1 ม.ค. 2024 เวลา 10:16 • ประวัติศาสตร์

"เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ"

ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เลขานุการฝ่ายต่างประเทศของราชบัณฑิตยสภา ได้เรียบเรียงหนังสือตำนานพระพิมพ์ขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช 2469 ท่านว่าพระพิมพ์เป็นของเก่าแก่ทำขึ้นที่สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ตั้งแต่ตอนต้นพระพุทธศาสนา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์คำนำไว้เมื่อพิมพ์ครั้งแรกว่า
“...มูลเหตุที่จะสร้างพระพิมพ์นั้นเกิดแต่พวกสัปบุรุษนิยมไปบูชาสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนา และปรินิพพาน…พวกชาวเมืองในที่เจดีย์สถานนั้นๆจึงคิดทำพระพิมพ์ขึ้นสำหรับจำหน่ายแก่สัปบุรุษโดยราคาถูกๆให้ซื้อหาได้ทั่วกัน…จึงเกิดชอบสร้างพระพิมพ์กันขึ้นด้วยประการฉะนี้ แต่พระพิมพ์ที่มาสร้างกันในนานาประเทศ เช่นในประเทศสยามนี้ ความประสงค์มาแปรเป็นเพื่อจะสืบอายุพระศาสนาให้ถาวร จึงสร้างกันคราวละมากๆและมักฝังดินไว้…”
การสร้างพระฯโดยวิธีใช้กดด้วยแม่พิมพ์และประทับด้วยตรานี้ ไม่ปรากฏในศาสนาอื่น ในประเทศไทยพระพิมพ์เก่าสุด พบมากที่เมืองนครปฐมโบราณ ทำขึ้นราวพุทธศักราช 950 ถึง 1,250 และยังพบพระพิมพ์ปางแสดงธรรมในซุ้มพุทธคยา ฝีมือช่างอินเดียที่โบราณสถานพงตึก กาญจนบุรี อีกด้วย
ผมอ่านหนังสือตำนานพระพิมพ์ของท่านเซเดส์ถึงตอนท้าย ประทับใจกับวรรคทองที่เขียนว่า “...ขอให้นึกถึงคำทำนายที่ว่าพระพุทธศาสนาจะสิ้นไปเมื่ออายุครบ 5,000 ปี…ต่อให้เกิดมหาอุทกภัย ซึ่งสามารถจะพัดพาเอาวัตถุต่างๆในพระศาสนาไปทั้งหมด…ขอให้เหลือแต่พระพิมพ์อย่างเดียวเท่านั้น นักโบราณคดีสมัยเลย 5,000 ปีไปนั้นเมื่อได้พบเห็นพระพิมพ์แล้วจะสามารถรู้ได้ว่า ศาสนาอันสูงสุดกว่าศาสนาทั้งปวง ได้เคยมาเจริญอยู่ในอาณาเขตซึ่งเรียกกันว่าบูรพทิศนี้ครั้งหนึ่ง…”
พระพิมพ์โบราณในบ้านเรายุคแรกๆ ด้านหลังมักจะจารึกคาถา “เยธัมมา” เอาไว้ พระคาถานี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถบันดาลให้มนุษย์เกิดสัมมาทิฏฐิ หันมานับถือพระพุทธศาสนาได้ การเกิดพระอัครสาวกทั้งซ้ายขวา คือพระโมคคัลลาและพระสารีบุตร คือหลักฐานยืนยันถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาบทนี้
ในยุคแรกเริ่มกรรมวิธีการสร้างพระ ทำโดยการกดประทับแม่พิมพ์ลงบนวัสดุเช่นดิน ท่านเซเดส์เห็นว่า
“...แม่พิมพ์จะต้องเป็นแผ่นทองแดงแกะอย่างลึกและมีด้ามสำหรับถือ การใช้แม่พิมพ์เจริญแพร่หลายมากขึ้นทุกทีๆ จนเป็นเหตุให้ใช้แม่พิมพ์สร้างแม่พิมพ์ต่อๆกันมาจนมากมายก่ายกอง…”
การใช้แม่พิมพ์สร้างแม่พิมพ์ต่อๆกันดังที่ท่านเซเดส์กล่าวนั้น ผมเข้าใจว่าคือการใช้แม่พิมพ์ชิ้นแรกที่แกะอย่างลึกเป็นแม่แบบ แล้วนำขี้ผึ้งมากด ลงบนแม่พิมพ์ แกะออกจากพิมพ์แล้วได้เป็นหุ่นพระ นำหุ่นพระไปกดลงบนดินเหนียวที่เตรียมไว้ นำไปเผาจะได้แม่พิมพ์ดินเผา กดลงบนปูนปั้นที่เตรียมไว้ ได้เป็นแม่พิมพ์ปูนปั้น นำหุ่นพระไปเข้าดินไทยแล้วเทหล่อแบบสูญขี้ผึ้ง ได้เป็นพระเนื้อชิน
แม่พิมพ์ดินเผาสามารถใช้สร้างพระได้สวยงาม และมีรายละเอียดครบถ้วนแม้จะเป็นเพียงเส้นที่เรียวเล็ก ภาพพระพิมพ์เนื้อดินเผาสมัยทวารวดีในโพสต์นี้ หรือพระลือโขง พระคง พระรอด และพระเนื้อดินอื่นๆ ซึ่งมีหลักฐานว่าสร้างจากแม่พิมพ์ดินเผา เป็นหลักฐานในเรื่องนี้ได้ แม่พิมพ์ปูนก็คงทำได้ดีไม่แพ้กัน อาจดีกว่าด้วยซ้ำเพราะมีความแข็งแรงมากกว่า
คุณอิทธิมนต์ พรหมทา ประติมากร, ช่างศิลป์ผู้มีประสบการณ์ และเป็นผู้เอื้อเฟื้อให้ถ่ายภาพแม่พิมพ์เนื้อสำริดสมัยลพบุรีในโพสต์นี้ กรุณาให้ความรู้กับผมว่าการทำพระเนื้อปูนปั้นด้วยมือ คือการนำปูนที่หมักและตำจนได้ที่แล้ว มาทำให้มีขนาดพอเหมาะ แล้วกดประทับลงบนแม่พิมพ์ซึ่งทาน้ำมันไว้ อาจกดด้วยนิ้วมือหรือใช้ของแข็งที่มีผิวเรียบ กดลงไปให้แน่นพอประมาณ (กดแรงไปแม่พิมพ์อาจชำรุดได้) น้ำในเนื้อปูนจะลอยขึ้นมาที่ผิวด้านหลังและด้านข้าง
ดังนั้นเพื่อให้ถอดพระออกจากแม่พิมพ์ได้ง่ายและสวย ควรโรยผงปูนลงไปด้านหลังแล้วรอสักครู่หนึ่ง ให้ผงปูนซับน้ำให้แห้ง แล้วจึงแกะออกจากแม่พิมพ์ด้วยเหตุนี้หากใช้แม่พิมพ์ปูนปั้นหรือดินเผา ซึ่งสามารถดูดซับน้ำได้ดีกว่าวัสดุอย่างอื่น จะสามารถสร้างพระได้เป็นจำนวนมาก และสะดวกรวดเร็วกว่าแม่พิมพ์ชนิดอื่นๆ
ดังนั้นพระเนื้อผงใบลาน ซึ่งมีหลักฐานว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างด้วยแม่พิมพ์หินแกะ และกดพิมพ์ได้ทีละ 1 องค์ จึงมีจำนวนน้อยไม่ไคร่พบเห็นกันนัก รวมถึงพิมพ์มาตรฐานเนื้อนิยมอื่นๆ ที่มีข้อสังเกตได้ว่าสร้างจากแม่พิมพ์หินแกะก็มีเป็นจำนวนน้อยเช่นกัน
พระสมเด็จที่สร้างด้วยแม่พิมพ์แกะ จะมีขนาดและเอกลักษณ์ทางพุทธศิลป์พิมพ์ทรงเหมือนหรืออย่างน้อยๆต้องไปกันได้ทุกองค์ หากเราเชื่อว่าพระสมเด็จสร้างจากแม่พิมพ์แกะเท่านั้น ขนาดและตำหนิในพิมพ์ย่อมเป็นองค์ประกอบของพระแท้ ขนาดผิดตำหนิไม่มีหรือไม่ชัดก็ต้องวินิจฉัยว่าเก๊ ข้อน่าสังเกตคือพระองค์ครูที่เป็นพิมพ์เดียวกันหลายองค์ขนาดไม่เท่ากัน บางท่านจึงสันนิษฐานว่าเกิดจากการหดตัวของปูนที่ไม่เท่ากันในพระแต่ละองค์
แต่เท่าที่ได้ศึกษาค้นคว้ามา ปูนตำผสมตังอิ๊วใช้เวลาแข็งตัวประมาณ 3-4 วัน (ฐิติ หัตถกิจ, 2564, น.6) เมื่อแข็งตัวแล้วขนาดจะไม่เปลี่ยนแปลง (ผู้เขียน) ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของปูนปั้นนั้น เกิดในระดับจุลภาคคือเปลี่ยนจากปูน : Ca(OH2) ไปเป็นแคลไซต์ : CaCO3 (Vladimir Kotlya, 2021) ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แคลไซต์ที่เกิดในปฏิกิริยานี้มีสองช่วงชีวิต นี่เป็นสิ่งที่ kotlya ค้นพบและทำให้เขาสามารถหาอายุของโบราณสถานที่ใช้ปูนตำก่ออิฐได้
แคลไซต์ที่เกิดในพระเนื้อปูนปั้นหรือปูนตำก็มีสองช่วงชีวิต ดังนั้นจึงสามารถหาอายุของปูนที่ใช้สร้างพระได้เช่นเดียวกัน
ในบ้านเราก็มีผู้ศึกษาเรื่องปูนและแคลไซต์มาก่อน โดยทำเป็นงานวิจัยคือ คุณสุขกมล วงศ์สวรรค์ และรองศาสตราจารย์ ดร.นวลลักษณ์ วัสสันตชาติ ผลการวิจัยสอดคล้องกับ kotlya เพียงแต่ยังไปไม่ถึงขั้นหาอายุได้เท่านั้น
โพสต์นี้เล่าเรื่องกำเนิดพระพิมพ์ เลยไปถึงแม่พิมพ์พระสมเด็จนิดหน่อย ชมภาพพระ ภาพแม่พิมพ์กันไปพลางก่อนครับ ในโพสต์หน้าผมจะมาเล่าเรื่องแม่พิมพ์พระสมเด็จให้ละเอียดขึ้น เรื่องมันยาวต้องเขียนรับใช้กันหลายตอนหน่อยครับ
โฆษณา