28 ต.ค. 2023 เวลา 15:15 • ประวัติศาสตร์

นัตโบโบยี ผีเฝ้าวัดเฝ้าเจดีย์ ที่คนไทยอุปโลกน์เป็นเทพทันใจ

นัต ผีกึ่งเทพพื้นเมืองที่ชาวพม่าเคารพบูชากันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาเผยแผ่ในพม่า
คำว่า “นัต” (နတ်) มาจากคำว่า “นาถ” ในภาษาบาลี หมายถึง “ผู้เป็นที่พึ่ง” ณ ที่นี้คือ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นที่พึ่งพิงและปกป้องคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ นัตจึงไม่ใช่วิญญาณธรรมดาสามัญ มีสถานะกึ่งผีกึ่งเทพ แต่ไม่เทียบเท่ากับเทพ ส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติ เสียชีวิตด้วยภัยร้ายแรง และจำเป็นต้องมีฤทธานุภาพในการคุ้มครองปกปักรักษาด้านต่าง ๆ จึงถือว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นนัตได้
การจัดระบบนัตเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พุกาม ได้อัญเชิญพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากเมืองมอญมายังพุกาม ด้วยความช่วยเหลือจากพระเถระชินอรหันต์ พระองค์มีพระราชโองการให้กวาดล้างพระพุทธศาสนา นิกายอารี และความเชื่อนอกรีตต่างๆ รวมถึงการยกเลิกพิธีบูชานัตที่เขาโปปา
พระองค์ทรงจัดระบบนัตแล้วรวบรวมไว้ที่พระเจดีย์ชเวชิโกน นัตบางตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "นัตหลวง" เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาพระเจดีย์ เป็นการจัดระเบียบและตั้งศูนย์รวมจิตใจใหม่ให้ชาวพม่าภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา โดยแต่งตั้ง “ตะจามิน” พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะ ขึ้นเป็นประมุขของนัตทั้งปวง
นัตหลวง มีทั้งหมด 37 ตน พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์แห่งราชวงศ์ตองอูที่เคยยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในต้นรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นนัตหลวงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีนัตพื้นบ้านอื่นๆ อีก นัตจึงเป็นได้ทั้งผี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ผีบรรพบุรุษ เทพยดา เป็นต้น ทุกวันนี้ชาวพม่าจะบูชาผีนัตควบคู่ไปกับการนับถือพระพุทธศาสนา เฉกเช่นเดียวกันกับคนไทย จะนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การบูชาผีบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเมือง เช่น พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และผีบ้านผีเรือนอย่างพระภูมิเจ้าที่
ผีนัตที่คนไทยรู้จักกันดี คือ นัตโบโบยี (โบโบจี) คนไทยจะเรียกผีนัตตนนี้ว่า "เทพทันใจ" เพราะเชื่อกันว่าจะให้พร ให้โชคลาภสมหวังรวดเร็วทันใจ สถานที่คนไทยมักจะไปไหว้นัตโบโบยีกัน อยู่ที่วัดโบตะทาวน์ เมืองย่างกุ้งของพม่า
มารู้จักประวัติวัดโบตะทาวน์กันสักนิด คำว่า โบ แปลว่า ทหาร ตะทาวน์ แปลว่า หนึ่งพัน ดังนั้น ชื่อ โบตะทาวน์ จึงมีความหมายว่า วัดทหาร 1,000 นาย มีตำนานการสร้างวัดถึงสองตำนานด้วยกัน
ตำนานแรกเล่าว่า เมื่อครั้งตปุสสะและภัลลิกะ สองพ่อค้าได้รับพระเกศาธาตุและพระอัฐิธาตุจากอินเดีย ทั้งสองได้อัญเชิญมายังเมืองมอญ พระเจ้าสีหะทิปะ กษัตริย์มอญในสมัยนั้น มีพระราชโองการให้ทหาร 1,000 นาย มาคอยรอรับพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าว ก่อนที่จะอัญเชิญข้ามแม่น้ำไปประดิษฐานไว้ที่เจดีย์ชเวดากอง และได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนแล้วสร้างพระเจดีย์บรรจุเอาไว้
ส่วนอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยของพระเจ้าโอกกะละปะ กษัตริย์มอญแห่งเมืองตะโก่ง (ย่างกุ้ง) มีพระสงฆ์ 8 รูป อัญเชิญพระเกศาธาตุมาจากอินเดีย พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ทหาร 1,000 นาย ไปตั้งแถวสักการะ พร้อมสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุนั้น ซึ่งทั้งสองตำนานนี้มีความใกล้เคียงกัน
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดมาโจมตีเมืองย่างกุ้งที่ในเวลานั้นคือบริติชพม่า (เมืองขึ้นอังกฤษ) การทิ้งระเบิดครั้งนั้นได้ทำลายเจดีย์โบตะทาวน์จนพังทลาย
เมื่อพม่าได้รับเอกราชคืนจากอังกฤษโดยสมบูรณ์ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2491 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมเจดีย์โบตะทาวน์ ซึ่งเป็นผลจากความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฎว่าไปพบของมีค่าหลายอย่างภายในเจดีย์ จึงสร้างโครงสร้างของเจดีย์โบตะทาวน์ใหม่โดยให้ฐานเจดีย์มีช่องซิกแซกคล้ายเขาวงกต ภายในสีทองอร่ามสวยงาม และนำวัตถุโบราณจัดแสดง อีกทั้งนำพระเกศาธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใสใจกลางเจดีย์อีกด้วย
มาต่อที่เรื่องนัตโบโบยี
โบโบจี หรือโบโบยี มีความหมายว่า พ่อปู่ หรือพ่อใหญ่ ถือเป็นนัตสำคัญ เพราะเป็นผู้ชี้สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุที่สองพ่อค้าอัญเชิญมา ซึ่งก็คือ ‘เขาสิงคุตตระ’ สถานที่ประดิษฐานพระธาตุของพระอดีตพุทธเจ้ามาก่อน และต่อมาได้กลายเป็นสถานที่สร้างเจดีย์ชเวดากอง
เดิมเทพองค์นี้มาจากตำนานพระเจดีย์ตะโก่ง (ชเวดากอง) กล่าวคือ หลังจากตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าวาณิชมอญสองพี่น้องได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า 8 เส้นแล้วก็ได้นำกลับมายังบ้านเมือง ถวายพระเกศาธาตุดังกล่าวแก่พระเจ้าโอกกะลาปะ กษัตริย์มอญผู้ครองเมืองตะโก่ง (ย่างกุ้ง)
ระหว่างค้นหาสถานที่อันเหมาะสม เพื่อสร้างพระเจดีย์ประดิษฐานพระเกศาธาตุ มีเพียง “พ่อปู่” หรือพระอินทร์แปลงองค์เดียวที่รู้สถานที่ประดิษฐานพระธาตุของอดีตพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อน จึงเหาะลงมาชี้ทางไปยัง “เขาสิงคุตระ” ที่สมควรบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธโคดมไว้ในที่เดียวกัน
นิ้วที่นัตโบโบยีชี้ไปนั้น คือการชี้เพื่อบอกสถานที่สร้างพระธาตุเจดีย์ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการดลบันดาลให้สิ่งที่ขอเป็นจริงแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการบูชาโดยนำธนบัตรใส่ในมือของท่าน 2 ใบ หลังจากไหว้ก็นำกลับมา 1 ใบ หยอดบริจาค 1 ใบ แล้วเอาหน้าผากสัมผัสกับนิ้วของนัตโบโบยี ที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นสิ่งที่คนไทยคิดขึ้นมาเองนั่นแหละ เพราะชาวพม่ามาแต่เดิมเขาจะบูชานัตด้วยเครื่องบูชา ประกอบไปด้วยกล้วย มะพร้าว หมาก เมี่ยง ดอกไม้ ใบหว้า
อีกหนึ่งนัตที่ถูกเข้าใจผิดก็คือ เมียะนางนเว หรือเทพกระซิบ ที่คนไทยจะต้องไปกระซิบข้างหูขอพร ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจว่า เมียะนางนเว เป็นนางนาคที่ถือศีลไม่กินเนื้อจนตาย แต่จริงๆ แล้ว เมียะนางนเว เป็นนัตเจ้าหญิงเชื้อสายไทใหญ่ที่ทรงศรัทธาพุทธศาสนาตั้งแต่ทรงพระเยาว์และโปรดการสวดมนต์นั่งสมาธิ ต่อมานัตโบโบยีได้ไปเข้าฝันให้พระองค์เสด็จมายังเมืองย่างกุ้งและดูแลเจดีย์โบตะทาวน์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำต่อเนื่องเรื่อยมา หลังจากสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2499 พระญาติของพระองค์ก็สร้างศาลให้ที่วัดแห่งนี้
ทั้งนี้ นัตโบโบยี ที่ถูกเรียกว่าเทพทันใจ คนละองค์กับ "พระเจ้าทันใจ" เป็นความเชื่อของชาวล้านนา ที่จะต้องสร้างพระพุทธรูปให้เสร็จภายใน 1 วัน เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้บุญกุศลแรง ช่วยให้ดลบัลดาลในสิ่งที่ขอไว้สมปรารถนา
ว่ากันว่า เทพทันใจ อาจจะเกิดจากการฟิวชั่นกันของตำนานมอญเรื่องพระอินทร์แปลงกายเป็นพ่อปู่เพื่อชี้พิกัดสร้างพระเจดีย์ ผีนัตพม่า และพระเจ้าทันใจของชาวล้านนาไทย มายำรวมกันก็เป็นได้
การบูชา ความเชื่อ ความศรัทธา ทำได้ไม่มีใครว่ากัน เพราะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล แต่มีความรู้ ข้อเท็จจริง ติดตัวไปบ้างก็ดี จะได้รู้ว่าอะไรคืออะไร
โฆษณา