1 ก.ค. 2023 เวลา 03:50 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 24)

🍀 ข้ามพ้นโลกแห่งผัสสะ เข้าถึงบรมสุขอันไม่เสื่อมสลาย 🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣7️⃣➖2️⃣8️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 1) หน้า 612–616
โศลกที่ 2️⃣7️⃣➖2️⃣8️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
มุนี — ผู้ถือเอาการหลุดพ้นเป็นเป้าหมายเดียวในชีวิต ท่านจึงละวางความอยาก ความกลัว และความโกรธ — ควบคุมผัสสอินทรีย์ มนัส และพุทธิ ออกจากโลกภายนอกด้วย (เทคนิค) การสยบกระแสปราณและอปาน ที่ปรากฏ (เป็นการหายใจเข้าหายใจออก) ในช่องจมูก เพ่งที่จุดตรงกลางระหว่างคิ้ว (ซึ่งจะเปลี่ยนการเห็นในสองกระแสเป็นกระแสตาทิพย์เพียงตาเดียว) มุนีเช่นนี้ย่อมเป็นผู้ชนะ หลุดพ้นได้อย่างบริบูรณ์
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ในสองโศลกนี้และบทที่ 4:29 คีตาไม่พูดถึงนามธรรม และการกล่าวอย่างรวม ๆ หากแต่พูดถึงเทคนิคเฉพาะเพื่อการล้างบาป ด้วย 'กริยาโยคะ: เท่านั้น
'มุนี' (แปลตามตัว “รวมกับเอกองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่ง”) คือโยคีที่สามารถถอนจิตจากผัสสะภายนอกและไม่ให้ผัสสะนั้นดึงจิตไปได้ตามที่ท่านต้องการ ฉายามุนีในที่นี้ใช้ยกย่องผู้สำเร็จกริยาโยคะ สามารถรวมจิตกับบรมสุขนิรันดร์
เป้าหมายเดียวของมุนี้คือการขึ้นสู่บรมวิญญาณจักรวาล ที่ซึ่งวิญญาณได้จากมา มุนีใช้ญาณปัญญามองวิญญาณ (ซึ่งตกเป็นทาสของอินทรีย์ จึงยึดโยงอยู่กับอหังการของมนุษย์) เห็นมันสร้างทุกข์ให้แก่กายและจิตอย่างนับไม่ถ้วน เป้าหมายของท่านคือการเปลี่ยนอหังการให้เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยการใช้ศาสตร์การแยกจิตและปัญญาจากผัสสอินทรีย์
—————————💠—————————
กริยาโยคะทำให้วิญญาณรู้แจ้งได้อย่างไร
—————————💠—————————
ด้วยเทคนิคพิเศษของกริยาโยคะ ลมหายใจเข้าของปราณและลมหายใจออกของอปานจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกระแสลมเย็นและลมอุ่น ตอนแรก ๆ ที่ปฏิบัติ กริยาโยคะ ผู้ภักดีจะรู้สึกว่ากระแสปราณเย็นวิ่งขึ้นมาตามไขสันหลัง และกระแส อปาน อุ่นวิ่งลงไปตลอดแนวไขสันหลัง พร้อม ๆ กับลมหายใจเข้า – หายใจออก ผู้ปฏิบัติ กริยาโยคะ ขั้นก้าวหน้า จะพบว่าลมหายใจเข้าของ ปราณ และลมหายใจออกของ อปาน “สม่ำเสมอ” — มีสภาวะเป็นกลาง ๆ หรือดับไป เขารู้สึกแต่ว่ากระแสเย็นของ ปราณ วิ่งขึ้นไปตามแนวไขสันหลัง และกระแสอุ่นของ อปาน วิ่งลงไปตามแนวไขสันหลัง
กระแส ปราณ และ อปาน ซึ่งมีความละเอียดยิ่งนี้เกิดจากปราณทิพย์ หรือ พลังญาณปัญญา ที่สร้างกายและทำให้กายดำรงอยู่ได้ (อ่านบทที่ 4:29-30) ปราณหรือกระแสชีวิตนี้เชื่อมกับลมหายใจเข้า เป็นช่องทางให้ออกซิเจนในลมหายใจเข้าเปลี่ยนเป็นพลังชีวิต อปานหรือกระแสขับออก (ขับของเสียออกจากร่างกาย) จะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นพิษออกจากร่างกาย
ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นวัตถุหยาบ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ ซึ่งเกิดจากโมเลกุลต่าง ๆ โมเลกุลประกอบด้วยอะตอม อะตอมเกิดจากอิเล็กตรอนกับโปรตรอน อิเล็กตรอนกับโปรตรอน ประกอบด้วยพลังชีวิต (ปราณ) หรือ “ประจุพลังชีวิต” ซึ่ง “ประจุพลังชีวิต” สามารถสลายกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน นั่นก็คือ “#ประจุพลังดำริ” ของพระเจ้า
“ในปฐมกาล พระวาทะ (พลังสั่นสะเทือนของจักรวาล, พลังสร้างสรรค์ชีวิต หรือ พระดำริอันสั่นสะเทือนของพระเจ้า) ดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า... พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ” ★ [★ยอห์น 1:1, 3]
“พระเจ้าตรัสว่า จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น”★ [★ปฐมกาล 1:3] นั่นก็คือ พระดำริของพระเจ้าได้สั่นสะเทือนเข้าสู่แสงชีวิตจักรวาล หรือ ปราณจักรวาล และปราณ จักรวาลจับตัวเป็นอิเล็กตรอน โปรตรอน อะตอม โมเลกุล เซลล์ และสสาร เช่นเดียวกับในภาพยนตร์มายาของดิน น้ำ หรือแสงแดด หรือ กระแสไฟฟ้า หรือ ก๊าซ หรือ ระเบิดปรมาณู หรือ การปรากฏของความคิดและชีวิตในมนุษย์ล้วนเป็นการสั่นสะเทือนของแสงและเงาทั้งสิ้น
ดังนั้นโลกนี้ที่ประกอบด้วย ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ พลังงาน ชีวิต และ ความคิดในมนุษย์ล้วนเป็นพลังสั่นสะเทือนและสัมพัทธภาพในพระดำริแห่งพระเจ้า และแสงจักรวาลแห่งพระองค์และเงามายา★★ แห่งพระองค์
แรกสุดพระดำริแห่งพระเจ้าได้ทำให้เกิดปราณจักรวาล หรือแสงพลังชีวิตขึ้นมา และสุดท้ายเกิดเป็นสสารทั้งหลายในมหาจักรวาล ร่างกายของมนุษย์เป็นอนุจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้าง อนุจักรวาลกายมนุษย์ประกอบด้วยปัจเจกวิญญาณกับพลังชีวิต จิต ชีวิต และเนื้อหนัง; จิตจักรวาล ชีวิตจักรวาล และสสารจักรวาล ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากพระดำริแห่งพระเจ้าที่สั่นสะเทือนแตกต่างกัน
★★ปรมหังสาจีได้เขียนไว้ใน 'อัตชีวประวัติของโยคี' ว่า : “ในบรรดาความลับนับอสงไขยของจักรวาลนั้นปรากฏการณ์สำคัญที่สุดคือแสง”
และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้แสดงความเห็นไว้เมื่อปี 1951 ว่า : “ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ครุ่นคิด ข้าพเจ้ายังไม่ได้คำตอบต่อคำถามที่ว่า พลังงานแสงคืออะไร แน่นอน ทุกวันนี้ มีคน ทะลึ่งคิดว่าตนรู้คำตอบนี้ แต่เขากำลังหลอกตัวเอง”
ครึ่งศตวรรษต่อมา ดร.อาร์เธอร์ ซายองก์ นักฟิสิกส์แห่งวิทยาลัยแอมเฮิร์สท์ ได้ยอมรับว่าศาสตร์นี้ยังขาดความเข้าใจอย่างแท้จริง เขาเขียนไว้ในหนังสือ Catching the Light: The Entwined History of Light and Mind (New York: Bantam Books, 1993) ว่า :
“ทฤษฎีควอนทัมได้วางกรอบทฤษฎีแสงขึ้นมาใหม่ ว่านักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยใหม่ทุกคน นับแต่ไอน์สไตน์มาจนถึง ริชาร์ด เฟนมานน์ ได้พยายามทำความเข้าใจ ...แต่พวกเขาก็ตระหนักว่าตนทำได้ไม่สำเร็จ... แม้ว่าควอนทัมออปติกส์จะมีความแม่นยำ มีอำนาจ และมีความงาม แต่เรายังไม่รู้ว่าแสงคืออะไร”
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์แนวหน้าในทฤษฎีควอนทัม เริ่มที่จะอธิบายแสง (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเคลื่อนผ่านอากาศตามกฎควอนทัมฟิสิกส์) ว่าเป็นปรากฏการณ์การสื่อสารจิต (ข้อมูล) สู่สสาร (รูป)
บทความหนึ่ง ในวารสาร Brain/Mind Bulletin, 11 กรกฎคม 1983 ได้ตั้งคำถามว่า “แสงทำให้เกิดโครงสร้างของสสารหรือไม่ เมื่อไม่นานมานี้ ดร.เดวิด โบห์ม ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้พูดถึงสสารว่าเป็น 'แสงที่แข็งตัว' มวลสารเป็นปรากฏการณ์ของแสงที่วิ่งไปมาอย่างเชื่อมโยงกัน ในอัตราการเคลื่อนไหวที่เฉลี่ยแล้วช้ากว่าการเดินทางของแสง ดร. โบห์ม กล่าวว่า 'ถ้าพูดรวม ๆ แสงเป็นวิธีที่จักรวาลเปิดเผยตัวมันเอง แสงเป็นพลังงาน เป็นข้อมูล เป็นเนื้อหา เป็นรูป และเป็นโครงสร้าง เป็นศักยภาพของทุกสิ่ง' ”
ไมเคิล ทัลบอต ได้ตั้งคำถามไว้ใน The Holographic Universe (New York: Harper Collins, 1991) ว่า
“ถ้าจักรวาลของเราเป็นแค่เงาซีด ๆ ของระเบียบที่ลึกล้ำ แล้วจะมีอะไรอีกบ้างล่ะ ที่ซ่อนอยู่ในผืนผ้าแห่งความจริงของเรา (นักฟิสิกส์ เดวิด) โบห์ม ได้ชี้ให้เห็นว่า ตามความเข้าใจของฟิสิกส์ปัจจุบัน เทศะ (space) ทุกส่วนเต็มไปด้วยสนามต่าง ๆ และคลื่นที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ กันไป อย่างน้อยแต่ละคลื่นต้องมีพลังงานอยู่บ้าง เมื่อนักฟิสิกส์คำนวณปริมาณของแสงแม้น้อยที่สุดก็มีคลื่นอยู่ด้วย พวกเขาพบว่าในที่ว่างทุกลูกบาศก์เซนติเมตรมีพลังงานมากกว่าพลังงานของสสารใด ๆ ในจักรวาล
“นักฟิสิกส์บางคนไม่สนใจการคำนวณนี้ พวกเขาเชื่อว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดอยู่บ้าง โบห์มคิดว่ามหาสมุทรพลังงานอันไพศาลนี้มีอยู่ และอย่างน้อยเขาก็ได้บอกเราบ้างเกี่ยวกับธรรมชาติอันไพศาลเร้นลับของระเบียบที่เกี่ยวข้อง เขารู้สึกว่านักฟิสิกส์ส่วนใหญ่ไม่สนใจการดำรงอยู่ของมหาสมุทรพลังงานอันไพศาลนี้ เพราะพวกเขาถูกสอนให้สนใจแต่วัตถุ หรือ สสาร ที่อยู่ในมหาสมุทรนั้น พวกเขาก็เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ”
อาร์เธอร์ ซายองก์เขียนไว้ว่า “ลักษณะหนึ่งของอิเล็กโตรไดนามิกส์ควอนทัม คือความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับ สุญญากาศ, ความว่าง ก่อนหน้านี้เข้าใจกันว่าสุญญากาศคือความว่างแท้ ๆ ไม่มีสสาร ไม่มีแสง ไม่มีความร้อน แต่ทุกวันนี้ เชื่อว่ามีเศษของพลังซ่อนอยู่ ถ้าเอาสสารและแสงออกไปจากเทศะให้หมด พลังงานอันไพศาลก็ยังอยู่”
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
.
◾"กริยาโยคะ" กระบวนการเปลี่ยนลมหายใจให้เป็นพลังชีวิตเพื่อหยั่งรู้ว่าร่างกายคือแสง◾
เมื่อกริยาโยคีเรียนรู้ที่จะสลายลมหายใจเข้า-ออก ไปรวมกับการรับรู้ในกระแส ร้อน-เย็น ที่ไหลขึ้น-ลงที่ไขสันหลัง ท่านรู้ได้ว่าสิ่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายของท่านคือกระแสพลังชีวิตทั้งสองนี้ ไม่ใช่ผลพลอยได้จากลมหายใจ ท่านรู้ด้วยว่ากระแสทั้งสองนี้ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยพระวาทะ หรือแสงจักรวาล ปราณทิพย์ ที่เข้าสู่ร่างกายทางท้ายสมอง พลังชีวิตนี้รวมตัวกันทํางานผ่านจักระในสมองใหญ่ จักระท้ายสมอง จักระคอ จักระลำตัว จักระบั้นเอว จักระกระเบนเหน็บ และจักระก้นกบ ให้พลังงานแก่ร่างกายไปทั่วทุกเซลล์
พระเยซูตรัสถึงพระวาทะแห่งพระเจ้าที่ว่า มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้★ [★มัทธิว 4:4] ข้อความที่น่าจดจำนี้แสดงว่าร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตจากภายนอก —ลมหายใจ ออกซิเจน แสงแดด ของแข็ง และของเหลว— เท่านั้น แต่ได้จากแหล่งตรงคือชีวิตจักรวาลในตน #ที่เข้ามาสู่ร่างกายทางท้ายสมอง แล้วไหลไปสู่จักระในสมองและไขสันหลัง
กล่าวกันว่าท้ายสมองของมนุษย์คือ 'พรหมมุข' “โอษฐ์ของพระเจ้า” เพราะเป็นประตูใหญ่ เปิดให้พลังชีวิตจักรวาลเข้ามาในกาย “พระวาทะ” ที่ออกจาก “โอษฐ์ของพระเจ้า” ไหลมารวมที่อ่างเก็บพลังชีวิตในสมองและที่จักระทั้งหลายในไขสันหลัง
กริยาโยคีที่สำเร็จในสมาธิ สามารถเปลี่ยนอารมณ์ที่แตกต่างของการหายใจเข้าและหายใจออก ให้เป็นกระแสชีวิตสองกระแส คือกระแสเย็นของปราณ กับกระแสอุ่นของอปาน ซึ่งรู้สึกได้ในไขสันหลัง และท่านเห็นแจ้งถึงความจริงที่พระเยซูได้ตรัสไว้ นั่นคือมนุษย์อยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยลมหายใจภายนอก (หรือ “ขนมปัง” หรือสิ่งหล่อเลี้ยงจากภายนอก)
โยคีรู้ว่ากระแสเย็นและกระแสร้อนในไขสันหลัง มีพลังแม่เหล็กดูดดึงกระแสพลังสูงจากพลังชีวิตจักรวาลที่ไหลเข้ามาทางท้ายสมอง ท่านค่อยๆ พบว่ากระแสทั้งสองนั้นเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตที่รวมเป็นหนึ่งซึ่งทรงพลัง เพราะได้ดูดดึงปราณมาจากเซลล์และประสาททั่วกาย กระแสชีวิตที่ทรงพลังนี้ไหลขึ้นไปที่จุดระหว่างคิ้ว กลายเป็นตาทิพย์สามวงสามสี คือ แสงเจิดจ้ากลางพื้นสีนํ้าเงิน ล้อมรอบดวงดาวสว่างไสว
พระเยซูตรัสถึง ตา “เดียว” ที่กลางหน้าผาก และความจริงที่ว่าแท้จริงแล้ว #ร่างกาย เกิดจากแสง ด้วยถ้อยคำดังนี้ “ถ้าตาของท่านรวมเป็นหนึ่ง ตัวท่านก็พลอยสว่างไปด้วย”★ [★มัทธิว 6:22]
เมื่อโยคีสามารถส่องจิตเข้าไปในวิญญาณจักษุ ท่านจะเห็นกายเป็นเซลล์แสงเล็ก ๆ ของโปรตรอน อิเล็กตรอน และ ประจุพลังชีวิต ไม่ได้เห็นเป็นเนื้ออย่างที่คนธรรมดาเห็น กายหยาบของเราประกอบด้วยกระแสสองระดับ คือ กระแสอะตอมปรากฏเป็นเนื้อหนัง กับอีกระดับที่ประณีต ซึ่งประกอบด้วยอิเล็กตรอน และโปรตรอน #กายอิเล็กตรอนโปรตรอนนี้แผ่จากกระแสปราณแสงแห่งกายทิพย์นั่นเอง
'กายทิพย์' ของมนุษย์ประกอบด้วยความเข้มของแสงต่าง ๆ กัน เช่นเดียวกับกายหยาบที่ถูกสร้างจากเนื้อเยื่อที่แตกต่างของผิวหนัง เนื้อ กระดูก และอวัยวะภายใน กริยาโยคีเห็นด้วยตาปัญญาว่ากายทิพย์ของท่านเกิดจากประจุพลังชีวิต —เซลล์ปราณทิพย์— ท่านเห็นว่าแสงสุรีย์แห่งชีวิตสะท้อนผ่านวิญญาณจักษุเข้าไปสู่สมองทิพย์ ศูนย์ทิพย์ต่าง ๆ และช่องทางเดิน (นาฑี) ของปราณทิพย์ เพื่อบำรุงเซลล์กายทิพย์
ท่านเห็นด้วยว่ากายเนื้อของท่าน ไม่เป็นอะไรนอกไปจากเป็นแสงหยาบของอิเล็กตรอน โปรตรอน และอะตอม #ที่ฉายออกมาจากกายทิพย์ เมื่อก้าวหน้าต่อไป โยคีเห็นทั้งกายหยาบและกายทิพย์ของท่าน #ฉายออกมาจากกายเหตุหรือกายดำริ ซึ่งประกอบด้วยประจุพลังพระดำริของพระเจ้าที่ทำงานร่วมกัน (อ่านหน้า 63 เป็นต้นไป)
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา