Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
V Growth
•
ติดตาม
21 ต.ค. 2023 เวลา 12:59 • ธุรกิจ
“3 Performance สำหรับคนทำงานทุกคน”
สำหรับคนทำงานแล้วการถูกประเมินผลการทำงานในช่วงกลางปี และปลายปีนั้น นับเป็นเรื่องปรกติที่เราจะต้องโดนประเมินอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญในการกำหนดเป้าหมายผลงานของตัวเองตั้งแต่ต้นปี หรือบางคนไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาวัดผลงานหรือ Performance ของตัวเราเรื่องอะไรบ้าง แล้ว Performance อะไรที่ต้องส่งมอบให้กับบริษัทบ้าง ยิ่งเป็นน้องๆที่เริ่มทำงานมาไม่นาน หลายครั้งก็มักจะไม่มีใครสอน และมารู้ตัวเองอีกทีตอนโดนประเมิน Performance ประจำปี ที่ไม่ค่อยดีเสียแล้ว
ทุกบริษัททุกองค์กร ณ โลกแห่งทุนนิยมในปัจจุบันนั้น มีการวัด Performance ไม่ได้แตกต่างกันมาก ขอให้เราเข้าใจหลักการนี้ แล้วนำไปตั้งเป็นเป้าหมายผลงานที่ต้องทำ ชีวิตคนทำงานอย่างเราๆ ก็อาจจะไม่ลำบากยากเย็นจนเกินไป สำหรับการเดินอยู่บนเส้นทางของความสำเร็จ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ต้องการของทุกๆองค์กรที่เราทำงาน
“3 Performance ที่ต้องมีแล้วชีวิตจะเติบโต Performance เป็น A+++”
1. Marketing Performance : (Direct Performance & Indirect Performance)
เป็นเป้าหมายที่ทุกองค์กรต้องการมากที่สุด คือ ตัวเลขยอดเงินรายได้ และกำไร เพราะธุรกิจทำไปเพื่อมุ่งหวังผลที่เติบโตยั่งยืน หากคุณเป็นคนในกลุ่มที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ คุณก็จะอยู่ด้านบนสุดของยอดพีระมิด เป็นพนักงานหัวกะทิ
ซึ่งเราแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ผลงานการสร้างเม็ดเงินแบบตรง (Direct Performance) และผลงานการสร้างเม็ดเงินแบบอ้อม (Indirect Performance)
Direct Performance เป็นการสร้างผลงานยอดขายของเราเอง ผ่านการลงมือทำงานของตนเอง เช่น หากคุณเป็นทีมการตลาด ทีมขาย ทีมที่มีส่วนในการปิดการขาย หรือทีมทำแคมเปญ
ข้อนี้หากคุณมีหน้าที่เกี่ยวกับงานขายคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างยอดเงินได้ ยอดดีผลงานดี การประเมินย่อมดีแน่นอน ผลงานก็ควรจะเป็นซัก 4-10 เท่าของเงินเดือน
ซึ่งอาจจะดูจาก *EBIT (คือ รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขาย - ค่าใช้จ่ายในการบริหาร) เราก็ดูว่าบริษัทเรามี EBIT เท่าไหร่ ซึ่งเป็นกำไรขั้นต้น เช่น EBIT = 20% แสดงว่าเราสร้างยอดมาที่ 1 ล้านบาท กำไรขั้นต้นเข้าบริษัท คือ 2 แสนบาท เป็นต้น
ซึ่งถ้าเรามีเงือนเดือนที่ 3 หมื่นบาท เราทำกำไรให้บริษัท 2 แสนบาทต่อเดือน ก็เท่ากับเราสร้างผลงานมากกว่าเงินเดือน 6 เท่า เป็นต้น
ซึ่งหากเราเป็นเจ้าของบริษัท แล้วเห็นพนักงานคนนึงเป็นผู้สร้างกำไรให้บริษัทเติบโต เราในฐานะเจ้านายย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกลับไปให้กับพนักงานคนนั้นแน่นอน
หรือทางที่ดี เราก็ควรสร้างผลงาน ให้มากเท่าที่เราสามารถควบคุมให้มีการเติบโตแบบเป็นกราฟขาขึ้นไปได้ในทุกๆปี
แต่หากเป็นคนที่ไม่มีหน้าที่โดยตรง เรื่องของการปิดการขายกับลูกค้า เราจะทำอย่างไร?
คำตอบก็คือ “โปรเจค” ซึ่งเป็นความโชคดีที่ในสมัยนี้ ที่ทุกองค์กรนิยมทำโปรเจคใหม่ๆ เพื่อวางโครงการที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ในอนาคต ผ่านกระบวนการสร้างโปรเจค โดยให้พนักงานในทุกส่วนได้มีโอกาสคิดโครงการใหม่ๆ และให้ทรัพยากรทั้ง เงิน ทีมงาน หรือเวลา เพื่อทดลองดำเนินการว่าจะมีโอกาสเติบโตหรือไม่อย่างไร
นี่คือโอกาส สำหรับพนักงานที่ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการสร้างยอดขาย ได้มีโอกาสในการลองสร้าง Direct Performance ให้ตนเองและทีมงาน
Indirect Performance เป็นการสร้างผลงานยอดขายทางอ้อม ด้วยกิจกรรมการทำงานของเรา ซึ่งถือเป็นการหารผลงาน จากการที่เราไปมีส่วนร่วมในภาพรวมของการทำตลาด เช่น งานทำสื่อสนับสนุนงานขาย งานทำข้อมูลโปรโมชั่น งานติดต่อประสานงาน เป็นต้น
ซึ่งเราอาจมีส่วนในผลงาน 0.01% - 10% ขึ้นอยู่ว่าเรามีส่วนสนับสนุนยอดขายก้อนนั้นแค่ไหน ซึ่งเอาจริงๆ สำหรับผมแล้วผลงานหมวดสนับสนุนนี้ มีผลน้อยมากต่อการพิจารณาผลงาน Performance มีผลน้อยแต่ก็ต้องมี เพราะงานคุณนั้นต้องไปสนับสนุนใครบางคนแน่นอน
2. Leader Performance : (สอนคน & สร้างทีม)
ภาวะผู้นำเป็นคุณสมบัติสำคัญ สำหรับการเติบโตขึ้นมาอีกขั้น โดยผู้นำไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตัวอย่างเพียงเดียว แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่ตนเองมี ให้กับผู้อื่นในองค์กร
การสอนคนเป็น เป็นความสามารถที่ต้องฝึกฝน เพราะหลายครั้งเรามักจะพบเจอคนที่ทำงานเก่งกาจมากๆ แต่ไม่สามารถสอนคนอื่นให้เก่งขึ้นได้ ซึ่งพนักงานแบบนี้จะมีเพดานการเติบโต เพราะการขึ้นเป็นหัวหน้า หรือผู้นำ ต้องมีคุณสมบัติสำคัญ คือ การสร้างทีมให้เก่งกาจทั้งทีม ไม่ใช่การฉายเดี่ยวอีกแล้ว
สุดท้าย เราจะเติบโตได้แค่ไหน ก็ให้ดูว่าเราสร้างคน สร้างทีม ให้เติบโต และมีความสามารถในการทำข้อ 1 ได้แค่ไหน มันคือ การสร้างผลงานแบบทวีคูณ จากเวลาและความสามารถของทุกคนในทีม
ผลงานรวมของทีม = เวลาของทุกคนในทีม x (ความสามารถของแต่ละคน นำมาบวกกัน+)
ซึ่งเวลาในการทำงานมีคงที่ในแต่ละวัน แต่เราสามารถเพิ่มกำลังการทวีคูณได้ จากความสามารถที่มีเพิ่มขึ้นในสมาชิกแต่ละคนของทีม
3. Learning Performance : (เรียนรู้ทุกวัน & เก่งขึ้นทุกปี)
Performance ในข้อนี้ องค์กรอาจจะไม่ได้มีการชี้วัดอย่างชัดเจน ว่าคุณต้องไปเรียนอะไรแค่ไหน อาจจะมีแค่คอร์สเรียนที่ใส่ให้พนักงานแบบภาพรวม ที่เป็น Mandatory เป็นกรอบ กว้างๆ เอาไว้ไม่กี่เรื่อง
แต่ตัวเราเอง ที่ต้องตั้งเป้าหมายที่จะเก่งเป็นมืออาชีพในเรื่องใด และวางแผนการเรียนรู้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน ด้วยตัวเราเอง
คำว่า เก่งขึ้นในทุกๆปี เกิดขึ้นจากการลงมือทำในทุกๆวัน มันคือ การสะสมความรู้ความสามารถ เป็นการลงทุนในตัวเอง ที่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุดในโลก
วันนี้คุณอาจจะยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีๆ ผู้คนในองค์กรจะรับรู้ได้ถึงความสามารถของคุณ จากผลงานที่ปรากฏ และต่อให้หลายๆคนอยากจะพยายามเก่งเท่าคุณ พวกเขาก็ต้องลงทุนในเวลาเพื่อการพัฒนาเช่นเดียวกับคุณ ที่ต้องทุ่มเทเวลาเพื่อไปเรียนรู้ เพราะมันไม่มีทางลัด “ประสบการณ์ต้องใช้เวลาในชีวิตแลกมา”
และสิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การเลือกเรื่องที่จะไปเรียนรู้ เพราะเวลาของคนเรามีจำกัด
“เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต” จึงสำคัญ
บทความโดย : สายัณห์ บุญอาจ | Sayan Bunard
"ชีวิตคือศิลปะแห่งการเติบโต Growth is Life"
พัฒนาตัวเอง
การตลาด
marketing
2 บันทึก
1
4
2
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย