7 ก.พ. 2024 เวลา 07:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Evil Does Not Exist (2023) – สดับฟังเสียงของปีศาจ

ชื่อชั้นของ ริวสึเกะ ฮามากุจิ เป็นที่พูดถึงนอกเกาะประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น หลังผลงานก่อนหน้านี้ของเขาอย่าง “Drive My Car” สร้างปรากฎการณ์ในระดับนานาชาติ รวมถึงไปคว้ารางวัลออสก้าร์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ซึ่งในฐานะนักเล่าเรื่องที่มาพร้อมลีลาถ่ายทอดเรื่องราวอันเป็นมนุษย์ ฮามากุจิ มาพร้อมหนังเรื่องใหม่ที่ครั้งนี้ เขาขอพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ในภาพยนตร์อย่าง “Evil Does Not Exist“
“Evil Does Not Exist” เล่าเรื่องราวของชุมชนเล็ก ๆ กลางป่าเขาฮาราซาวะ นำโดย ทาคุมิ นักรับจ้างจิปาถะ ที่อาศัยร่วมกับลูกสาวเธออย่าง ฮานะ ด้วยการทำอาชีพกรอกน้ำจากแหล่งธรรมชาติ รวมถึงผ่าฟืนเพื่อใช้ในยามหนาว จนกระทั่ง บริษัทจากเมืองกรุง หวังจะเข้ามาตั้งโครงการ “แกลมปิ้ง” ภายในพื้นที่ ที่อาจรุกล้ำและทำลายสมดุลที่มีระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
ตัวหนังเริ่มต้นอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีประกอบที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ป่าไม้จากมุมหนอนมอง (worm’s eye view) ที่เงียบสงบและชวนผ่อนคลาย ก่อนที่เสียงจะตัดอย่างฉับพลัน และเผยให้เห็น ทาคุมิ ที่กำลังทำหน้าที่ผ่าฟืนอย่างแข็งขัน ก่อนพาไปสู่กิจวัตรและบทสนทนาถึงกิจกรรม “แกลมปิ้ง” จากเมืองกรุง ด้วยบรรยากาศอันเงียบงันของเนื้อหา ที่ราวกับเป็นการย้ำเตือนถึงการมาของบางสิ่ง ที่อาจจะส่งผลกระทบ ต่อลำดับที่เกื้อกูลหนุนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติอันเป็นปกติสุข
ด้วยความที่ตัวหนัง ไม่ได้ขับเน้นด้วยท่าทีที่หวือหวาหรือเนื้อหาที่ขับเน้นให้เกิดอารมณ์ร่วม แต่กลับปล่อยให้เราได้สดับรับฟัง ถึงเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ขับกล่อมด้วยบรรยากาศที่อยู่กลางป่าเขา ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นยุคปัจจุบัน ต่างเต็มไปด้วยรถยนต์ และโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิคทั่วไป แต่ทว่า สามารถอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้โดยไม่รุกล้ำ รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่าง น้ำสะอาดจากปลายลำธาร เพื่อจุนเจือวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน
หลายช่วงเวลาของหนัง จึงมาพร้อมห้วงเวลาที่ตัวหนัง “ปล่อย” ให้เราได้ชมภูมิทัศน์และภาพกิจกรรมของตัวละครนั้น ๆ อยู่ไกล ๆ ทั้งการผ่าฝืนจากซุงไม้ชิ้นใหญ่ ด้วยเลื่อยไฟฟ้าและขวานไม้ หรือกระทั่ง การตักน้ำจากลำธารและค่อย ๆ ลำเลียงส่งอย่างเชื่องช้า แทบทุกขณะ มันดูเป็นห้วงเวลาที่ดูไม่รีบเร่ง แต่ก็เชื้อเชิญให้ชวนสงบจิตสงบใจ จนกระทั่งการประชุมถึงการจัดตั้งจุดแกลมปิ้งของบริษัทเอเจนซีจากเมืองกรุง จะกลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ทุกคนในชุมชนส่งเสียงไม่พอใจ
น่าสนใจที่ ริวสึเกะ ฮามากุจิ บรรยายเรื่องราวด้วยลีลาที่ค่อยเป็นค่อยไป แปรเปลี่ยนบรรยากาศของโรงภาพยนตร์ ที่โอบล้อมอยู่ภายใต้ห้องสี่เหลี่ยมอันมืดมิด ให้ไปอยู่ใจกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ นับตั้งแต่ฉากเครดิตเปิดแรก ที่เผยให้เห็นภาพป่าเขาจะมุมหนอนมองยาวนานหลายนาที พร้อมด้วยดนตรีประกอบของ ไอโกะ อิชิบาชิ อันนุ่มนวล ราวกับเป็นงานคีตกวี ที่ชวนถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนดูและธรรมชาติที่กำลังปรากฎขึ้นบนจอ
นอกเหนือจากนั้น ภายใต้บทสนทนาของเรื่อง ก็ล้วนเผยซึ่งมิติตัวตนความเป็นมนุษย์ได้อย่างลุ่มลึกแตกต่าง ระหว่างผู้คนที่อยู่ในชนบทริมเขา กับเจ้าหน้าที่เอเจนซี่จากเมืองกรุง ที่ฝ่ายหนึ่งปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ อีกฝ่ายที่อาจจะไม่คุ้นเคยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าคอนกรีต แต่ทว่าทั้งสองฝ่าย ล้วนมีวิถีการดำเนินชีวิตหรือแนวทางที่ยังคงเป็นมนุษย์ ทั้งความขยันขะมักเขม้น เข้าใจซึ่งวิถีธรรมชาติ หรือกระทั่ง ความหวังที่จะสละชีวิตบั้นปลายจากการถูกกลืนกินของวิถีทุนนิยมจากเมืองหลวง
จนสุดท้าย เมื่อเรื่องราวควบรวมให้ผู้คนจากสองฝั่งมาเผชิญหน้ากัน ฮามากุจิ ยังคงเล่าเรื่องได้อย่างเก่งกาจ ทั้งการสอดแทรกความขบขันเป็นธรรมชาติ ผ่านบทสนทนาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งภาษาด้านภาพ รวมถึงความแตกต่างของคนเมืองและผู้คนที่ปรับตัวอยู่กับธรรมชาติ ผ่านฉากง่าย ๆ อย่างการผ่าฝืน ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางสู่จุดพลิกผันอันคาดไม่ถึงในองก์สาม
ฮามากุจิ เคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่า “Evil Does Not Exist” เป็นคำนิยามหรือเป็นแก่นสารของตัวหนังเสียทีเดียว หากแต่เป็นประโยคที่เขานึกถึงเวลาเขาจ้องมองไปยังธรรมชาติ (รวมถึงเป็นชื่อของดนตรีประกอบที่ อิชิบาชิ ประพันธ์ขึ้น) หากแต่ด้วยชื่อเรื่อง รวมถึงฉากจบที่สุดหยั่งถึง มันเข้าโจมตีสำนึกการรับรู้ของเราถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าสุดท้ายแล้วนั้น สิ่งที่เราเห็นสุดท้ายในเรื่องราว มันหมายความถึงอะไร?
คำว่า “ที่นี่ไม่มีปีศาจ” ของเรื่องนั้น ชวนให้เราขบคิดถึงความสัมพันธ์ที่มนุษย์มี (รวมถึงตัวเรา) ต่อธรรมชาติ นับตั้งแต่วินาทีที่เราเห็นต้นไม้ต้นแรก ณ วินาทีที่เราได้ยินเสียงเพลง ณ ช่วงเวลาที่เราได้ยินเสียงปืนดังขึ้น มันชวนให้เราตระหนักถึงความสมดุลที่พึงมีระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ สมดุลที่บางครั้งก็เกิดขึ้นเหนือความเข้าใจ และความไม่สมดุลที่บางครั้งก็เกิดขึ้นจากฝ่ายมนุษย์เอง
บทสรุปอันน่าท้าทาย ของเรื่องราวนี้ที่ ฮามากุจิ มอบให้ ไม่ต่างจากการเป็นบทกวีที่ชวนให้เราตั้งข้อสงสัย หรือการตรึกตรองสำนึกถึง ความสัมพันธ์ที่ตัวเรามีต่อเรื่องราวทั้งหมดต่อธรรมชาติ หรือต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ที่ว่าสุดท้ายแล้ว หากเราเผชิญ “สิ่งที่เราได้เห็น” แบบตอนจบนั้น เราจะมีท่าทีอย่างไร.. และในสถานการณ์ปัจจุบันอันน่าพินิจพิเคราะห์ถึง ของธรรมชาติและมนุษย์นั้น เราควรต้องทำอย่างไร?
เพราะสุดท้ายแล้ว “ที่นี่อาจไม่มีปีศาจ” ก็จริง แต่ “มนุษย์” ล้วนดำรงอยู่
สรุปแล้ว “Evil Does Not Exist” คือลำนำของริวสึเกะ ฮามากุจิ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ร้อยเรียงออกมาภายใต้กลิ่นอายของความเป็นคีตกวี ที่โอบล้อมด้วยความยิ่งใหญ่เกินหยั่งถึงของธรรมชาติ และการแปรเปลี่ยนซึ่งสมดุลจากพฤติกรรมมนุษย์ ขับเน้นด้วยเรื่องราวที่ชวนปล่อยให้เราสัมผัสห้วงอันสงบของป่าเขา และนำมาซึ่งข้อถกเถียง ที่ชวนให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์อันเลี่ยงไม่ได้ที่เรามีกับธรรมชาติ
4 / 5
Evil Does Not Exist (2023)
Written & Directed by Ryusuke Hamaguchi

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา