด ก็จะได้การเห็นกลับคืนมา เขารู้ว่าความทุกข์ของตนและของเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ เกิดจากการที่เขาเต็มใจที่จะเก็บความมืดภายในไว้ กิเลสอหังการและความสุขชั่วแล่นของอินทรีย์ เข้ามาบดบังความเบิกบานอันเที่ยงแท้แห่งวิญญาณ แสงปัญญาญาณแห่งพระเจ้าจึงมืดมิด
เมื่อมนุษย์ทิ้งมายาเสียได้ เขาจะได้สวรรค์ที่สูญหายกลับคืนมา คีตาจึงกล่าวว่า ผู้คนเป็นทุกข์เพราะเขาไม่เปิดวิญญาณจักษุ มัวจ่อมจมอยู่กับโลกภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
.
◾ทำไมจึงต้องมีความชั่วอยู่ในสิ่งสร้างของพระองค์◾
บางทฤษฎีพยายาม “ปัด” ความชั่วทิ้งไป โดยกล่าวว่า พระเจ้าทรงความสมบูรณ์ ไม่ทรงรู้จักความชั่ว แต่พระเยซูได้ทรงอ้อนวอนพระเจ้าว่า “ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย”★ [★มัทธิว 6:13] ซึ่งหมายความว่า “ขออย่าให้เราตกเป็นทาสการทดลองของสิ่งชั่วที่พระองค์ทรงสร้าง” นั่นเอง
พระองค์ผู้ทรงสถิตทุกที่ทุกกาลทรงรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสิ่งชั่ว เพื่อทดสอบความกล้าหาญของมนุษย์ ให้เขาถอยจากบาป กลับสู่ทิพยภาวะภายในตน ฟิล์มภาพยนตร์ที่มีภาพแสงและเงา เมื่อฉายผ่านเครื่องฉาย ทั้งภาพพระเอกและผู้ร้ายก็จะปรากฏบนจอ ผู้ร้ายต้องมีไว้ในภาพยนตร์เพื่อให้ผู้ชมได้ใช้ปัญญา หาข้อรังเกียจการใช้ชีวิตของเขา และปรบมือให้แก่พระเอก ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ความชั่วมีอยู่เพื่อทำให้คนหันไปหาวิถีคุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เมื่อได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมพระเอกมากกว่าผู้ร้าย บุคคลได้ตระหนักว่า ทั้งคนดีและคนชั่วคือเงาที่ถูกสร้างจากลำแสงเดียวกัน โดยเนื้อแท้แล้วเขาทั้งสองไม่ได้ต่างกันเลย ดังนั้น ในการวิเคราะห์ความดีความชั่ว บุคคลต้องพยายามอยู่เหนือทั้งสองสิ่งนั้น รู้แจ้งว่าทั้งบาปและบุญไม่มีผลต่อวิญญาณที่ไร้ทวิภาวะ ไร้การเปลี่ยนแปลง เพราะวิญญาณถูกสร้างตามภาพลักษณ์แห่งพระเจ้า
ความดีกับความชั่วต้องมีอยู่คู่กันบนโลกนี้ ทุกสิ่งสร้างย่อมต้องมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้ว พระเจ้า เอกองค์ผู้ทรงความสมบูรณ์ จะแบ่งภาคพระจิตเป็นสิ่งสร้างต่าง ๆ นานา ที่แตกต่างจากพระองค์ได้หรือ แสงคงมีไม่ได้โดยปราศจากเงา ถ้าไม่สร้างความชั่ว มนุษย์ก็ไม่รู้จักความดีที่อยู่ตรงกันข้าม
ค่ำคืนทำให้แสงยามกลางวันกระจ่างแจ้ง ความเศร้าสอนเราให้เห็นค่าของความสุข แต่แม้ความชั่วเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น แต่คนที่ประสบกับมันก็ย่อมทุกข์ ผู้ที่ถูกมายาล่อลวงให้เล่นบทผู้ร้าย ต้องรับกรรมน่าเศร้าจากความชั่วนั้น ส่วนพระเอกย่อมได้รับเสียงปรบมือ เป็นรางวัลแห่งความดี เมื่อรู้ความจริงนี้ เราจึงต้องถอยหนีจากความชั่ว กลายเป็นคนดี สุดท้ายแล้วเราก็จะขึ้นสู่ฐานันดรศักดิ์ขั้นสูงแห่งพระเป็นเจ้า พ้นแล้วจากทั้งความดีและความชั่ว
ผู้ชมภาพยนตร์ที่ฉายไปในลำแสง เห็นทั้งผู้ร้ายและพระเอกเป็นภาพ เมื่อบุคคลรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ตอนนั้นแล้วเท่านั้นที่เขาจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว จึงเป็นอันตรายมาก เมื่อพูดกันยามที่อยู่ในภาวะมตชนว่าไม่มีความดีความชั่ว
ผู้ชมที่มีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์ รู้สึกว่าผู้ร้ายกับพระเอกนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ผู้ชมที่มีปัญญารู้แจ้งว่า บทบาทของผู้ร้ายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบความชั่วกับความดี ที่จะให้เห็นความดีของพระเอกชัดขึ้น เมื่อภาพยนตร์จบ เขาก็จบด้วย ไม่มีอารมณ์ไปกับพระเอกหรือผู้ร้ายอีกต่อไป เขาอยู่เหนืออารมณ์ในภาพยนตร์ รู้ว่าทั้งผู้ร้ายและพระเอกไร้ความหมาย ทั้งคู่เป็นเพียงภาพแตกต่างที่ออกมาจากลำแสงเดียวกัน ไร้ความสัมพันธ์กับตัวเขาซึ่งเป็นผู้ชม
ทํานองเดียวกัน ในทิพยภาวะอันเลิศนั้น บุคคลเห็นแสงจักรวาลว่าเป็นผู้สร้างความดีความชั่วบนโลกนี้ เมื่อพิชิตความชั่วด้วยความดีได้แล้ว อยู่เหนือดีชั่ว มนุษย์ก็จะรู้แจ้งว่า โลกนี้เป็นเพียงภาพยนตร์ของพระเจ้า เป็นสิ่งบันเทิงอันไพศาลเท่านั้นเอง
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา