31 พ.ค. 2023 เวลา 07:54 • หนังสือ

#28 HWG. — บทที่ 1️⃣7️⃣ (ส่วนที่ 1)

เหตุผลที่ทุกอย่างมีอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกัน แต่ทำไมมันถึงดูเหมือนกับว่าเป็นไปตามลำดับ
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘆𝘀𝘁𝗲𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗮𝘁 𝗶𝘁.
“ไม่มีอะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลเมื่อเธอมองดูมันอย่างตรงไปตรงมา”★
★เห็นมันอย่างที่มันเป็นจริงๆ —ผู้แปล—
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟳
บทที่ 1️⃣7️⃣
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲: 𝗪𝗲 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗹𝗮𝘂𝗻𝗰𝗵𝗲𝗱 𝗼𝗳𝗳 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗮𝗿𝗲𝗮 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗜 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘄𝗲 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗼𝗿𝗲. 𝗙𝗮𝘀𝗰𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀, 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝗿𝗲𝗹𝗲𝘃𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗺𝘆 𝘁𝗼𝗽𝗶𝗰--𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝘀 𝗜 𝗮𝗺 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝘆 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵?
N : เป็นอีกครั้งที่พระองค์ได้นำเราออกไปสู่พื้นที่ที่แตกต่างไปจากที่ผมคิดว่าเรากำลังจะเข้าไปสำรวจกัน แม้ว่าสิ่งที่พระองค์พูดมานั้นมันฟังดูน่าสนใจมากๆ แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมยังสงสัยอยู่มั้ยครับ—นั่นคือ ชีวิตที่ผมกำลังมีประสบการณ์อยู่ และความตายของผม หรือนี่เป็นอีกเรื่องที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง❓
𝗚𝗼𝗱 : "𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗹𝗼𝗰𝗸𝘀. 𝗡𝗼𝘁 𝗮 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝘀 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗲. 𝗔𝗹𝗹 𝗮𝗿𝗲 𝗿𝗲𝗹𝗲𝘃𝗮𝗻𝘁."
G : ทุกสิ่งที่ฉันพูดที่นี่นั้นเชื่อมโยงกันหมด ความจริงเกี่ยวกับชีวิตและสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” นั้นไม่ได้มีเพียงแค่อย่างเดียว ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกัน
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗦𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗜𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝗼𝗻𝗰𝗲, 𝗵𝗼𝘄 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 '𝘂𝘀' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 '𝘄𝗲' 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗶𝘀𝗼𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆?
N : โอเคครับ ถ้างั้นพระองค์ช่วยตอบผมหน่อยว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันในทีเดียว มันเป็นไปได้ยังไงที่ “ตัวตนของเราทั้งหมด” ที่ก็คือ “เรา” จะประสบกับแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้ไปตามลำดับ❓
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝗼𝗿𝗺𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗽𝗶𝗲𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗳𝗲.
G : ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ #สิ่งที่เธอเลือกจะมอง★ และนั่นก็เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากเกี่ยวกับการเดินทางผ่านชีวิตของเธอในปัจจุบันขณะนี้
★เลือกว่าจะมองอะไรก่อน อะไรหลัง ทำให้เกิดการมองทีละอย่างไปตามลำดับ เพราะมุมมองแบบมนุษย์ (จิตรับรู้แบบมนุษย์) ที่คับแคบจำกัดไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้พร้อมกัน ทั้งที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันมีอยู่ตรงนั้นหมดแล้ว –ผู้แปล–
"𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁. 𝗢𝗿, 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆, 𝗯𝘆 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘄𝗮𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲."
ประสบการณ์ของเธอถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่เธอมอง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น นั่นก็คือ ประสบการณ์ของเธอถูกสร้างขึ้นจากการที่เธอเคลื่อนผ่านพื้นที่ว่างและเวลาไปในทิศทางใด★
5
★เรื่องนี้จะถูกอธิบายในโพสต์ต่อไปและบทต่อไปด้วยครับ —ผู้แปล–
𝗡 : 𝗜 𝗯𝗲𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗮𝗿𝗱𝗼𝗻?
N : อะไรอีกครับเนี่ย❓
𝗚 : "𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝗲 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝗳 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗹𝗼𝘀𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗿𝗲𝗵𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻."
G : ฉันจะขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อดูว่าฉันจะทำให้เธอเข้าใจได้มากขึ้นหรือเปล่า
𝗡 : 𝗠𝘆 𝗴𝗼𝗱, 𝗽𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲. 𝗜'𝗺 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘆 𝗵𝗮𝗿𝗱𝗲𝘀𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝗻𝗴 𝗺𝘆 𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗻.★
N : พระเจ้า ได้โปรดเถิดครับ ผมกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตามพระองค์ให้ทัน (ว่าพระองค์กำลังหมายถึงอะไร) แต่ผมต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ผมยังคงตามต่อไปได้โดยไม่คว่ำไปกลางทางเสียก่อน (งงโดยสมบูรณ์)
𝗚 : "𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗟𝗲𝘁 𝘂𝘀 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘄𝗮𝗹𝗸𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝗿𝗼𝗼𝗺. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗵𝘂𝗴𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺, 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗻 𝗼𝗿𝗻𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗻𝗲. 𝗣𝗲𝗿𝗵𝗮𝗽𝘀 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗹𝗶𝗯𝗿𝗮𝗿𝘆 𝗶𝗻 𝗮 𝗿𝗶𝗰𝗵𝗹𝘆 𝗮𝗽𝗽𝗼𝗶𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗵𝗼𝗺𝗲."
G : ตกลง สมมติว่าเธอเดินเข้าไปในห้องที่เป็นห้องขนาดใหญ่และหรูหราโอ่อา อาจเป็นห้องสมุดในบ้านสักหลังที่ดูมั่งคั่งร่ำรวย
𝗡 : 𝗙𝗶𝗻𝗲. 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁.
N : ดีครับ ผมนึกภาพออก
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗹𝗸 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺, 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 '𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁.' 𝗠𝗮𝘆𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗮𝗶𝗿 𝗼𝗳 𝗹𝗮𝗿𝗴𝗲𝗿𝘁𝗵𝗮𝗻-𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝘂𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝗻𝘂𝗱𝗲 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗳𝗶𝗴𝘂𝗿𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗿𝗻𝗲𝗿. 𝗡𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗰𝗮𝘁𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘆𝗲.
𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝘁𝗼 𝗰𝗵𝗲𝗰𝗸 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗼𝘂𝘁. 𝗢𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗵𝗮𝗽𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗹𝘀𝗲 𝗲𝗾𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗱𝗿𝗮𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰 𝗵𝗮𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁. 𝗔 𝗵𝘂𝗴𝗲 𝘀𝘁𝘂𝗳𝗳𝗲𝗱 𝗯𝗲𝗮𝗿. 𝗢𝗿 𝗮 𝘄𝗶𝗱𝗲-𝘀𝗰𝗿𝗲𝗲𝗻 𝗧𝗩 𝗯𝗹𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗱𝗲 𝘄𝗮𝗹𝗹. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗴𝗼𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝘁 𝗼𝗻𝗰𝗲. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗴𝗼𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆."
G : เธอเดินเข้าไปในห้องนั้นและสังเกตเห็นบางสิ่ง “ก่อนเป็นลำดับแรก” อาจเป็นรูปปั้นมนุษย์เปลือยขนาดใหญ่กว่าคนตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วสิ่งของเช่นนี้จะดึงดูดสายตา (ความสนใจ) ของเธอ เธอจึงเดินเข้าไปหามันเพื่อทำการตรวจสอบ หรืออาจมีของอย่างอื่นในห้องที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน เช่น ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยักษ์ หรือทีวีจอกว้างที่กำลังส่งเสียงดังอยู่ตรงผนังห้อง ความสนใจของเธอก็จะไปอยู่ที่นั่นในทันที จิตใจของเธอจะไปจดจ่ออยู่ที่นั่นในทันที★
★ตรงนี้ ผู้ปฏิบัติสายพุทธแบบฝึกการมีสติรับรู้แบบต่อเนื่องอย่างจริงจังมาสักพัก จะมีประสบการณ์ครับ คือจะเห็นเลย ว่าจิตมันพุ่งออกไปจับอยู่ จดจ่ออยู่ที่สิ่งๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพที่กำลังเห็น เสียงที่กำลังได้ยิน กลิ่น รส สัมผัส แม้แต่ความคิด
จากแรกๆที่เห็นว่า (สติจับได้ว่า) จิตมันพุ่งออกไปไกลโดยเฉพาะกับสิ่งที่ตาเห็น พอสติจับได้ว่าจิตพุ่งออกไป จิตมันจะแว๊บกลับเข้ามาดำรงอยู่ (ตั้งอยู่ เป็นหนึ่งอยู่) ภายใน พอเห็นจิตที่เคลื่อนออกไป กลับเข้ามา เคลื่อนที่ไปมาแบบนี้บ่อยเข้าๆ (สติไวขึ้นเรื่อยๆ) เราก็จะเห็นว่า จริงๆจิตมันพุ่งไปแค่ที่ทวารทั้ง 6 (วิญญาณ 6) แค่นี้แหละ (ไม่ได้ออกไปไหนเลย) สติจะจับได้ว่า 6 คู่นี้ (ตา-ภาพ, หู-เสียง, จมูก-กลิ่น, ลิ้น-รส, กาย-สัมผัส, จิต-ความคิด) กระทบกันอยู่ไม่พ้นจากแค่กายเนื้อนี่แหละ
หากสติไวขึ้นไปอีก จะเห็นว่า พอมันกระทบกันแล้ว ความหมายจะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง เป็นความหมายที่จิตเรานั่นแหละเป็นคนให้ เช่น ภาพกระทบกับจักษุวิญญาณ ไม่มีความหมายอะไรตั้งแต่แรก แต่จิตใส่ความหมายเข้าไปว่ามันเป็น ต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ ทางทวารอื่นๆก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะความคิดที่เกิดทางมโนทวารนี่แหละที่เกิดขึ้นถี่สุด
ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้อีกนั้นก็ลองไปมีประสบการณ์กันดูนะครับทุกคน 😁 –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁.
N : โอเคครับ นั่นผมก็พอจินตนาการตามได้
𝗚 : "𝗡𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝘁𝗮𝗿𝘁 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝘀𝗺𝗮𝗹𝗹𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗱𝗿𝗮𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀. 𝗙𝗶𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱 𝗮 𝗯𝗼𝗼𝗸𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺.
𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁 𝘂𝗽𝗼𝗻 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝘁𝗶𝘁𝗹𝗲 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗶𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗮 𝗯𝗼𝗼𝗸 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 𝘀𝗵𝗲𝗹𝗳 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗺𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗳𝗼𝗿. 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝘂𝗲𝘀 𝗰𝗮𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘆𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗱 𝘁𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗺𝗲 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗳𝗼𝗿.
G : ทีนี้เธอก็เริ่มมองไปรอบ ๆ และเธอก็เริ่มเห็นสิ่งอื่น สิ่งเล็กๆน้อยๆอื่นๆ ที่เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจน้อยกว่า สุดท้ายเธอก็เดินไปยังตู้หนังสือที่อยู่ตรงกลางห้อง ตาของเธอจ้องไปที่ชื่อตรงสันหนังสือที่อยู่ตรงกลางของชั้นที่อยู่ตรงหน้าเธอ นี่คือเหตุผลที่เธอเข้ามาในห้องนี้ แม้ว่ารูปปั้นจะดึงดูดสายตาเธอ และเธอได้เคลื่อนเข้าไปหามันก่อนหน้านี้ แต่หนังสือเล่มนี้คือเหตุผลที่ทำให้เธอเข้ามาที่นี่
"𝗗𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗰𝗲𝗻𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗼𝗺𝗲𝗼𝗻𝗲 𝗲𝗹𝘀𝗲 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗲𝗮𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴, '𝗔𝘁 𝗹𝗮𝘀𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀! 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿!'
การอธิบายฉากนี้ให้บางคนฟังในภายหลัง ทำให้เธออาจได้ยินตัวเองพูดว่า “สุดท้าย มันก็อยู่ตรงนี้จริงๆด้วย❗ นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังมองหา❗” (หลังจากเดินไปสำรวจที่อื่นในห้องมาก่อนหน้านี้)
"𝗢𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 '𝗮𝘁 𝗹𝗮𝘀𝘁' 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗲𝗮𝘀𝗶𝗹𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱, '𝗔𝘁 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀!'
แน่นอนว่า “สุดท้าย” ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนังสือเล่มนั้น เธอควรต้องพูดว่า “ตั้งแต่แรก มันก็อยู่ตรงนี้อยู่แล้ว❗ (มันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วมาตั้งแต่แรก)
"𝗧𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘃𝗲𝘁𝗲𝗱 𝗯𝗼𝗼𝗸 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴, 𝘄𝗮𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁. 𝗜𝘁 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗵𝗼𝘄 𝘂𝗽 '𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿.' 𝗜𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱, 𝗶𝘁 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 '𝘀𝗵𝗼𝘄 𝘂𝗽' 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗜𝘁 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗿𝗿𝗶𝘃𝗲 𝗮𝘁 𝗮 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 '𝘁𝗶𝗺𝗲.' 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴. 𝗬𝗲𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱 𝗶𝘁.
หนังสือที่เธอตามหานั้นอยู่ที่นั่น มันอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด รอให้เธอมองมัน ตัวมันไม่ได้ปรากฏขึ้น “ในภายหลัง” และแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ “ปรากฏขึ้น” ใน “เวลา” ที่แน่นอนเวลาใดเวลาหนึ่งด้วย (เช่น ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้าที่เธอจะมองมันแค่แป๊บเดียว เป็นต้น) เพราะมันอยู่ที่นั่นอยู่แล้วมาโดยตลอด แต่ที่เธอมองไม่เห็นเพราะเธอไม่ได้มองดูมัน เธอไม่ได้ก้าวเข้าไปหามัน
"𝗬𝗲𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁𝗲𝗱 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, '𝗱𝗶𝘀𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿𝗲𝗱 𝗶𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗶𝘁, 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆. 𝗧𝗵𝘂𝘀, 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗹𝘆 '𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀.""
ไม่กับเฉพาะหนังสือเล่มนั้นเท่านั้นหรอกนะ แต่ทุกอย่างในห้องนั้นก็อยู่ที่นั่น อยู่ตรงนั้นอยู่แล้วมาโดยตลอด พวกมันทั้งหมดมีอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกันอยู่แล้ว แต่เธอแค่เห็น หรือ “ค้นพบ” ว่ามันอยู่ตรงนั้นไปทีละอย่าง ดังนั้นเธอก็เลยมีประสบการณ์ถึงมันได้ทีละอย่างไปตามลำดับ ด้วยเหตุนั้น ห้วงขณะแห่งการเห็นนี้จึงเป็นแบบ “ต่อเนื่องกันไปตามลำดับอยู่จริงๆ”
𝗡 : 𝗜 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗜 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗼𝘄 𝗶𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗲𝗲𝗺𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆.
N : ผมเข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจแล้วว่ามันดูเหมือนเป็นไปตามลำดับได้ยังไง (ทั้งๆที่ทั้งหมดมีอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกัน)
𝗚 : "𝗔 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 '𝘀𝘂𝗱𝗱𝗲𝗻𝗹𝘆 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿' 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝗶𝘁 𝘀𝘂𝗱𝗱𝗲𝗻𝗹𝘆 '𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿' 𝘁𝗼 𝗬𝗢𝗨.
𝗧𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗱𝗮𝗯𝗯𝗹𝗲 𝗶𝗻 𝗲𝗹𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗿𝘆 𝗾𝘂𝗮𝗻𝘁𝘂𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝘀 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘂𝗻𝘁𝗶𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗽𝘂𝘁𝘀 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗬𝗲𝘁 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗮𝗱𝘃𝗮𝗻𝗰𝗲𝗱 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗻𝗼𝘄 𝗸𝗻𝗼𝘄𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘂𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗿𝗲.
G : สิ่งหนึ่งไม่ได้ “ปรากฏขึ้นในทันทีทันใด” ในขณะเธอมองมัน แต่การมองของเธอทำให้มัน “ปรากฏขึ้นให้เธอเห็น” ในทันที คนที่ศึกษาฟิสิกส์ควอนตัมเบื้องต้นแบบผ่านๆจะบอกว่า 'ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นจนกว่าเธอจะเห็นว่ามันอยู่ที่นั่น' แต่ทว่าวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ากว่านั้นรู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวอันเป็นที่สุดที่อธิบายว่าสิ่งต่างๆนั้นเป็นอย่างไร (เกิดขึ้นได้อย่างไร)
"𝗜𝗻 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗔𝗥𝗘 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝗺𝘂𝗹𝘁𝗶𝗽𝗹𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗶𝘃𝗮𝗯𝗹𝗲 𝗼𝘂𝘁𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗶𝘃𝗮𝗯𝗹𝗲 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄—𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘀 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄.
𝗧𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁, 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝘁𝗲𝗿𝗮𝗹 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲, '𝗽𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'—𝗶𝘁 𝗽𝘂𝘁𝘀 𝗶𝘁 '𝗵𝗲𝗿𝗲,' 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱."
ในความจริงขั้นสูงสุดนั้น สิ่งต่างๆ “มีอยู่แล้ว” ที่นั่นก่อนที่เธอจะเห็น ซึ่งนั่นก็คือ ความเป็นไปได้อันหลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นมีอยู่แล้วอยู่ตลอดเวลา ทุกๆผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของทุกๆสถานการณ์ที่เป็นไปได้มีอยู่ในตอนนี้และเดี๋ยวนี้ —และทั้งหมดนั้นก็กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้และเดี๋ยวนี้
ความจริงที่ว่าเธอเห็นได้เพียงแค่หนึ่งในนั้น (จากความเป็นจริงที่มีอยู่ทั้งหมด) ไม่ได้หมายความว่า ความจริงที่เธอเห็นนั้น (แบบตรงตามตัวอักษร) “อยู่ที่นั่น” ให้เธอเห็น แต่มันหมายความว่า ความจริงที่เธอเห็นนั้น “อยู่ที่นี่” ในจิตใจ (จิตรับรู้) ของเธอต่างหาก★
★ความหมายว่าจิตรับรู้แบบมนุษย์นั้นรับรู้ความเป็นไปได้หรือความจริง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทีละอย่างไปตามลำดับ ไม่สามารถรับรู้ (รองรับ) ทั้งหมดได้พร้อมกัน แต่วิญญาณทำได้ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝘂𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗽𝘂𝘁 𝗶𝗻 𝗺𝘆 𝗺𝗶𝗻𝗱?
N : แต่ความเป็นจริงไหนจากความเป็นจริงทั้งหมดที่มีอยู่คือความจริงที่จิตของผมจะรับไว้ล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲."
G : #ความจริงที่เธอเลือกที่จะเห็นไงล่ะ
𝗡 : 𝗔𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝗺𝗲 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗲𝗮𝗱 𝗼𝗳 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿?
N : แล้วอะไรทำให้ผมเลือกที่จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งแทนที่จะเป็นความจริงอีกอย่างหนึ่งล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗻𝗼𝘄, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗶𝘀𝗻'𝘁 𝗶𝘁? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗿𝗮𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿.
G : ดี นั่นล่ะคือคำถามที่จะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของเธอเปลี่ยนไป หรือว่าไม่ใช่❓ อะไรที่ทำให้เธอเลือกที่จะมองเห็นความจริงอย่างหนึ่งมากกว่าความจริงอีกอย่างหนึ่งกันล่ะ
"𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗮𝘀𝘀 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘀𝗽𝗿𝗲𝗮𝗱 𝗼𝘂𝘁 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗱𝗲𝘄𝗮𝗹𝗸, 𝘂𝗻𝗸𝗲𝗺𝗽𝘁, 𝘂𝗻𝘀𝗵𝗮𝘃𝗲𝗻, 𝗴𝘂𝗹𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗯𝗼𝘁𝘁𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗶𝗻𝗲, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮 '𝘀𝘁𝗿𝗲𝗲𝘁 𝗯𝘂𝗺' 𝗼𝗿 𝗮 '𝘀𝗶𝗱𝗲𝘄𝗮𝗹𝗸 𝘀𝗮𝗶𝗻𝘁"?
ในขณะที่เธอเดินผ่านคนที่เดินอยู่บนทางเท้า ผมเผ้ารุงรัง ไม่โกนหนวด กระดกขวดไวน์ดื่ม อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็นว่าเขาเป็น “คนจรจัด” หรือ “นักบุญบนทางเท้า” ❓
𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗮 𝘄𝗿𝗶𝘁𝘁𝗲𝗻 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝗺𝗽𝗹𝗼𝘆𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 '𝗱𝗼𝘄𝗻𝘀𝗶𝘇𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮 '𝗵𝗼𝗿𝗿𝗶𝗯𝗹𝗲 𝗱𝗶𝘀𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗿 𝗮 '𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝗼𝗽𝗽𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆"?
ในขณะที่เธอเห็นหนังสือแจ้งจากนายจ้างของเธอว่าเธอถูก “ลดเงินเดือน” อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็นว่ามันคือ “หายนะ” หรือ “โอกาสอันยอดเยี่ยม”❓
𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗮 𝘁𝗲𝗹𝗲𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗿𝗲𝗽𝗼𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗮𝗻 𝗲𝗮𝗿𝘁𝗵𝗾𝘂𝗮𝗸𝗲 𝗼𝗿 𝗮 𝘁𝘀𝘂𝗻𝗮𝗺𝗶, 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗼𝘂𝘀𝗮𝗻𝗱𝘀 𝗸𝗶𝗹𝗹𝗲𝗱, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮 '𝗰𝗮𝗹𝗮𝗺𝗶𝘁𝘆' 𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗼𝘂𝘁 𝗼𝗳 '𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻'?
ในขณะที่เธอเห็นรายงานข่าวทางโทรทัศน์เกี่ยวกับแผ่นดินไหวหรือสึนามิ โดยมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็นว่ามันคือ “ภัยพิบัติ” หรือการดำเนินเรื่องอัน “สมบูรณ์แบบ”❓
"𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿?"
อะไรทำให้เธอเลือกอย่างหนึ่งมากกว่าอีกอย่างหนึ่งล่ะ❓
𝗡 : 𝗠𝘆 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲?
N : ความคิดเห็นที่ผมมีต่อสิ่งนั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗜𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱. 𝗔𝗹𝘀𝗼, 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳."
G : ถูกต้องที่สุด รวมถึงความคิดเห็นที่เธอมีต่อตัวของเธอเองด้วย
𝗡 : 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗺𝗶𝗻𝗱𝘀 𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝗗𝗼𝗻 𝗤𝘂𝗶𝘅𝗼𝘁𝗲, 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗻 𝗼𝗳 𝗟𝗮 𝗠𝗮𝗻𝗰𝗵𝗮, 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗼𝗻𝗲 𝗺𝗮𝗻 𝘀𝗲𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗲𝘆𝗲𝘀, 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝗯𝘂𝗿𝗻 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻'
--𝗮𝘀 𝗝𝗼𝗲 𝗗𝗮𝗿𝗶𝗼𝗻'𝘀 𝗹𝘆𝗿𝗶𝗰𝘀 𝗶𝗻 𝗮 𝘀𝗼𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗽𝘂𝘁 𝗶𝘁, 𝗗𝗼𝗻 𝗤𝘂𝗶𝘅𝗼𝘁𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗶𝘃𝗲𝘀 '𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗮𝗻𝗴𝗲𝘀𝘁 𝗽𝗿𝗼𝗷𝗲𝗰𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱...𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗮 𝗸𝗻𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗲𝗿𝗿𝗮𝗻𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗳𝗼𝗿𝘁𝗵 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗹𝗹 𝘄𝗿𝗼𝗻𝗴𝘀.'
N : นี่ทำให้ผมนึกถึง ดอน กิโฆเต้ ชายชาวลามันชา ที่เป็นนวนิยายเกี่ยวกับเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่มองโลกด้วยสายตาที่แตกต่าง สายตาที่ “เผาไหม้ด้วยไฟแห่งการมองโลกจากภายใน” เหมือนเนื้อร้องของ โจ ดาเรียน ในบทเพลงจากละครเวทีเรื่องเดียวกันที่ ดอน กิโฆเต้ คิด 'โครงการที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยจินตนาการมา...เพื่อที่จะกลายเป็นอัศวินพเนจรและออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อผดุงความยุติธรรม'
𝗛𝗲 𝗳𝗶𝗻𝗱𝘀 𝗮 𝘀𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗼𝘄𝗹 𝗮𝗻𝗱, 𝘁𝘂𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿, 𝘀𝗲𝗲𝘀 𝗶𝘁 𝗮𝘀 𝗮 𝗵𝗲𝗹𝗺𝗲𝘁, 𝘄𝗲𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗽𝗿𝗼𝘂𝗱𝗹𝘆 𝗼𝗻 𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗲𝗮𝗱. 𝗛𝗲 𝗲𝗻𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿𝘀 𝗮 𝘄𝗲𝗻𝗰𝗵 𝗼𝗳 𝗮 𝗯𝗮𝗿𝗺𝗮𝗶𝗱, 𝗔𝗹𝗱𝗼𝗻𝘇𝗮, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗲𝗲𝘀 𝗵𝗲𝗿 𝗮𝘀 𝗗𝘂𝗹𝗰𝗶𝗻𝗲𝗮, 𝗮 𝗯𝗲𝗮𝘂𝘁𝗶𝗳𝘂𝗹 𝗱𝗮𝗺𝘀𝗲𝗹, 𝗽𝘂𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗿𝘂𝗲. 𝗛𝗲 𝗮𝘀𝗸𝘀 𝗵𝗲𝗿 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝘁𝗼𝗸𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗰𝗮𝗿𝗿𝘆 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗯𝗮𝘁𝘁𝗹𝗲,
𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘀𝗵𝗲 𝗱𝗲𝗿𝗶𝘀𝗶𝘃𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘄𝘀 𝗵𝗶𝗺 𝗮 𝗯𝗮𝗿 𝗿𝗮𝗴, 𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁 𝗮𝘀 𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗰𝗮𝗿𝗳, 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗮𝗿𝗿𝗶𝗲𝘀 𝗶𝘁 𝗻𝗲𝘅𝘁 𝘁𝗼 𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗲𝗮𝗿𝘁. 𝗛𝗲 𝗿𝗶𝗱𝗲𝘀 𝗼𝗳𝗳 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗶𝗻𝗴, '𝗜 𝗮𝗺 𝗜, 𝗗𝗼𝗻 𝗤𝘂𝗶𝘅𝗼𝘁𝗲, 𝘁𝗵𝗲 𝗟𝗼𝗿𝗱 𝗼𝗳 𝗟𝗮 𝗠𝗮𝗻𝗰𝗵𝗮. 𝗠𝘆 𝗱𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝘆 𝗰𝗮𝗹𝗹𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗴𝗼.'
เขาพบชามโกนหนวด พลิกมัน และเห็นว่ามันเป็นหมวกอัศวิน เขาจึงนำมันมาสวมไว้บน ศีรษะด้วยความภาคภูมิใจ เขาได้พบกับสาวใช้ที่ทำงานในบาร์ชื่ออัลดอนซา และเห็นว่าเธอเป็น ดัลซิเนีย (ยศของขุนนางที่มีอำนาจในการแต่งตั้งอัศวิน) หญิงสาวแสนสวยบริสุทธิ์และจริงใจ เขาจึงขอเหรียญตราของเธอเพื่อนำติดตัวเข้าสู่สนามรบ
เมื่อเธอเยาะเย้ยเขาและโยนเศษผ้าขี้ริ้วให้เขา เขาเห็นว่ามันเป็นผ้าพันคอของเธอ และเก็บมันไว้ในอกข้างหัวใจของเขา จากนั้นเขาก็ตัดสินใจขี่ม้าออกเดินทางและคิดว่า “ฉันก็คือฉัน ดอน กิโฆเต้ ลอร์ดแห่งลามันชา โชคชะตากำลังเรียกหาฉัน และฉันก็กำลังออกเดินทางไปตามเส้นทางแห่งโชคชะตานั้น”
𝗚 : "𝗔𝗹𝗹 𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝗶𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘂𝗽.
G : เขาเป็นคนสร้าง (อุปโลกน์) ทั้งหมดนั่นขึ้นมาเอง (ด้วยความคิดเห็นของเขา)
"𝗪𝗵𝗮𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝘆? 𝗛𝗼𝘄 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲? 𝗛𝗼𝘄 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲, 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗶𝗻 𝗶𝘁? 𝗔𝗻𝗱 𝗵𝗼𝘄 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗶𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝘂𝗿𝗻 𝗼𝘂𝘁?"
แล้วโชคชะตาของเธอล่ะคืออะไร❓ เธอจะใช้ชีวิตของเธออย่างไร❓ เธอจะเห็นผู้คน สถานที่ และ เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเธอเหล่านั้นเป็นอย่างไร❓ แล้วเรื่องทั้งหมดในชีวิตของเธอจะกลายเป็นเช่นใด❓
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗚𝗼𝗱. 𝗬𝗼𝘂 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲.
N : พระองค์คือพระเจ้า ฉะนั้น พระองค์ช่วยบอกผมทีครับ
𝗚 : "𝗜𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗶𝘁."
G : #ทั้งหมดนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอมองมันอย่างไร
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา