Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Movie Trivia
•
ติดตาม
29 ก.พ. 2024 เวลา 07:36 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Dune: Part Two (2024) – ลำนำมหากาพย์สงครามแห่งศรัทธา
หลังปูปฐมบทสงครามพิภพทรายไว้อย่างน่าชื่นชม เดอนี วิลเนิฟว์ ห่างหายไปเพื่อสานต่อเรื่องราวของพอล อะเทรดีส กับเรื่องราว “ครึ่งหลัง” ของวรรณกรรมเล่มแรก อันเป็นผลงานไซไฟระดับขึ้นหิ้งของ แฟรงค์ เฮอเบิร์ต ซึ่งหลังจากเกริ่นจักรวาลที่ว่าด้วยกลเกมแห่งอำนาจ ผ่านการครอบครองอาณานิคมบนดาวอันแห้งแล้งแต่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ที่ขับเคลื่อนข้ามกาลเวลา ครั้งนี้มันจะมาพร้อมลำนำสงครามแบบเต็มรูปแบบ อย่างใน “Dune: Part Two“
youtube.com
Dune: Part Two | Official Trailer 3 (ซับไทย)
เจ้ายังไม่พร้อมกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง #DunePartTwo #ดูนภาคสอง เข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ 2024 ในโรงภาพยนตร์ ตำนานได้ถูกสานต่อโดยผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสก้าร์อย่า…
เรียนรู้เพิ่มเติม
“Dune: Part Two” เล่าเรื่องสานต่อจากภาคแรก หลัง พอล อะเทรดีส หลบเร้นจากการล่มสลายและกลายเป็น ทายาทสืบทอดตำแหน่งคนสุดท้ายของตระกูลอะเทรดีส ก่อนผนึกกำลังเข้ากับพรรคพวกเฟรเมน ด้วยการชักจูงของสติลการ์และชานี พอล จึงออกเดินทางเรียนรู้ซึ่งวิถีของเหล่าเฟรเมน รวมถึงคำตอบของการล้างแค้น และความหวังจากความพยายามอันแรงกล้า เพื่อเลี่ยงชะตากรรมอันน่าหวาดหวั่นจากนิมิตรที่เขาได้เห็น
หนังเปิดมาด้วยการรวบรัดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคแรก ผ่านการแนะนำตัวละครใหม่อย่าง เจ้าหญิงอิรูลาน และจักรพรรดิชัดดามที่สี่ ก่อนจะสานต่อเรื่องราวจากภาคแรกแทบจะทันที ในการพา พอล เลดี้เจสสิก้า และคนดู เข้าสู่วิถีวัฒนธรรมของชาวเฟรเมน ด้วยจารีตพิธีกรรมและความเชื่อ ที่ผูกผันเข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย อีกทั้งยังเชื่อมโยงเข้ากับคำทำนายที่ว่าด้วยการมาของผู้มาโปรด ก่อนที่ตัวหนังจะประดังมาด้วยเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น ตื่นตาขึ้น และแอ็คชั่นมากขึ้น
หลังภาคแรกทำหน้าที่เป็นตัวเกริ่นนำ ปูพื้นฐานเรื่องราวของจักรวาลทั้งหมด รวมถึงรากฐานดาวอาร์ราคิสที่เป็นขุมทรัพย์ที่ทุกคนหมายตา และกลายเป็นหมากของการล่มสลายของตระกูลอะเทรดีส ภาคนี้ตัวหนังพาเราไปเรียนรู้ในวัฒนธรรมเฟรเมน ผ่านการผจญโลกของพอล ทั้งวิถีกองโจรที่ต่อกรกับกองทัพฮาร์คอนเนน หรือกระทั่ง วัฒนธรรมการใช้ชีวิตในวิถีแห่งทะเลทราย กลายเป็น “เฟย์ดายคิน” หรือนักรบแห่งเฟรเมน จนไปสู่จุดของการขี่หนอนทะเลทราย
ตัวหนังภาคนี้ยังดูแบ่งเป็นองก์ชัดเจน ทั้งไต่ระดับตั้งแต่การเรียนรู้วิถีเฟรเมน การวางแผนสงครามแห่งความเชื่อ จนนำมาสู่สมรภูมิบนดาวอาร์ราคิส และถึงแม้ ตัวหนังจะมาพร้อมฉากแอ็คชั่นที่มากกว่าภาคแรกก็ตาม แต่โดยส่วนตัว ตัวหนังก็ไม่ได้ประดังมาด้วยฉากแอ็คชั่นตลอดเวลา แต่มันถูกถ่ายทอดและออกแบบมามากพอ ที่ควรค่าแก่การจดจำ และนำมาซึ่งความน่าตื่นตาทางโสตทัศน์
หากแต่สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้ คือการถอดประกอบโครงสร้างทางความเชื่อและศรัทธาอันเข้มข้น ผ่านคำทำนายและโฆษณาชวนเชื่อ อย่างการมาของ ลีซาน อัล-ไกอีบ ได้อย่างทะเยอทะยานและทรงพลังกว่าที่คาดมาก ๆ
ซึ่งทุกอย่างถูกยกระดับขึ้น ทั้งในเทคนิคกำกับอันเอกอุ ที่ยังเสริมความยิ่งใหญ่ปานมหากาพย์ของเรื่องราวได้อย่างดี ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่สอดรับกันระหว่างเกมแห่งอำนาจและสงครามความเชื่อ งานสร้างที่เผยให้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน งานภาพที่แม้จะดูต่างจากภาคแรก แต่ยังคงถ่ายทอดความใหญ่โตของเนื้อหาได้อย่างดี ดนตรีที่ยกระดับห้วงอารมณ์ขึ้นไปอีกขั้น รวมถึงการแสดงระดับพระกาฬของทีมนักแสดง โดยเฉพาะ ทิโมธี ชาลาเมต์, เซนเดย์อา, รีเบคก้า เฟอร์กูสัน, ฮาเวียร์ บาร์เด็ม และ ออสติน บัตเลอร์
ทั้งนี้ เดอนี วิลเนิฟว์ ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่ต่างจาก เบเนเจเซริต ได้ทำด้วยซ้ำ นั่นคือการวางหมากสร้างหนัง “Dune” อย่างทะเยอทะยานและหาญกล้า ทั้งการแบ่งตัวหนังสือออกเป็นสองภาค ยอมสละภาคแรกเพื่อไปใช้ในการปูพื้นฐานเรื่องราวแวดล้อมอย่างประณีต เพื่อทำหน้าที่เป็นปฐมบท ก่อนจะพาไปสู่เนื้อหาในภาคสองที่เข้มข้นกว่า มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากกว่า รวมถึงความขัดแย้งที่ซ้อนทับมากกว่า ซึ่งการนั้น มันก็ทำให้คนดูซึ่งผ่านภาคแรกมาแล้ว เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นจริง ๆ
เพราะขณะภาคแรก ไม่เพียงแต่จะเกริ่นนำเรื่อง แต่มันพูดถึงปัญหาดั้งเดิมของมนุษย์ คือความขัดแย้งซึ่งผลประโยชน์ผ่านเกมการเมืองและการกุมซึ่งอำนาจ แต่ก็ยังมีตัวแปรที่คอยวางหมากไว้อย่างแยบยล หากแต่ภาคนี้ มันได้ถล่มทลายโครงสร้างที่ตัวหนังได้แนะนำให้คนดูรู้จัก ด้วยการมาของสิ่งที่ทรงพลังอำนาจและแยบยลกว่าอย่างคาดไม่ถึง นั่นคือการก่อร่างรากฐานทางความเชื่อ ที่พัฒนากลายเป็นศรัทธา และนำไปสู่สงครามอันศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบที่น่าหวาดหวั่น
แท้จริงแล้ว ตัวโครงสร้างเนื้อหา “Dune” ของแฟรงค์ เฮอเบิร์ต ก็ไม่ต่างจากขนบผู้กอบกู้ผิวขาว (white savior) ที่เรามักเห็นในหนังฮอลลีวู้ด ที่ตัวเอกผิวขาวเข้าไปในดินแดนที่ข้นแค้น และกลับกลายเป็นวีรบุรุษที่พลิกฟื้นดินแดนนั้น และมันก็ดูจะเป็นรากฐานอันดาษดื่นของเรื่องราวทำนองนี้ ในหนังไซไฟยุคใหม่หลายเรื่อง เป็นต้นว่า “Avatar” ของเจมส์ คาเมรอน ก็มีองค์ประกอบที่คล้ายกันอยู่ไม่น้อย
หากแต่ “Dune” มันช่วยเราไปสำรวจวิถีประเพณี ความเชื่อที่ผูกผันเข้ากับสภาพแวดล้อม หรือสิ่งที่พวกเขาเทิดทูนเหนือหัวและมองเห็นซึ่งคุณค่าอย่างเปี่ยมล้นแบบ น้ำ ได้อย่างลุ่มลึกมาก ๆ รวมถึงการสร้างที่ยึดเหนี่ยวและการหลอมรวมทางความเชื่อ ก็ดูจะเป็นคุณสมบัติสำคัญ ที่รั้งให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้บนดวงดาวอันโหดร้ายนี้ได้ รวมถึงการพูดถึงชะตา ผ่านการมองเห็นนิมิตรอนาคต และหลีกเลี่ยงผลลัพธ์อันเลวร้าย ก็ดูจะเป็นการหมายมุ่งเพื่อทำลายขนบธรรมเนียมผู้กอบกู้อย่างคมคาย
เส้นทางการเดินของพอล จึงทำให้เราเห็นการเผชิญซึ่งเป้าประสงค์ที่ถูกวางแผนมาอย่างแยบยล การต่อกรซึ่งชะตากรรมที่ตัวเองไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือกระทั่ง การใช้ประโยชน์จากความลุ่มหลงมัวเมาทางศรัทธาที่น่าพรั่นพรึง ทั้งหมดทั้งหลายที่กล่าวมา ล้วนมีรากฐานมาจากโอบรับพลังอำนาจที่ไม่พึงประสงค์แทบทั้งสิ้น จนมันอาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการนองเลือด
..และใช่ พวกเจ้ายังไม่พร้อม สำหรับสิ่งที่กำลังจะมา..
สรุปแล้ว “Dune: Part Two” คือภาคต่อหนังไซไฟของ เดอนี วิลเนิฟว์ ที่ถล่มโครงสร้างเกมแห่งอำนาจที่ปูไว้ในภาคแรก ยกระดับกลายเป็นมหากาพย์ สงครามแห่งศรัทธาที่น่าหวาดหวั่น ภายใต้เนื้อหาย้อนสูตรผู้กอบกู้ผิวขาว ถอดประกอบโครงสร้างทางความเชื่อ ผ่านวัฒนธรรมเฟรเมน ในกลเกมกุมอำนาจเปี่ยมชั้นเชิง พร้อมด้วยการยกระดับเทคนิคทุกภาคส่วนขึ้น ส่งผลให้เรื่องราวโศกนาฏกรรมนี้นั้นยิ่งใหญ่และทรงพลังมาก ๆ
4.5 / 5
Dune: Part Two (2024)
Directed by Denis Villeneuve
Screenplay by Denis Villeneuve & Jon Spaihts
Based on "Dune" by Frank Herbert
ภาพยนตร์
1 บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Movie Trivia | Review
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย