7 มี.ค. เวลา 06:11 • ท่องเที่ยว
Great Ocean Road

การเดินทางที่น่าประทับใจใน Great Ocean Road

Chapter 69/4: The Impressive Great Ocean Road
มาต่อกันกับวันสุดท้ายของทริป Great Ocean Road กันแล้วค่ะ วันนี้ก็ยังคงมีที่เที่ยวสวยๆ หลายที่ให้ไปดูกันอีกนะ ตามมาเลยว่าจะมีที่ไหนบ้าง
เช้านี้ตื่นมาด้วยความสดใสและอากาศก็ยังขมุกขมัวเหมือนเมื่อวานเปี๊ยบ 🥲 เราออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง Port Campbell (พอร์ต แคมป์เบลล์) กันซักหน่อยเพราะเมื่อวานฝนตกพรำๆ ทั้งวันไม่มีโอกาสได้เดินดูอะไรเลย
1
เมือง Port Campbell
เมือง Port Campbell ถูกตั้งชื่อตาม Alexander Campbell (อเล็กซานเดอร์ แคมป์เบลล์) ผู้เป็นทั้งกัปตันเรือ นักล่าอาณานิคมและนักล่าปลาวาฬ
นักท่องเที่ยวนิยมมาพักที่เมืองนี้เพราะอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ หลายแห่งที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Port Campbell ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนี้ไปทางตะวันออกประมาณ 12 กิโลเมตรเท่านั้น และการขับรถมาจากเมลเบิร์นก็ถือว่ากำลังดีไม่เหนื่อยมากประมาณ 4 ชั่วโมง
Port Campbell Beach
Port Campbell เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีร้านอาหารและโรงแรมให้เลือกเยอะพอสมควร
จากชายหาดหน้าโรงแรม เราเดินต่อไปที่จุดชมวิวบนเขาซึ่งต้องเดินข้ามสะพาน Port Campbell Suspension Bridge ที่มีพื้นเป็นไม้ผสมกับโครงสร้างสะพานที่เป็นเหล็ก เป็นสะพานแขวนที่สวยดี
Port Campbell Suspension Bridge
Port Campbell Suspension Bridge
อีกฝั่งของสะพานเราจะเจอกับเส้นทางเทรลที่จะนำเราไปยังจุดชมวิวบนเขา เป็นเส้นทางที่เดินง่าย สนุก ปลอดภัย และมีป้ายบอกตลอดทาง พอขึ้นไปถึงจุดชมวิวนี่หายเหนื่อยเลย อากาศดีวิวสวยมาก
วิว Panorama สวยมาก
ออกจาก Port Campbell เราก็ไปที่เที่ยวจุดแรกของวันนี้กับ London Bridge ค่ะ
London Bridge เป็นแผ่นดินส่วนที่ยื่นออกมาจากแผ่นดินใหญ่ มีรูปร่างเหมือนสะพานและมีรูตรงกลางใต้สะพานทำให้ดูคล้ายกับ London Bridge ที่อยู่ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ที่นี่ก็เลยถูกเรียกว่า London Bridge นั่นเอง
London Bridge
ต่อมาในวันที่ 15 ม.ค. 1990 ส่วนหนึ่งของสะพานได้พังทลายลงจากการที่ถูกกระแสน้ำและคลื่นลมในทะเลกัดเซาะมาเป็นเวลานาน เลยทำให้สะพานถูกแยกออกเป็นสองส่วน ทิ้งให้ส่วนหนึ่งกลายเป็นเกาะอันโดดเดี่ยวในมหาสมุทร
แล้วรู้มั้ย ณ วันที่ London Bridge เกิดถล่มลงมา มีนักท่องเที่ยวสองคนติดอยู่บนเกาะส่วนที่อยู่ในทะเลด้วย แต่โชคดีที่ต่อมาก็ได้รับการช่วยเหลือจากเฮลิคอปเตอร์ ถึงแม้ว่าจะต้องรออยู่นานหลายชั่วโมง นึกภาพถ้าเป็นเราคงจะสติแตกน่าดู อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนติดเกาะ 😱
จาก London Bridge เราไปต่อกันที่ The Grotto จุดท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของ Great Ocean Road
The Grotto
The Grotto เป็นหน้าผาที่ถูกคลื่นลมพัดกระแทกเป็นเวลานานหลายร้อยปีจนเกิดเป็นรูโหว่และกลายเป็นถ้ำตามธรรมชาติ
The Grotto
ทางไปชม The Grotto จะต้องเดินลงไปด้านล่างซึ่งจะเป็นมุมถ่ายรูปที่ดีที่สุด เพราะเราจะได้เห็นภาพของถ้ำที่มีแอ่งน้ำอยู่ด้านในสะท้อนกับหน้าผาหินที่โอบล้อมอยู่ และเมื่อมองผ่านถ้ำเข้าไปเบื้องหน้าคือมหาสมุทรแปซิฟิค เป็นภาพที่สวยงามมากๆ
มุมนี้คือสุดยอด
ด้านล่างนี้จะค่อนข้างแคบ การจะถ่ายรูปตรงนี้ได้ควรเข้าแถวไปถ่ายรูปที่ละคนถึงจะได้รูปวิวสวยๆ โล่งๆ แบบนี้ โชคดีวันที่เราไปคนยังไม่เยอะมายืนรอแป๊บเดียวก็ได้ถ่ายรูป
จุดต่อไปที่เราไปคือ Bay of Islands ค่ะ
Bay of Islands เป็นชายฝั่งที่มีความยาว 32 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยจุดชมวิวหลายจุดไม่ว่าจะเป็น Bay of Martyrs, The Razorback Lookout, Loch Ard Gorge และ Twelve Apostles (ที่เราแวะไปใน Blog ที่แล้ว)
มาเริ่มกันที่ Bay of Martyrs สถานที่ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าเศร้า
Bay of Martyrs
จากประวัติศาสตร์ของคนพื้นเมืองอะบอริจินบอกไว้ว่าที่ Bay of Martyrs หรือ "อ่าวแห่งผู้พลีชีพ" เคยเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้รุกรานจากยุโรปที่เข้ามาสำรวจดินแดนกับชนเผ่าพื้นเมืองจนเกิดการสังหารชนพื้นเมืองไปเป็นจำนวนมาก
Bay of Martyrs
ส่วนผู้ที่รอดชีวิตก็ต้องวิ่งหนีไปที่หน้าผาและสุดท้ายก็ต้องกระโดดลงมาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ เลยเป็นที่มาของชื่ออ่าวแห่งนี้
Bay of Martyrs
Bay of Martyrs
จุดต่อไปชื่อ The Razorback Lookout ซึ่งเป็นอีกจุดชมวิวที่สวยมาก
The Razorback Lookout
แล้วก็ Loch Ard Gorge หรือ ช่องเขา Loch Ard
Loch Ard Gorge ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเรือที่มาเกยตื้นที่หาดแห่งนี้เมื่อปี 1878 ซึ่งบนเรือลำนั้นบรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 54 คนแต่เหลือรอดชีวิตอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ได้แก่ Tom Pearce (ทอม เพียร์ซ) วัย 15 ปี และ Eva Carmichael (เอวา คาร์ไมเคิล) วัย 17 ปี ซึ่งก็ได้รับการช่วยชีวิตในเวลาต่อมา
Loch Ard Gorge
ต่อมาเป็น Thunder Cave ที่ได้ชื่อมาจากเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกกับหน้าผาทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องนั่นเอง
Thunder Cave
และจุดสุดท้ายของเส้นทาง Great Ocean Road ที่เราไปกันคือ Gibson Steps ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถเดินลงไปที่ชายหาดด้านล่างได้ โดยจะต้องเดินลงบันไดที่ค่อนข้างชันทั้งหมด 86 ขั้น
ทางลงเป็นแบบนี้ แต่เราไม่ได้ลงไปเพราะคนเยอะมาก ขี้เกียจเดิน
Gibson Steps
ก็เป็นอันจบทริปขับรถเที่ยวบนเส้นทางเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคที่สวยที่สุดอีกเส้นนึงค่ะ แต่ๆๆ เรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ก่อนกลับเข้าเมลเบิร์นขอแวะเที่ยวอีกซักที่เพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว นั่นก็คือเมือง Geelong ค่ะ
Geelong (จีลอง) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐวิคตอเรียรองจากเมลเบิร์น มีประชากรในเมืองประมาณ 268,277 คน
Cunningham Pier
ในสมัยยุคตื่นทอง Geelong เป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าเรือหลักที่จะไปยังแหล่งทองคำ ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1860 Geelong ได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย โดยมีโรงงานขนสัตว์ โรงงานทำเชือก และโรงงานกระดาษเป็นอุตสาหกรรมหลัก และปัจจุบัน Geelong มีชื่อเสียงเพราะเป็นเมืองของทีมฟุตบอล (Australian Football) ที่เป็นอันดับสองของประเทศ นั่นก็คือ Geelong Football Club
Cunningham Pier
Cunningham Pier
ป.ล. เราไม่ได้เข้าไปในเมืองแต่มาเดินเล่นที่ท่าเรือ Cunningham แทน เพราะรู้สึกว่า Geelong ดูเป็นเมืองใหม่ทันสมัยเหมือนเมลเบิร์น
Cunningham Pier เปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษปี 1850 จนถึงช่วงปี 1970 ปัจจุบันได้เลิกใช้งานไปแล้วเพราะท่าเรือเป็นโครงสร้างเก่าที่ไม่เหมาะกับเรือพาณิชย์สมัยใหม่ มีนักลงทุนได้ปรับเปลี่ยนบริเวณนี้ให้เป็นสถานบันเทิง มีไนต์คลับขนาดใหญ่ ร้านอาหาร และศูนย์การประชุมแทน
ทุกคนที่มาเดินเล่นที่ท่าเรือจะต้องสะดุดตากับสิ่งนี้แน่นอน เพราะมันดูน่ารักมากๆ
พวกมันคือ Bollard หรือเสาที่ใช้ผูกเชือกเรือที่เลิกใช้งานแล้ว เดิมทีพวกมันถูกทิ้งไว้อย่างไร้ค่าจนศิลปินท้องถิ่นชื่อ Jan Mitchell นำมาแกะสลักและวาดลวดลายให้กับพวกมัน จนเสาเหล่านี้กลายเป็นไอคอนของเมือง Geelong ไปเลย
Bollards น่ารักๆ
เสาเหล่านี้มีประมาณ 100 ต้น ถูกวางเรียงรายไปตามริมแม่น้ำ ซึ่งลวดลายที่ถูกวาดลงบนเสาแต่ละต้นก็จะเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญและประวัติศาสตร์ของเมือง Geelong นั่นเอง
หลังจากเดินเล่นกันอยู่นานก็ได้เวลากลับเข้าเมืองเมลเบิร์นกันแล้วค่ะ โดยคืนนี้เราเช่าบ้าน Airbnb เอาไว้ ซึ่งเดี๋ยวจะรีวิวบ้านให้อ่านใน Blog หน้านะคะ แต่สิ่งที่ตกใจมากจาก Great Ocean Road ทริปคือ…ผ่างงงง
แดดเผาซะเกรียม
รอยแดดเผาบนแขนซึ่งบอกตรงๆ ไม่รู้ตัวเล้ยยยยยย ว่าแดดมันแรงขนาดนี้ เพราะทั้งสองวันที่เราไปเที่ยวฟ้าครึ้มตลอดเวลา หาแดดยังไม่ค่อยจะเจอ แต่ปรากฎคุณแดดได้มาสถิตย์อยู่กับเราตลอดเวลา นี่ถ้ารู้แบบนี้เราคงทาครีมกันแดดก่อนออกจากที่พักทุกวันแน่นวล 😬
เพราะฉะนั้นสำหรับสาวๆ ที่จะมาเที่ยว GOR อย่าลืมพกครีมกันแดดมาด้วยนะคะ และไม่ว่ามีแดดหรือไม่มีแดดก็ทามันเข้าไปค่ะ จะได้ไม่เสียโฉมเช่นดิชั้น 😭 นี่ยังดีที่ทาหน้าตลอด
อ้อ และสำหรับทุกจุดที่เราไปเที่ยว เค้ามีบริการที่จอดรถให้ฟรีทุกที่นะคะ แต่อาจจะมีมากมีน้อยแล้วแต่สถานที่ บางจุดอย่าง Twelve Apostles ที่จอดรถก็จะเยอะหน่อย แต่บางที่อาจจะต้องออกไปจอดที่ริมถนนใหญ่บ้าง อย่างที่เรามาช่วงวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวเยอะแต่เอาจริงก็หาที่จอดรถได้ตลอด แค่อาจจะวนนานหน่อย
และหลายๆ จุดก็อาจจะดูคล้ายๆ กัน แตกต่างแค่เรื่องราวของสถานที่ สำหรับเราผู้ที่มาเป็นครั้งแรกก็อยากไปสำรวจให้ได้หลายๆ ที่ แต่ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้งก็คงเลือกไปแค่ไม่กี่ที่ ซึ่งที่ที่เราประทับใจมากก็มี Twelve Apostles, The Grotto, Loch Ard Gorge และ Thunder Cave ที่เราว่ามันสวยมากเลย
สำหรับ Blog นี้ก็ประมาณนี้นะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังสนใจจะไปเที่ยวเส้นทาง GOR บ้าง และขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกัน Blog หน้าค่ะ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา