19 ม.ค. 2024 เวลา 12:13 • ประวัติศาสตร์

รถรางกรุงเทพ ขนส่งระบบรางในตำนาน

รถราง (Tram) เป็นรถไฟฟ้ารางเบาขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายกับรถไฟ ทว่าต่างกันที่ระยะทางในการวิ่งที่สั้นและช้ากว่า และมีน้ำหนักเบา ซึ่งระบบรถรางเป็นรูปแบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเหมือนกับควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ทั้งยังสร้างมลภาวะทางเสียงน้อยกว่า โดยมีแหล่งพลังงานจากการใช้ไฟฟ้าผ่านสายไฟด้านบนตัวรถ (Pantograph)
รถรางจึงเหมาะกับการคมนาคมระหว่างย่านต่างๆ ภายในเมืองเป็นหลัก อีกทั้งรถรางยังสามารถเดินทางร่วมกับพาหนะประเภทอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องลงทุนมากเท่ากับขนส่งแบบรถไฟฟ้า เราจึงมักเห็นรถรางตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก เช่น เมืองอัมสเตอร์ดัม โตเกียว ฮ่องกง หรือซานฟรานซิสโก
สำหรับที่มาของรถรางในประเทศไทย ต้องย้อนไปในวันที่มีถนนสายแรกของประเทศไทย คือ ถนนเจริญกรุงที่เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2404 และเปิดให้ใชัสัญจรตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2407
พื้นของถนนใช้เพียงอิฐเรียงตะแคงทำให้เกิดความชำรุดอย่างรวดเร็ว ไม่สะดวกแก่รถม้า รถเจ๊ก และแม้แต่คนเดินเท้า ด้วยเหตุนี้ ชาวเดนมาร์กที่มีนามว่า จอห์น ลอฟตัส ได้ขออนุญาตต่อรัฐบาลทำสัมปทานการรถรางขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้นายจอห์น ดำเนินการได้
พิธีเปิดเดินรถรางเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2431 โดยใช้ม้าลากไปตามราง โดยเป็นกิจการรถรางลากจูงด้วยม้าถึง 8 ตัว มีเส้นทางวิ่งระหว่างพระบรมมหาราชวัง บริเวณศาลหลักเมืองไปตามถนนเจริญกรุง ปลายทางอยู่ที่อู่ฝรั่งหรือบางกอกด๊อก (Bangkok Dock) หรือบริษัทอู่กรุงเทพ ยานนาวาในปัจจุบัน และในปีต่อมาก็ได้ขยายเส้นทางไปถึงถนนตก แต่ดำเนินกิจการได้ไม่นานก็โอนกิจการให้บริษัทบางกอก แทรมเวย์ คอมปะนี ลิมิเต็ด
ภายหลังในปี พ.ศ. 2435 กิจการก็ถูกขายต่อให้กับบริษัทสัญชาติเดนมาร์ก (ไม่ทราบชื่อ) อีก โดยบริษัทหลังนี้ได้หยุดกิจการชั่วคราว เพื่อเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยกระแสไฟฟ้าแทน โดยตกลงเช่ากระแสไฟฟ้าจากบริษัท อิเลคทริค ซิตี้ คอมปะนี ลิมิเต็ด
รถรางโดยกำลังกระแสไฟฟ้าก็ได้ทำพิธีเปิดเดินขบวนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2437 ต่อมา พ.ศ. 2448 มีบริษัทดำเนินการอีกราย คือ บริษัท รถรางไทย วิ่งเส้นทางใหม่สายดุสิต ภายหลังบริษัทนี้ได้โอนกิจการพร้อมเปลี่ยนนามใหม่เป็น บริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด เกิดสายรถรางวิ่งบนท้องถนนถึง 11 สาย จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 บริษัทจึงได้เปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งเป็นบริษัท ไฟฟ้าไทย คอปอเรชั่น จำกัด
เมื่อพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางเลือกในการคมนาคมมากขึ้น รถรางก็เสื่อมความนิยม พ.ศ. 2493 สัมปทานการเดินรถต่าง ๆ ของเอกชนสิ้นสุดลง รัฐบาลจึงมาดำเนินการต่อในนาม บริษัท การไฟฟ้ากรุงเทพฯ จำกัด ในสังกัดของกรมโยธาเทศบาลและกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2503 เริ่มมีนโยบายยกเลิกกิจการรถรางไปทีละสาย และยกเลิกไปในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2511
นอกจากจะมีรถรางวิ่งในกรุงเทพฯ แล้ว ยังมีรถรางวิ่งไปถึงปากน้ำ สมุทรปราการอีกด้วย แต่ก็ถูกยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2497 อย่างไรก็ตาม การไฟฟ้านครหลวงก็เคยเปิดบริการรถรางที่ลพบุรี เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2498 รวมระยะทาง 5.75 ก.ม. โดยใช้ตู้รถรางเก่าจากบางกอก โดยรถรางลพบุรีดำเนินกิจการอยู่เพียง 7 ปีก็ถูกยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2505
สำหรับแนวเส้นทางของรถรางกรุงเทพมีดังนี้
. สายบางคอแหลม ระยะทาง 9.2 กม. วิ่งระหว่างศาลหลักเมือง เข้าถนนเจริญกรุงถึงถนนตก
. สายสามเสน ระยะทาง 11.3 กม. เริ่มจากบางซื่อ ไปตามถนนสามเสน เข้าถนนราชินี ออกมาเยาวราช เข้าถนนพระราม 4 และไปสิ้นสุดที่คลองเตย
 
. สายดุสิต ระยะทาง 11.5 กม. เริ่มจากถนนสามเสนน่าจะเป็นบริเวณแยกซังฮี้ มาตามถนนสามเสน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนนครสวรรค์ ออกถนนจักรพรรดิพงษ์ เข้าถนนวรจักร และมาสิ้นสุดที่บริเวณจักรวรรดิ์
. สายกำแพงเมือง ระยะทาง 7.0 กม. วิ่งเป็นวงกลมไปตามถนนมหาราช ถนนพระอาทิตย์ ถนนมหาไชย ถนนจักรเพชร และกลับมายังถนนมหาราชใหม่อีกครั้ง
. สายบางซื่อ ระยะทาง 4 กม. เริ่มต้นที่สถานีรถไฟบางซื่อ ถนนเทอดดำริ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปูนซิเมนต์ไทย ถนนเตชะวณิช ผ่านตลาดบางซื่อ วัดธรรมาภิรตาราม เลี้ยวขวาเข้าถนนทหาร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสามเสน เลี้ยวขวาเข้าซอยสามเสน 23 สุดที่ท่าเขียวไข่กา
. สายหัวลำโพง ระยะทาง 4.4 กม. เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง มาตามถนนกรุงเกษม เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบำรุงเมือง ไปออกถนนตะนาว และสิ้นสุดที่บางลำพู
. สายสีลม ระยะทาง 4.5 กม. เริ่มจากถนนสีลมปลายด้านถนนเจริญกรุง ไปตามถนนสีลม ออกถนนราชดำริ และไปสิ้นสุดที่ท่าเรือประตูน้ำ
. สายปทุมวัน ระยะทาง 4.5 กม. เริ่มจากสะพานกษัตริย์ศึก แยกกษัตริย์ศึก (ยศเส) ไปตามถนนพระรามที่ 1 มาบุญครอง สยาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชดำริ ผ่านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ สิ้นสุดทางที่ท่าเรือประตูน้ำ
. สายสุโขทัย ระยะทาง 0.6 กม. น่าจะเริ่มจากแม่น้ำเจ้าพระยาตรงสุดถนนสุโขทัย เลี้ยวขวาเข้าถนนขาวและเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี สิ้นสุดที่ถนนสามเสนตรงแยกซังฮี้
. สายอัษฏางค์ ระยะทาง 0.5 กม. เริ่มจากบริเวณท่าเรือราชินีมายังถนนพระพิพิธ
. สายราชวงศ์ ระยะทาง 0.5 กม. เริ่มจากท่าน้ำราชวงศ์มาบรรจบถนนเจริญกรุง
รถรางในสมัยแรกที่ยังไม่ใช้ไฟฟ้า ใช้ม้าเทียม 8 แยกเป็น 2 พวง พวงละ 4 ตัว ในพวงหนึ่ง ๆ มีม้า 2 คู่ พวงที่อยู่หน้าใช้เฉพาะขึ้นสะพาน มีการเปลี่ยนม้าเป็นระยะ ๆ หากม้าไม่ไหวหรือล้มไป โดยเปลี่ยนตามระยะที่วางอะไหล่ไว้
ลักษณะรถรางส่วนใหญ่มีสองสีคู่กัน สีที่ใช้แตกต่างกันตามเส้นทาง มีที่นั่งขนานตามทางยาวกับตัวตู้ 26 ที่นั่ง มีที่ว่างตรงกลางให้ผู้โดยสารยืนได้ 34 คน ช่วง สามารถจุคนได้ทั้งสิ้นรวม 60 คน ที่นั่งแบ่งชั้นบริการเป็นรถรางชั้นหนึ่งและชั้นสอง มีฉากลูกกรงไม้แบ่งครึ่งกลางคัน โดยรถรางชั้นสอง จะไม่มีเบาะรอง ส่วนชั้นหนึ่ง มีเบาะนั่ง
ในปีสุดท้ายของกิจการรถรางสายดุสิต คิดค่าโดยสารเป็นระยะหรือสถานี ระยะละ 50 สตางค์ สำหรับที่นั่งชั้นหนึ่ง และระยะละ 25 สตางค์ สำหรับที่นั่งชั้นสอง ในปีสุดท้ายของกิจการรถรางสายหัวลำโพง คิดค่าโดยสารเป็นระยะหรือสถานี ระยะละ 30 สตางค์ สำหรับที่นั่งชั้นหนึ่ง และระยะละ 15 สตางค์ สำหรับที่นั่งชั้นสอง
แต่ละคันมีกำลังขับ 40 แรงม้า มีท่ารถรางสี่แห่งที่สะพานดำ สะพานเหลือง บางกระบือ และบางคอแหลม สำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนท่าช้าง ทีโรงจอดที่เป็นโรงซ่อมด้วยอยู่บริเวณแยกแม้นศรี
ป้ายหยุดรถมีลักษณะคล้ายธง มี 2 สี คือ ธงสามเหลี่ยมสีแดงมีดาวตรงกลางคือจุดจอด ขึ้นลงและรับผู้โดยสาร ส่วนธงสามเหลี่ยม สีเขียวมีดาวตรงกลางคือป้ายแสดงจุดให้รถรางรอหลีกขบวนกัน
ปัจจุบันนี้ หลายๆ ประเทศก็ยังคงให้ความสำคัญกับรถราง และยังคงมีการให้บริการอยู่เป็นประจำ สำหรับในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาเกี่ยวกับรถรางเป็นระยะๆ อย่างเช่นในจังหวัดขอนแก่นก็มีการสร้างรถรางขึ้นมาเองเป็นที่แรก รวมถึงมีโครงการจัดสร้างรถรางขึ้นมาในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น นครราชสีมา ภูเก็ต เป็นต้น รวมถึงในกรุงเทพฯ เองก็มีโครงการเกี่ยวกับรถรางในบางพื้นที่เช่นกัน
โฆษณา