Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
•
ติดตาม
28 พ.ย. 2023 เวลา 01:16 • การศึกษา
ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI พระนครศรีอยุธยา
โยมถาม : ทำไมวิปัสสนาถึงได้บุญมากที่สุด แล้วการเจริญวิปัสสนาต้องทำอย่างไรคะ
พระอาจารย์ตอบ : การเจริญวิปัสสนาจะต่อเนื่องกันได้ต้องมีใจสงบ มีสมาธิ คือ สมถะ จะทำด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ต้องทำสมาธิให้ใจหยุดนิ่ง โดยหลักปฏิบัติ คือ ให้เข้าถึงธรรมกายก่อน จากนั้นอาศัยธรรมจักษุ คือ ดวงตาธรรมกาย หรือ ญาณทัศนะที่เกิดขึ้น เป็นการเห็นวิญญาณด้วยตาธรรมกาย เห็นด้วยญาณทัศนะ เห็นถึงความจริงของโลกและชีวิตว่าไม่เที่ยง ร่างกายเราอีกหน่อยก็เสื่อมโทรม ซึ่งไม่ใช่เป็นการนึกคิด
“วิ” แปลว่า “วิเศษ” ส่วน “ปัสสนา” หรือ “ทัศนา” แปลว่า “การเห็น” ดังนั้น “วิปัสสนา” คือ การเห็นอย่างวิเศษ เห็นด้วยตาธรรมกาย เห็นด้วยญาณทัศนะ เป็นการเห็นที่ไม่ใช่การคิด เมื่อใดเป็นการคิด ยังเป็นปัญญาในระดับ “จินตมยปัญญา” รู้ด้วยการคิด ก็ยังเป็นแค่เบื้องต้น เบื้องกลาง คือ “สุตมยปัญญา” รู้จากการฟังและการอ่าน นี้เป็นปัญญาเบื้องต้น
แต่ปัญญาขั้นสูงที่จะวิปัสสนาได้ต้องเป็น “ภาวนามยปัญญา” ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนา ถึงตอนนี้คือออกจากความคิดแล้ว ไม่ได้คิด แต่ไปเห็นด้วยตาธรรมกาย เห็นด้วยญาณทัศนะถึงสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง อย่างนี้จึงจะเป็นวิปัสสนา
แล้วพอได้เห็นอย่างนี้ จิตก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะระลึกชาติไปเห็นตนเองหมื่นชาติแสนชาติว่า เราเคยเป็นมหาเศรษฐีแล้วไปขี้เหนียว ตายไปตกนรก เกิดใหม่อีกทีเป็นยาจกเพราะความขี้เหนียว ได้คิด ตั้งใจทำบุญกุศล ตายไปเป็นเทวดาลงมาเกิดเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เกิดเป็นพระราชาบ้าง เกิดเป็นมหาเสนาบดีบ้าง พอเผลอไปทำบาปก็ตกนรก ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก วกไปวนมาอย่างนี้เอง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาที เราจะได้รู้เห็นอดีตเป็นร้อยล้านชาติ เพราะธรรมะเป็นของละเอียด เป็นอกาลิโก เหมือนกับการดาวน์โหลดไฟล์คอมพิวเตอร์ ไม่นานก็เสร็จแล้วเรียบร้อย
พออย่างนี้จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้จะไปยึดมั่นทำไมเพราะเห็นด้วยตนเองชัด ๆ แล้วว่า มหาเศรษฐีก็เป็นมาแล้ว พระราชาก็เป็นมาแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นมาแล้ว สัตว์เดรัจฉานก็เป็นมาแล้ว เทวดาก็เป็นมาแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่แน่นอนเลย
ใจคลายจากความยึดมั่นถือมั่นเพราะเห็นความจริงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เห็นกฎไตรลักษณ์ที่แท้จริงด้วยญาณทัศนะ ด้วยการเห็นไม่ใช่ด้วยการคิด
เพราะฉะนั้น “สมถะ” หรือ “วิปัสสนา” จะเกิดคู่กัน ไม่ได้แยกขาดกัน จุดแยกง่าย ๆ คือ ถ้าทำสมาธิ ในช่วงแรกยังเป็นสมถะ จะวิปัสสนาได้ต้องเข้าถึงธรรมกายก่อน พอถึงธรรมกายได้ จากนี้ไปถึงจะไปเป็นวิปัสสนา แต่ว่าในระหว่างวิปัสสนาก็ยังมีสมถะเสริมกันอยู่เป็นวง เช่น ตอนนี้ทำสมถะจนเข้าถึงธรรมกายพระโสดา
แล้วอาศัยญาณทัศนะของธรรมกายของพระโสดาไปเห็นอริยสัจ 4 พอเห็นแล้วจิตนิ่งมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น สว่างเหมือนพระอาทิตย์พันดวง แล้วสว่างมากขึ้นเหมือนพระอาทิตย์หมื่นดวง ละเอียดมากขึ้นก็เป็นวิปัสสนาขึ้นลึกขึ้น พอจิตดิ่ง
คือ สมถะถึงธรรมกายแล้ว จึงสามารถทำวิปัสสนาได้ แต่ในระหว่างที่วิปัสสนาอยู่ แล้วการที่จิตนิ่งลงไปตามลำดับนี้เป็นสมถะหนึ่ง ยิ่งนิ่งลงไป ความรู้ความเห็นก็ยิ่งกว้างขวาง ความสว่างยิ่งมากขึ้น คือ วิปัสสนา
สมถวิปัสสนาเป็นเหมือนเกลียวสว่านเสริมกัน ทำให้จิตนิ่งมากขึ้น ความรู้ความเห็นกว้างขวางมากขึ้น ตามลำดับ ไม่ได้แยกกัน แต่ไปเป็นคู่ขนาน เสริมกันและกันไปตลอดจนกระทั่งกิเลสร่อนหลุดจากใจ แล้วเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
เจริญพร.
ข่าวรอบโลก
พุทธศาสนา
พัฒนาตัวเอง
5 บันทึก
17
1
5
5
17
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย