2 มิ.ย. 2023 เวลา 06:24 • หนังสือ

#29 HWG. — บทที่ 1️⃣7️⃣ (ส่วนที่ 2)

“คุรุทางจิตวิญญาณ” คือคนที่มองเห็นในสิ่งที่เธอมองไม่เห็น (หรือมองข้ามมันไป)
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗡 : 𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗻𝗰𝗿𝗲𝗱𝗶𝗯𝗹𝗲? 𝗔𝘀 𝗰𝗿𝗮𝘇𝘆 𝗮 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀, 𝗜 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗜'𝗺 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀.
N : พระองค์รู้มั้ยครับว่าอะไรที่น่าเหลือเชื่อ❓ นี่มันบ้าไปแล้ว เพราะผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องนี้แล้วจริงๆ
𝗚 : "𝗢𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀—𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 '𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗮𝗻𝗶𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆—𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗸𝗻𝗼𝘄𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁.
𝗧𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗻 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗱𝗲𝘄𝗮𝗹𝗸 𝗶𝘀 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗲𝗲𝘁 𝗯𝘂𝗿𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗱𝗲𝘄𝗮𝗹𝗸 𝘀𝗮𝗶𝗻𝘁. 𝗔𝗹𝗱𝗼𝗻𝘇𝗮 𝗶𝘀 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗮𝗿𝗺𝗮𝗶𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗲𝗮𝘂𝘁𝗶𝗳𝘂𝗹 𝗱𝗮𝗺𝘀𝗲𝗹. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗶𝗰𝘁𝗶𝗺 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗶𝗹𝗹𝗮𝗶𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲.
G : แน่นอนว่าเธอต้องเข้าใจอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่เธอต้องเข้าใจ เพราะวิญญาณของเธอเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ —รวมถึงเรื่อง “ความต่อเนื่องของเหตุการณ์ที่เป็นไปตามลำดับ” นี้ด้วย— ได้อย่างสมบูรณ์แบบ วิญญาณของเธอรู้ว่าความจริงในทุกรูปแบบ (ความเป็นไปได้ทั้งมวล) นั้นมีอยู่แล้ว คนบนทางเท้าเป็นทั้งคนจรจัดและนักบุญ อัลดอนซาเป็นทั้งสาวใช้ในบาร์และสาวพรหมจรรย์ชั้นสูง เธอเป็นทั้งเหยื่อและผู้ร้าย และก็เคยเป็นทั้งสองแบบมาแล้ว (เป็นทุกอย่างมาหมดแล้ว) ในชีวิต (อันเป็นนิรันดร์) ของเธอ
𝗔𝗻𝗱 𝗻𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹. 𝗡𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘂𝗽. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗯𝘆 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗔𝗹𝗹 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗜𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝘄𝗲𝗹𝗹 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗻𝗱."
และทั้งหมดนั้นไม่มีสิ่งใดที่เป็นความจริงเลย ไม่มีเลยสักสิ่ง เธอเป็นคนสร้าง (อุปโลกน์) ทั้งหมดนั้นขึ้นมาเอง เธอสร้างประสบการณ์ของเธอโดยการตัดสินใจว่าส่วนใดของสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้น (พระเจ้า) ที่เธอเลือกดู (ก่อนส่วนอื่น) และเธอก็แค่อาจมองข้ามในสิ่งที่เธอกำลังพยายามค้นหาอยู่นั้นไป
𝗡 : 𝗕𝗿𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿, 𝗱𝗼 𝗜 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁. 𝗦𝗼𝗺𝗲 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁 𝗺𝗮𝘁𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘀𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻𝘀, 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗲 𝗵𝗶𝗺 𝗼𝗿 𝗵𝗲𝗿, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗼 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗿𝗮𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿𝗮𝗻𝗰𝗲𝘀, 𝗼𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗮𝘀 𝗳𝗹𝗮𝘄𝘀.
𝗗𝗼𝗻 𝗤𝘂𝗶𝘅𝗼𝘁𝗲 𝘀𝗮𝘄 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗮𝗿𝗺𝗮𝗶𝗱 𝗮𝘀 𝗮 𝗯𝗲𝗮𝘂𝘁𝗶𝗳𝘂𝗹 𝗱𝗮𝗺𝘀𝗲𝗹, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗵𝗲 𝗯𝗲𝗰𝗮𝗺𝗲 𝗼𝗻𝗲.
N : พระองค์ครับ ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีเลย คนบางคนบอกผมว่าพวกเขากำลังมองหาคู่ครองที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อคู่ครองเช่นนั้นถูกส่งมาให้พวกเขาจากสวรรค์ พวกเขากลับมองไม่เห็นเขาหรือเธอสะงั้น เพราะพวกเขาถูกทำให้ไขว้เขว่ไปกับสิ่งต่างๆ เช่น รูปร่างหน้าตา หรือสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่าข้อบกพร่อง ส่วน ดอน กิโฆเต้ เห็นสาวบาร์เป็นสาวพรหมจรรย์ชั้นสูง และเธอก็กลายเป็นแบบนั้น
𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁𝘀. 𝗜 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗼𝘄 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗜'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝗻𝗲 𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗶𝗻 𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗳𝗮𝗰𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗼𝗻𝗲 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗜 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗶𝘁. 𝗜 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗲𝗱 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘁 𝗶𝘁!
การมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปเช่นนี้ใช้ได้แม้กระทั่งกับวัตถุทางกายภาพ ผมไม่สามารถบอกพระองค์ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ผมกำลังค้นหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เพราะความฟุ้งซ่านอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ผมไม่ได้มองไปที่มัน ผมมองข้ามมันไป❗
𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗜 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝗿𝗼𝗼𝗺' (𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗺𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲) 𝗮𝗻𝗻𝗼𝘂𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗮𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗿𝗻𝗲𝗱, '𝗜𝘁'𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂, 𝗶𝘁'𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲! 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗼 𝗺𝘆 𝗱𝗶𝘀𝗺𝗮𝘆, 𝘀𝗼𝗺𝗲𝗼𝗻𝗲 𝗲𝗹𝘀𝗲 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗿𝗶𝘂𝗺𝗽𝗵𝗮𝗻𝘁𝗹𝘆 𝗿𝗲𝘁𝘂𝗿𝗻𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘀𝘄𝗼𝗿𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗻𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗳𝗼𝘂𝗻𝗱!
ดังนั้นผมก็เลยเดินออกจาก “ห้อง” นั้น (ช่วงเวลานั้นในชีวิตของผม) และประกาศให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ว่า “มันไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันบอกคุณได้เลยว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น❗” จากนั้น สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากก็คือ มีคนอื่นเดินเข้าไปในห้องนั้นและกลับออกมาด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมกับสิ่งที่ผมสาบานว่าไม่สามารถพบได้ที่ไหนเลย❗
𝗚 : "𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝗺𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗼𝗲𝘀. 𝗔 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗺𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿 𝗶𝘀 𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗲𝗲𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝘄𝗲𝗮𝗿 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲."
G : นี่คือสิ่งที่คุรุทำ คุรุทางจิตวิญญาณคือผู้ที่เดินเข้าไปในห้องแห่งชีวิตของเธอและเห็นถึงสิ่งที่เธอสาบานว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝗜'𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗮𝗿𝗱 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘀𝗮𝘆—𝗵𝗲𝗰𝗸, 𝘀𝗼 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝗜'𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗮𝗿𝗱 𝗺𝘆𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘀𝗮𝘆—𝗻𝗼𝘄, 𝗵𝗼𝘄 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗱𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲?'
N : บ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนพูดว่า—ให้ตายเถอะ บ่อยครั้งที่ผมได้ยินตัวเองนี่แหละพูดว่า— “มันมาอยู่ในโลกนี้ตอนนี้ได้ยังไงกันห่ะ❓”
𝗚 : 𝗠𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗿𝗶𝗻𝗰𝗶𝗽𝗹𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝘁𝗵𝗲 𝗵𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘀 𝗾𝘂𝗶𝗰𝗸𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲.' 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝘁𝗿𝗶𝗰𝗸𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗶𝗻 𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗳𝗮𝗰𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗶𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹.
𝗕𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻 𝗸𝗻𝗼𝘄𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲𝗺 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗮𝗻 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴.
G : นักมายากลเข้าใจหลักการนี้ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะบอกว่า “มือไวกว่าตา” พวกเขาเล่นกลต่อหน้าเธอ กลนั้นไม่ได้ใช้ภาพลวงตาใดๆเลย แต่นักมายากลรู้ดีว่ามันจะดูเหมือนภาพลวงตาสำหรับเธอ #เพราะการมองของเธอเองนั่นแหละ (ว่าจะมองไปตรงไหน)
"𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗿𝗲𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀 𝗽𝗿𝗼𝗳𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗿𝗶𝗰𝗸 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗼𝗻𝗲.
ความลับของอาชีพนักมายากลก็คือการทำให้เธอมองไม่เห็นว่ากลนั้นอยู่ตรงไหน (หันเหความสนใจหรือสายตาของเธอให้ออกไปจากจุดที่กลอุบายอยู่)
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝗮𝗰𝗰𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗺𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝗼𝗳 𝗶𝗻 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝘄𝗮𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗲𝗱 '𝗺𝘆𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀.' 𝗧𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀 𝗺𝘆𝘀𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳𝘁𝗲𝗻 𝗽𝘂𝘁 𝘁𝗼𝗴𝗲𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักมายากลและคุรุทางจิตวิญญาณมักจะคิดในลักษณะเดียวกัน พวกเขาจะถูกเรียกว่า “ผู้วิเศษ–ผู้มีความสามารถพิเศษอันลึกลับ” อยู่บ่อยครั้ง คำว่า วิเศษ-ลึกลับ และ มนตร์-เหนือธรรมชาติ มักถูกนำมารวมกันเพื่ออธิบายถึงบุคคลหรือประสบการณ์เฉพาะ
"𝗠𝘆𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗲𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝗿𝗮𝘁𝗵𝗲𝗿, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗮𝘁 𝗶𝘁.
“ผู้วิเศษ” คือคนที่มองเห็นในสิ่งที่เธอมองไม่เห็น (หรือมองข้ามมันไป) พวกเขาไม่ได้ละสายตาไปจากสถานที่หรือจุดที่กลอยู่ แต่มองตรงไปที่มัน★
★คุรุไม่ได้มองข้ามมันไปเพราะคุรุไม่ไข้วเขว่ ไม่มีอะไรและสิ่งใดมาทำให้คุรุไขว้เขว่ออกไปจากสิ่งที่คุรุกำลังตั้งใจมองอยู่ได้ –ผู้แปล–
"𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘆𝘀𝘁𝗲𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗮𝘁 𝗶𝘁, 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁 𝗺𝘂𝗹𝘁𝗶-𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝗮𝘀𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼, 𝗵𝗼𝘄𝗲𝘃𝗲𝗿, 𝗴𝗶𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲.
ไม่มีอะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลเมื่อเธอมองดูมันอย่างตรงไปตรงมา (เห็นมันอย่างที่มันเป็น) เมื่อเธอมองเห็นจักรวาลว่าเป็นแบบหลากมิติ จักรวาลก็ไม่ได้ลึกลับอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากมุมมองที่คับแคบจํากัด (ในตอนที่ยังอยู่กับกายเนื้อ)
"𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮 𝗯𝗼𝗱𝘆, 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗶𝗺𝗲, 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴, 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗶𝘃𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗶𝘀 𝗰𝗮𝗽𝗮𝗯𝗹𝗲. 𝗬𝗲𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗿𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲.
𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗲𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗮𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵, 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗽𝗮𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗮 𝗿𝗼𝗼𝗺. 𝗔𝗻𝗱 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 '𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲' 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹, 𝗮𝘀 𝗶𝗻 𝗮 '𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴,' 𝗳𝗼𝗿 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁𝘀.
เธอ (วิญญาณเธอ) ได้วางตัวเองพร้อมกับร่างกายไว้ภายในพื้นที่ว่างและเวลา เธอมองเห็น รับรู้ และเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่จำกัดเท่าที่ร่างกาย (ประสาทสัมผัสทั้ง 5) สามารถทำได้ ทว่าร่างกายของเธอไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็น แต่มันเป็นแค่สิ่งที่เธอมี เวลาไม่ใช่สิ่งที่เคลื่อนผ่านไป แต่เป็นบางสิ่งที่เธอเคลื่อนผ่าน เหมือนกับตอนที่เธอเดินผ่านห้องห้องหนึ่ง และพื้นที่ว่างก็ไม่ได้ “ว่าง” จริงๆ มันไม่ใช่ “ที่ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย” เพราะไม่มีสถานที่แบบนั้นดำรงอยู่
"𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗜𝗦. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀 𝗼𝗻,' 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝗶𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗵𝗼 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗼𝗻, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗵𝗼 '𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗶𝗺𝗲,' 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗵𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 '𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴' 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗮𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗻𝗹𝘆 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜𝘀.
ว่ากันว่า เวลาคือ “สิ่งที่เดินต่อไปข้างหน้าเสมอ (ไม่สามารถถอยหลังกลับได้)” แต่แท้จริงแล้ว #เวลาไม่ได้เดินไปไหนเลย เธอเองต่างหากที่คือผู้เดิน เธอคือผู้ที่ “#เคลื่อนผ่านกาลเวลา” เธอสร้างภาพลวงตาว่า “เวลาเดินผ่านไป” ในขณะที่ตัวเธอเองนั่นแหละที่เดินผ่าน “ห้วงขณะเดียวเท่านั้นที่มีอยู่”
"𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 '𝗢𝗻𝗹𝘆 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜𝘀' 𝗶𝘀 𝗲𝗻𝗱𝗹𝗲𝘀𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗶𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗶𝘁𝗲𝗿𝗮𝗹𝗹𝘆 '𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗶𝗺𝗲,' 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲.
และ “ห้วงขณะเดียวเท่านั้นที่มีอยู่” ที่ว่านั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด และในขณะที่เธอเคลื่อนผ่านมันไป เธอจะเกิดความรู้สึกเสมือนว่าเธอ “เพิ่งเคลื่อนผ่านเวลาไปเมื้อกี้นี้” นั่นก็เพราะเธอทำอย่างนั้นจริงๆ★ (มันเป็นแบบนั้นจริงๆ)
★เพิ่งเคลื่อนผ่านเวลาไปเมื้อกี้นี้จริงๆ ซึ่งการเคลื่อนผ่านแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสติ จึงหมายความว่า จำได้ ระลึกได้ว่า “เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น”
ต่อจากโพสต์ที่แล้วที่ผมอธิบายว่า พอสติจับได้ว่า เมื่อกี้นี้ (ในขณะที่ คู่ใดคู่หนึ่งจากทั้ง 6 คู่ กระทบกัน) มันยังไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ตอนนี้มีความหมายขึ้นมาแล้ว หลังจากนี้หากสติไวขึ้นอีก สติ (จิต) จะจับได้ว่า ตัวมันเองก็รับรู้ได้เป็นขณะๆๆๆๆ มันมีห้วงขณะแห่งการไม่รับรู้ และ ห้วงขณะแห่งการรับรู้ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ; จิตไม่รับรู้-รับรู้ เป็นขณะๆๆๆๆๆแบบนี้อยู่ตลอด
(ให้ลองนึกถึงหลอดไฟที่กำลังสว่างอยู่ครับ ผมรู้ว่าทุกคนรู้ว่าในความเป็นจริงแล้ว หลอดไฟมันกระพริบอยู่ตลอด แต่มันกระพริบเร็วมากๆ จนดูเหมือนว่า เสมือนว่า ตัวมันสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่วงว่างของตอนที่ไม่สว่างเลย การรับรู้ของจิตก็เป็นแบบนั้นครับ)
แล้วทำไมจิตถึงรับรู้ได้แค่เป็นขณะๆๆๆๆๆ? พระองค์เฉลยแล้วไงครับ เพราะความจริงมันมีแค่ ห้วงขณะเดียว นั่นคือ ปัจจุบันขณะอันไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง ทำให้ธรรมชาติเดิมแท้ของการรับรู้ของจิตจึงเป็นเช่นนั้น ทำให้ตัวมันถึงรับรู้เหตุการณ์ (สิ่งที่เกิดขึ้น) เป็นแบบต่อเนื่องไปตามลำดับไปเรื่อยๆๆๆๆๆ ไม่อาจรับรู้ทั้งหมดพร้อมกันได้ เพราะตัวมันตกอยู่ภายใต้กฎของเวลาที่เป็นขณะๆๆๆอยู่นั่นเอง แต่ทว่าวิญญาณไม่ใช่ มันอยู่นอกเหนือกฎนี้ ตัวมันถึงรับรู้ได้ทุกอย่าง
เอาแค่ประมาณนี้ก่อนละกันครับ สมองพังกันยังครับ? 😅 (อย่างว่าเรื่องนี้มันใช้สมองไม่ได้อะนะ เพราะคิดยังไงก็ไม่มีวันคิดออก ต้องประสบกับตัวเองดูเท่านั้น ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ได้ยากเลย แค่ต้องลองฝึกมีสติกันดูเท่านั้นเองครับ) เอาจริงๆไม่อยากอธิบายสภาวะแบบนี้ให้ฟังเลยครับ เพราะความคิดที่ได้จากการอ่านสภาวะ จะไปขวางประสบการณ์จริงของสภาวะ แต่ก็....จะมีสักกี่คนที่จะไปลองทำกันจริงๆจังๆ ดังนั้นหากได้อ่านกัน ก็น่าเกิดประโยชน์มากกว่า ผมคิดว่างั้นนะ (หรือว่าผมคิดไปเอง? 😅)
2
–ผู้แปล–
"𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝗶𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁𝘀 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲𝘀. 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀.
เวลาเป็นสิ่งที่เธอสังเกตเห็นได้ไปตามลำดับ ในขณะที่ตัวมันดำรงอยู่มีอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกันในทุกๆพื้นที่ ช่องว่างและเวลาจึงเป็น “ไปตามลำดับและมีอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกัน”
"𝗔𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗱𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗿𝗶𝗱𝗼𝗿𝘀 𝗼𝗳 𝗧𝗶𝗺𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 𝘃𝗮𝘀𝘁. 𝗧𝗵𝗲 '𝗢𝗻𝗹𝘆 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜𝘀' 𝗶𝘀 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗢𝗡𝗧𝗜𝗡𝗨𝗨𝗠 𝗽𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗲𝗹𝘆 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲/𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗯𝗲.
ในขณะที่เธอเคลื่อนไปตาม “อุโมงเวลา (ทางเดินของเวลา)” เธอจะสัมผัสได้ว่า พื้นที่ว่างและเวลานั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก สาเหตุที่ “ห้วงขณะเดียวเท่านั้นที่มีอยู่” ถูกเรียกว่า 'ความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา' นั้น ก็เพราะว่า ความจริงของพื้นที่ว่างและเวลานั้นมีความต่อเนื่องกันไปเช่นนี้อยู่เสมอ
"𝗬𝗼𝘂, 𝗮𝘀 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁, 𝗰𝗮𝗻 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 (𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆) 𝗶𝗻 𝗲𝗻𝗱𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳.
𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗥𝗘 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝘂𝗳𝗳 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗺𝗮𝗱𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗘𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗻 '𝗜𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆.'
“เธอ“ ในฐานะวิญญาณบริสุทธิ์ (ไร้มลทิน) จะเคลื่อนผ่านความเป็นจริงหนึ่งเดียวนี้ (บางครั้งความเป็นจริงหนึ่งเดียวนี้ก็ถูกเรียกว่า "ภาวะเอกฐาน")★ ในวัฏจักรอันไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่เธอยังคงมีประสบการณ์ถึง "ตนเอง" ได้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เธอ "คือ" ภาวะเอกฐานนี้ และ "คือ" สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากภาวะนี้ เธอคือแก่นแท้ (ที่เป็นรากฐานของทุกสิ่ง) อันบริสุทธิ์ คือพลังงานหนึ่งเดียวนั้น เธอคือภาคส่วนหนึ่งอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพลังงานและแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวนี้ เธอคือแต่ละภาคส่วนของภาวะเอกฐานที่ว่านี้
★ความเป็นจริงหนึ่งเดียวที่คลอบคลุมความเป็นจริงทั้งมวลเอาไว้ — มันคือ ภาวะเอกฐาน ที่ดำรงไว้ซึ่งความเป็นไปได้ทั้งมวล –ผู้แปล–
"𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗚𝗼𝗱. 𝗧𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗬𝗼𝘂.
ภาวะเอกฐานที่ว่านี้คือสิ่งที่พวกเธอบางคนเรียกว่า “พระเจ้า” ส่วนความเป็นปัจเจกคือสิ่งที่พวกเธอบางคนเรียกว่า “ตัวเธอ” (พวกเธอแต่ละคน)
"𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝘀𝗽𝗹𝗶𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝘂𝗽 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝗶𝗻 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝘃𝗮𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺 '𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀.'
𝗧𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗮𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗧𝗢 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗢𝗙 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗧𝗛𝗥𝗢𝗨𝗚𝗛 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳.
เธอสามารถแบ่งแยกตัวเองออกไปและให้พวกมันเคลื่อนผ่านภาวะเอกฐานได้ในหลายทิศทาง เธอเรียกการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่แตกต่างกันเหล่านี้บนความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลาว่า “แต่ละชาติภพ” ของเธอ
✴️ นี่คือวัฏจักรแห่งการสำแดงตัวตน ที่ตัวเองเปิดเผยตัวเองสู่ตัวเอง ผ่านวงจรแห่งการเป็นตัวเองผ่านชีวิตในหลากหลายชาติภพ (และหลากหลายตัวตนอันนับไม่ถ้วน) ✴️
𝗡 : 𝗜 𝗮𝗺 𝗳𝗹𝗼𝗼𝗿𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜'𝘃𝗲 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗮𝗱 𝗮𝗻𝘆𝗼𝗻𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗮𝗶𝗻 𝗶𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗼 𝗺𝗲 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲.
N : ผมตกตะลึงพรึงเพริดแบบสุดๆ นี่มันกระทบกับความรู้ความเข้าใจของผมแบบสุดๆ ไม่เคยมีใครอธิบายให้ผมฟังแบบนี้มาก่อนเลยครับ
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗶𝘁'𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗧𝗶𝗺𝗲."
G : ดี เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง (ว่าเธอจะเข้าใจมันตอนไหน)
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗰𝘂𝘁𝗲. 𝗬𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗰𝘂𝘁𝗲.
N : โอ้ เอาอีกแล้วนะครับ พระองค์ทำตัวน่ารักอีกแล้วนะครับ★
★ประมาณว่า พระองค์เพิ่งอธิบายว่าเวลาในแบบที่เราเข้าใจก่อนหน้านี้นั้นเป็นมายา มันเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง (ว่า มีอดีต มีปัจจุบัน มีอนาคต – ทั้งที่ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน) แต่พระองค์กลับบอกนีลว่า มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาน่ะนะ ว่าเธอจะเข้าใจตอนไหน ซึ่งนั่นก็คือ ตอนนี้ 😄 –ผู้แปล–
1
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝗻𝗸 𝘆𝗼𝘂."
G : ขอบใจนะ
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗻𝗼𝘄 𝗹𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝗳 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗼 𝗺𝘆 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹 𝗦𝗲𝗹𝗳, 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝗲𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗪𝗲 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗿𝗲 '𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆.'
N : ตอนนี้ให้ผมลองสรุปถึงสิ่งที่พระองค์กำลังต้องการจะบอกดูนะครับ มนุษย์ทั้งหมดนั้นเป็น “แต่ละปัจเจกภาคส่วนของภาวะเอกฐานที่กำลังมีประสบการณ์ถึงชีวิตในแต่ละชีวิตต่อเนื่องกันไปตามลำดับอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกัน
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝗶𝘁 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁."
G : แบบนั้นแหละ เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
𝗡 : 𝗔𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗶𝗱𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲? 𝗗𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗲𝗮𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝗶𝗱? 𝗜 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗦𝗔𝗜𝗗...
N : พระองค์ล้อเล่นหรือเปล่า❓ พระองค์ได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปไหมเนี่ย❓ ผมเพิ่งพูดว่า...
𝗪𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆.
พวกเราทุกคนคือแต่ละปัจเจกภาคส่วนของภาวะเอกฐานที่กำลังมีประสบการณ์ถึงชีวิตในแต่ละชีวิตต่อเนื่องกันไปตามลำดับอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกัน
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝗶𝘁 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁."
G : ได้ยินสิ และฉันก็เพิ่งบอกว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
𝗡 : 𝗧𝗲𝗿𝗿𝗶𝗳𝗶𝗰. 𝗜'𝗺 𝗶𝗻 𝗪𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗹𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜'𝘃𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗳𝗮𝗹𝗹𝗲𝗻 𝗱𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗯𝗯𝗶𝘁 𝗵𝗼𝗹𝗲.★
N : เยี่ยมไปเลย ตอนนี้ผมอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์เรียบร้อยแล้ว ผมเพิ่งเข้าใจเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน★
★down the rabbit hole — เป็นวลีที่มาจากนวนิยายเรื่อง การผจญภัยของอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ครับ – ที่อลิซตกลงไปในโพรงกระต่าย แล้วไปอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ ได้ประสบกับเรื่องเกินจินตนาการมากมาย เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ในโลกปกติ ความหมายก็ประมาณว่า การตกอยู่ในสถาณการณ์ที่แปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ หรือ เรื่องราวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ไม่คาดฝันอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งวลีนี้ถูกใช้บ่อยโดยเฉพาะในบริบทของการเล่นเน็ต ซึ่งคนเล่นเน็ตมักจะอ่านหรือดูเนื้อหาต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ฉันกำลังดูวีดีโอนึงในยูทูป โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ผ่านไปทั้งบ่ายแล้ว อะไรแบบนั้นครับ –ผู้แปล–
=========(((จบบทที่ 17)))=========

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา