25 มิ.ย. 2023 เวลา 09:47 • ความคิดเห็น
มันมีเรื่องหนึ่ง เรื่องการถือสัจจะ ..สมมุติว่า เราถือสัจจะ อดข้าว . เราเห็นเค้ากินข้าวปลา..รีบไปนั่ง..ร่วมวงดูเค้ากินกัน ..แต่เราก็ไม่กิน ..เราบอกตัวเอง ว่าเราไม่กิน ..เราก็..นั่งดูอารมณ์ความรู้สึกของเรามันเป็นยังไง มันหิวมันหงุดหงิด ..ใครยั่วเรา ..เราก็ดูตัวเองมีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ในตัวตนของเรา ไม่ใช่บอกว่า อดข้าว แล้วก็หลบ ไปอยู่เงียบ ..เค้าอดเพื่อจะดูอารมณ์ แล้วใช้สติปัญญาที่เรามี ..สังเกตเห็นเรียนรู้จักอารมณ์ของตัวเอง
เรื่องที่เค้าว่ามีการปิดวาจา..เราก็ปิดปากเรา ..ไว้ ให้ดี ..แล้วเรากทำขึ้น ..ปิดวาจา ..ตรงไหนที่เพื่อนฝูง ชอบติเตียน นินทา วิพากษ์วิจารณ์ เราก็เสนอตัวไปนั่งฟัง เค้านินทาติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ ..แล้วเราก็ก็บอกตัวเอง ..ไม่ต้องพูดจาอะไร ทั้งนั้น ฟังในสิ่งที่วาจา ติเตียน นั่นเป็น อย่างไร วิพากษ์วิจารณ์ กิริยาท่าทาง มือไม้ หน้าตา ตัวติเตีนยวิพากษ์วิจารณ์..เราก็ดูไปว่ามันน่าฟัง มันมีสาระไม่มีสาระ ที่เข้ามามีแต่เรื่องข้างนอกนำเข้ามาข้างใน
…เรื่องปิดวาจานั้น มันต้องบอกคนรอบข้างที่เราจะกระทำ ..ให้รู้ว่า เราจะปิดวาจา เรียนรู้อารมณ์ของตัวเอ จะได้ไม่เกิดมีความวิปริต เจ้าใจกันผิด หาพูดด้วยไม่พูดด้วย ยิ่งยโสไปเสียอีก ต้องทำในที่เหมาะสม
..เราก็ดูทิฐิอารมณ์ความนึกคิดเรามันเกิดขึ้น มันอยากจะพูด รำคาญหงุดหงิด โมโห .เราก็ดูเฉย..ดูอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ดูให้มันกระทุกซอกมุมในตัวตัวเอง เราพอใจ ไม่ชอบใจ ในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง มันมันสุขหรือทุกข์
เราก็ดู ..ยิ่งเมื่อผ่านเวลาไปแล้ว เราก็เอาเรื่องที่เราปิดวาจา ไปนั่งฟังเค้ามา ..เราก็มานั่งสมาธิ ..พอจิตมันนิ่ง เฉยๆ อารมณ์ที่เราไปฟังเค้ามามันผุดขึ้น เราก็นำมาใคร่ครวญ ว่าเป็นอย่างไร เป็นทุกข์สุขอย่างไร แล้วเราใช้กายวาจาใจอย่างนั้นมั้ย เมื่อเราเคยใช้ เราก็บอกตัวเอง ขอให้เราอย่ามีกายวาจาใจเยี่ยงเค้า
เราก็จะได้ค่อยเรียนรู้จักอารมณ์ที่เกิดในกาย ที่เค้าว่าเป็นกิเลส มันเป็นอย่างไรบ้าง .เราปล่อยวางมันได้มั้ยจะทำอย่างไรจึงจะปล่อยวางอารมณ์ แต่หากจิตเราไม่เข้มแข็ง ต่ออารมณ์ มันก็พิจารณาอารมณ์ไม่ได้ มีแต่จะไหลไปตามอารมณ์กรรม ฉะนั้น เมื่อมานั่งสมาธิ ก็ทำให้เป็นสมาธิ ไม่นึกคิดอะไรเลย .
แม้แต่เรื่องที่เราดูข่าว ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เสียดสี เราก็ใช้วิธีปิดวาจา นั่งดูเค้า ทำใจทำจิต ให้มันเที่ยงตรงเหมือนตราชั่ง แล้วก็นั่งฟังนั่งดูไป ว่าเราจะรักษาตราชั่ง ไม่เอนเอียง มีทิฐิไปทางไหน ..เมื่อมันเอนเอียง ก็พยายามจับกายจับจิต ให้มาอยู่ในที่เที่ยง ให้เที่ยงตรงเข้าไว้ ดูซิใจมันจะเที่ยงตรง เที่ยงธรรม..มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่ ต่อภาพที่เห็นตาได้ยิน ..เราก็รักษาจิตของเรา จะได้ รู้จักคำว่าสติ ที่เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปตามอารมณ์
(..(หลังจากดูข่าว ..เสพข่าว..ไปแล้ว ..คราวนี้ เราก็มากราบพระบ้าง ..ดูซิว่า สังเกตตัวเอง ทำกายนิ่ง ดูที่ปากที่โคลนลิ้น ..สวดมนต์ไป สังเกตตัวเอง ..ว่ามีอะไรเกิดขึ้น กายวาจาใจของเรา มีสติอยู่กับการสวดมนต์มั้ย .หรือ ว่ามีเรื่องราวที่เราเอาตาเอาหูไปดูไปฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้มา แล้วมันก็เก็บอารมณ์บันทึกอารมณ์นั้นมา .สู่กายสู่จิต เราก็จะได้ค่อยเรียนรู้เรื่อง จิตกับอารมณ์ ที่เราไปเอามาเอง..)
เราไปมัวปิดหัวปิดตาตัวเอง มันก็ไม่รู้เสียที วิญญาณหกเค้าให้มาแล้ว เราก็ใช้มัน..ดูซิว่า อารมณ์ที่ผ่านตาหูมันเป็นยังไง เพียงแต่เราต้องตั้งใจ ที่จะเรียนรู้จักอารมณ์ตัวเอง เค้าบอกว่า มัวแต่หนี ..ไม่เดินปะทะอารมณ์ กิเลสมันจะหมดไปได้อย่างไร เค้าจึงบอก ว่า เวลาตีเหล็ก ก็ตีตอนที่มันกำลังร้อน ..เมื่อเราเองก็มีสติปัญญา..เราอดทนเสียหน่อย..อดทนเอาตัวเอง .ปะทะเหตุ ..แล้วก็จะได้ดูอารมณ์ ตัวเอง ..เราจะได้รู้จักที่จะชนะอารมณ์ในกายของตนเอง
โฆษณา