9 มี.ค. 2024 เวลา 09:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Zone of Interest (2023) – ความวิปริต ณ จุดเพิกเฉย

ปกติแล้ว การเลือกฉายแง่มุมจากเรื่องราว ๆ หนึ่ง อาจส่งผลต่อเนื้อหาของเรื่องที่กำลังจะสื่อ หากเป็นหนังสงคราม บางครั้งก็มีแง่มุมที่ถ้าไม่ซ้ำซาก ก็จะเป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ไปเลย หากแต่หนังดราม่าสงครามเรื่องใหม่ของผู้กำกับฯ โจนาธาน เกลเซอร์ ในรอบสิบปี กลับเลือกเล่าเรื่องความรุนแรงในห้วงสงคราม จากใจกลางของค่ายกักกัน ในวิมานพำนักอันรื่นรมย์อย่างหาญกล้า จนกลายเป็น “The Zone of Interest”
“The Zone of Interest” เล่าเรื่องของ รูดอล์ฟ เฮิสส์ ผู้บัญชาการค่ายกักกันเอาท์วิทซ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กับภรรยาของเขาอย่าง เฮดวิก ที่พยายามจะสร้างวิมานตามฝัน ให้กับครอบครัวของพวกเขา ที่เต็มไปด้วยสวนหย่อมน่ารื่นรมย์และบรรยากาศที่เปี่ยมล้นซึ่งความสุข ขณะที่วิมานแห่งนี้ ตั้งอยู่ข้าง ๆ ค่ายกักกันมฤตยูที่มีผู้คนทุกข์ทนทรมาน
ทันทีที่หนังเริ่ม เราก็สัมผัสได้ถึงห้วงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในสิ้นเชิง ทั้งการเริ่มต้นด้วยชื่อเรื่อง “The Zone of Interest” และดนตรีประกอบที่ชวนกระตุกขวัญอย่างยิ่งยวด และมันกลิ่นเวลานั้นจนโสตประสาทของเราเริ่มเตรียมตัวพร้อมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า แต่เรื่องราวก็พาไปทำความรู้จักกับครอบครัวเฮิสส์ และชีวิตอันผาสุขน่าอบอุ่น ในเขตแดนที่ใกล้ชิดค่ายกักกันเพียงไม่กี่ก้าว โอบล้อมด้วยงานเสียงที่ชวนพรั่นพรึง ชวนให้จินตนาการถึงความโหดร้ายที่อยู่นอกเฟรม
ตัวหนังแทบไม่มีเส้นเรื่องที่พลิกผัน หรือความโดดเด่นทางเนื้อหาที่ชวนให้เราติดตามตัวละครเลยด้วยซ้ำ หรือพูดให้ตรงประเด็นกว่านั้น มันเป็นหนังที่ไม่ชี้ชวนหรือไม่ได้มาพร้อมองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความรื่นรมย์ระหว่างดูเลย เราเพียงได้แต่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของครอบครัวเฮิสส์ ซึ่งสเวยสุข ใต้ความเพียบพร้อมต่าง ๆ นานาในวิมานของพวกเขา ขณะที่กำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยเสียงที่น่าหวาดหวั่น ทั้งเครื่องจักรที่ทำงานตลอดเวลา เสียงปืนที่ดังเป็นระยะ กลุ่มเถ้าถ่านและหมอกควันที่พวยพุ่งอยู่ข้างเคียง
งานภาพของเรื่อง เป็นมุมกล้องที่ไม่ได้หวือหวา และบ่อยนักที่แทบจะไม่ได้เคลื่อนที่เลย แต่เป็นมุมกล้องนิ่ง ๆ ราวกับให้พวกเราจับจ้องพฤติกรรมอันดาษดื่นของพวกเขาเหล่านี้ ในห้วงขณะที่พวกเขากำลังเริงรมย์ เป็นปกติสุข ทั้งที่มันก่อร่าง อยู่บนความโหดร้ายชั่วขณะนึงบนหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์
น่าสนใจ ที่ตัวหนังไม่ได้ขับเน้นด้วยความรุนแรงทางสายตา แต่มันกระหน่ำโสตทัศน์คนดู ด้วยสุรเสียงแทบจะตลอด ผ่านเสียงเครื่องจักรอันทุ้มต่ำที่ทำงานไม่หยุดพัก เสียงกรีดร้อง ที่คอยย้ำเตือนถึงความรุนแรงที่ลุกโหมอยู่นอกจอ ไม่แม้กระทั่ง ตัวหนัง ก็อาจหาญใส่ซึ่งความเลือดเย็นอำมหิต ผ่านเหตุการณ์เล็กน้อย ผ่านบทสนทนาทั่วไประหว่างตัวละคร ที่บางครั้งก็เชยชมถึงพฤกษชาติข้างรั้วค่ายกักกัน แต่ขณะเดียวกันก็หน้าชื่นตาบาน ภาคภูมิใจ ในการรับเกียรติให้เป็น ราชินีแห่งเอาท์วิทซ์
ถ้าให้พูดกันตามตรง เรื่องราวของ รูดอล์ฟ เฮิสส์ ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ที่ตั้งใจทำงานอย่างหนัก แต่ก็มีเวลาให้ครอบครัว สร้างบ้านพักจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง และอาจจะมีชีวิตรักที่ค่อนข้างสุกงอมแล้วระยะนึง จนต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการโยกย้ายตำแหน่ง แต่กระนั้น เขาก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ที่สร้างที่พำนักอันอบอุ่นซึ่งมีพร้อมซึ่งทุกอย่าง หากแต่รากฐานของทั้งหมดนี้นั้น มันมาจากความโหดเหี้ยมในพริบตา ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการให้อภัย
ในหลายช่วงเวลาของหนัง จึงโอบอุ้มด้วยมวลของความสะอิดสะเอี้ยน ความน่าสะพรึงกลัว จากพฤติกรรมของตัวละครที่ล้วนเพิกเฉยกับความโหดเหี้ยมซึ่งหน้า ทั้งการใช้ชีวิตเป็นปกติ ขณะสิ้นเสียงปืนครั้งแล้วครั้งเล่า การพูดถึงพฤติกรรมคนยิวในเชิงเหยียดขำขัน หรือกระทั่งพฤติกรรมลอกเลียนต่าง ๆ ของตัวละครวัยเด็ก ที่ทำให้เราแทบจุกอก ทั้งการเลียนเสียงเตาเผาที่ดังตลอดเวลาในเวลากลางคืน หรือการเฝ้ามองพ่อตัวเองจากบ้านชั้นสอง และเลียนแบบพฤติกรรมพ่อของเขา ซึ่งกำลังทำหน้าที่ตามชั้นยศ ขณะอยู่อีกฝั่งรั้วบ้าน
จากความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ พิษร้ายที่เข่นฆ่าผู้คนนับล้าน มันได้กลายเป็นต้นตอ กลายสายธารที่ส่งผ่านซึ่งความวิปริต ผ่านความชาชินอันดาษดื่นลงไปสู่มุมมองของเด็กคนนึง ที่คิดว่า สภาพแวดล้อมเยี่ยงนรกที่พวกเขาอยู่เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความปกติ เป็นความปกติที่เขาสามารถเพิกเฉยได้โดยปกติสุข และนั่น ก็เป็นความคิดที่น่าหวาดหวั่นมากเลยทีเดียว
ในขนบของหนังแนวฆ่าล้างเผ่าพันธ์ บางครั้งเราอาจได้เห็นการเดินทางของตัวละคร ในโมงยามที่น่าหดหู่ แต่สำหรับ “The Zone of Interest” ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย เพราะความรุนแรงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อยู่แล้ว แต่บางครั้งเราอาจไม่รู้สึกถึงความรุนแรงเหล่านั้น ภายใต้เนื้อหาที่ถูกเอามานำเสนอเลยด้วยซ้ำ บางครั้งมันกลายเป็นเรื่องราวชวนจรรโลงใจ จากความโหดเหี้ยมผิดมนุษยมนา เพียงเพราะบางครั้งเราต้องที่จะรู้สึก “ดี”
โจนาธาน เกลเซอร์ ลำดับและนำเสนอเรื่องราวเหล่านั้น โดยไม่เชิดชูความโหดร้าย ฉายภาพตัวละครด้วยความเป็นมนุษย์ปกติ พร้อมกับแสดงซึ่งทัศนคติอันบิดเบี้ยว ซึ่งเป็นต้นสายของความอำมหิต และนำเสนอความโหดร้ายเท่าที่จำเป็น และเท่าที่ให้เรามีพื้นที่จะจินตนาการมันได้ออก ซึ่งทุกอย่างมีไว้ เพื่อย้ำเตือนถึงความเพิกเฉยต่อความรุนแรง ย้ำเตือนถึงการดูดายจนกลายเป็นความชาชิน
ตลอดห้วงเวลา 105 นาทีของหนังที่ดูเหมือนจะสั้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็น่าพรั่นพรึงที่ห้วงเวลาอันโหดร้ายเหล่านี้ ยังคงหมุนเวียนเกิดขึ้นได้ “โดยไม่เลือกฝั่ง” ราวเป็นกับเครื่องย้ำเตือน ให้เราพึงระลึกถึงความโหดเหี้ยมเหล่านี้เอาไว้ ว่ามันจะไม่มีวันเลือนหายไปได้โดยง่าย
สรุปแล้ว “The Zone of Interest” คือหนังดราม่าสงครามที่แปลกและแตกต่าง โดดเด่นด้วยวิธีการนำเสนอเรื่องราว ที่เลือกฉายโมงยามเสวยสุขของวิมานข้างค่ายกักกัน แต่ก็กระหน่ำโสตทัศน์ด้วยสุรเสียงอันพรั่นพรึงนอกเขตรั้วบ้าน สะท้อนความมืดมนโหดร้ายเหลือคณา พร้อมกับฉายพฤติกรรมและทัศนคติแสนอำมหิตเลือดเย็นของครอบครัวทหารเยอรมันในช่วงสงคราม เพื่อวิพากษ์ถึงการเพิกเฉยอันชาชินต่อความโหดเหี้ยม จนก่อกำเนิดสายธารแห่งความวิปริต และวัฏจักรแห่งความรุนแรงที่ไม่เลือกฝั่งได้อย่างทรงพลัง
4.5 / 5
The Zone of Interest (2023)
Written & Directed by Jonathan Glazer
Based on "The Zone of Interest" by Martin Amis

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา