7 เม.ย. เวลา 04:17 • ปรัชญา
ไทย

เหตุใดผู้หญิงในระบบราชการจึงหาคู่ได้ยากขึ้น?

เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ทุกคนย่อมมองหาอาหารเป็นธรรมดา
เมื่อประกันสังคมตกต่ำ เป็นธรรมดาก็ย่อมต้องมองหาคนพึ่งพา
ดังนั้น คุณภาพทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของทุกคน
แล้วเราควรออกกฎหมาย หรือ เก็บภาษีคนโสด เพื่อลงโทษพวกเขาหรือไม่?
เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเดินทางไปเสียภาษีประจำปีและพบกับพี่เจ้าหน้าที่สรรพากรคนนึง เขาพูดถึงปรากฏการณ์จ่าย(ภาษี)หนัก และ "ผู้หญิง(ข้าราชการ)เหลือใช้"
1
แล้วถามผมว่ามีหนุ่มโสดให้แนะนำ หรือไม่?
https://www.ocsc.go.th/download/2565/%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-2565#gsc.tab=0
เขาถามผมซ้ำอย่างรอบคอบว่าหาหนุ่มโสดให้ครูสาวๆพวกนี้จะได้หรือไม่ (เอา กูก้อนั่งอยู่นี้ไง เอิ๊กกกกกกกกก หยอกๆๆๆ) ?
3
ไรเว้ ...กูเกิดเร็วไปหรือไงวะเนี่ยยยย? เสียดายนะครับ ที่ผมเกิดในเมืองพุทธและนับถือศาสนาตามบ้านเกิด ถ้าผมเกิดในประเทศที่อ่อนไหวในเรื่องอาหารการกิน ล่ะก็.. ได้เมีย 4 ไปแระ ฮาาาาาา...
3
เอาล่ะๆๆ เพื่อให้ได้รับคำตอบเชิงบวก ผมก็เกาหัวแล้วพูดด้วยความสับสนว่า "แปลกนะ ที่นี่เรามีแต่ผู้ชายที่หาเมียไม่ได้ และผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน"
1
ขณะที่ หญิงโสดที่มีอายุ(มากกว่า) ส่วนมากมักจะอาศัยอยู่ในตัวเมืองใหญ่ๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีกลุ่มพิเศษที่หาคู่ได้ยากกว่าผู้หญิงในเมืองใหญ่ นั่นก็คือ ผู้หญิงในระบบ โดยเฉพาะผู้หญิงในระบบราชการครูในเขตเมือง
1
ไม่ว่าในเมืองใหญ่จะยากแค่ไหน อย่างน้อย "บ่อปลา" ก็ใหญ่พอ ตราบใดที่คุณมีความอดทน คุณก็ยังสามารถจับสิ่งที่คุณต้องการได้
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วในตัวอำเภอจะมีคนเพียงหมื่นถึงสองหมื่นคนเท่านั้น ดังนั้นช่วงของตัวเลือกจึงแคบกว่ามาก
ในขณะเดียวกัน ยิ่งสถานที่เล็กลงก็ยิ่งเน้นไปที่รูปลักษณ์ของการเป็นคนที่ “เข้าคู่กัน” ง่ายมากขึ้น ในแง่ของการแต่งงานและความรัก
หมายความว่า แม้ว่าผู้หญิงจะเต็มใจจะแต่งงานก็ตาม พ่อแม่ฝ่ายสาวจะพบว่ามันยากที่จะยอมรับ และช่องในการเลือกก็จะเล็กลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในตัวอำเภอโดยทั่วๆไป ข้าราชการในระบบ แทบจะเป็นงานที่ดีที่สุดในท้องถิ่น
นั่นคือ ถ้าไม่อยากแต่งงาน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ หางานข้าราชการ
แต่ปัญหาคือ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพศภายในระบบเปลี่ยนไป สัดส่วนเริ่มไม่สมดุลมากขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อัตราส่วนข้าราชการพลเรือน
เปอร์เซนต์ระหว่างชาย-หญิงอยู่ที่ 58.35 หากดูในตัวอำเภอ จะเป็นผู้หญิงโสดที่มีอายุมากกว่า 30 ปี แล้วยังมีผู้หญิงประเภทนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก
โดยสรุปพบว่า "'สตรีที่เหลือ' ในตัวอำเภอจะมี 'ส่วนตกค้าง' ที่ชัดเจนและส่วนใหญ่จะพบในตัวอำเภอและเมืองและหน่วยงานของรัฐ
1
" ยิ่งในระบบการศึกษา มีครูหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจำนวนมาก เกือบทุกโรงเรียน พวกเธอรออยู่ในตลาดการแต่งงาน และพวกเธอกลายเป็นกลุ่มเปราะบาง "
1
ไม่เพียงแต่สูญเสียตำแหน่งหลักในการคัดเลือก แต่ยังอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจของการถูก 'อยู่' อย่างเฉยเมยด้วย
เหตุใดจึงมีความไม่สมดุลทางโครงสร้างของจำนวนข้าราชการ “ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย” ภายในระบบเช่นนี้?
จากกระดูกสันหลังของสหภาพนักศึกษาไปจนถึงข้าราชการ ผมพบว่า "ข้อได้เปรียบของผู้หญิง" แพร่หลายในองค์กรนักศึกษา
และเด็กผู้หญิงก็ดีกว่าเด็กผู้ชายอย่างมากในด้านทักษะการสื่อสารและทักษะการประสานงาน
ผู้หญิงเต็มใจที่จะเข้าใกล้ระบบการประเมินตามกระแสหลักมากขึ้น และถือว่า "ความมั่นคง" เป็นตัวบ่งชี้การประเมินที่สำคัญในกระบวนการพัฒนาตนเอง
1
ซึ่งในทางกลับกัน ทำให้พวกเธอเต็มใจที่จะสอบในที่ต่างถิ่นมากขึ้น นี่คือทางเลือกที่แสวงหาผลประโยชน์สูงสุด ภายใต้อิทธิพลของค่านิยมทางสังคม
หากสตรีผู้มีปัญญาชนชั้นนำในอดีตยังสามารถพึ่งพาคุณวุฒิการศึกษาและความสามารถของตนเพื่อเปิดโอกาสในชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ผลของความจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็คือ การจะอยู่ในเมืองใหญ่นั้นมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ และ ต้นทุนรายจ่ายก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ภายใต้สถานการณ์นี้ผู้คนจำนวนมากเริ่มพิจารณาทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในทางปฏิบัติซึ่งก็คือการกลับบ้านเกิดในเมืองเล็ก ๆ
1
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีนี้ พวกเธอจะได้พบกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทางปฏิบัติ นั่นคือ ยิ่งสถานที่เล็กลง โอกาสในการทำงานที่ "เหมาะสม" ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ในกรณีนี้ การสอบเข้าบรรจุ ก็ดันกลายเป็นฟางช่วยชีวิต
แต่ ในหลายๆ ด้านสอดคล้องกับการยอมรับของของเด็กผู้หญิงและผู้ปกครอง ตราบใดที่พวกเธอเข้าสู่ระบบงานราชการ
อย่างน้อยก็มั่นคงและปลอดภัย และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมากเกินไป เช่น การทำธุรกิจ คุณสามารถดูแลครอบครัวของคุณได้ (โดยเฉพาะ ดูแล พ่อ แม่ และเด็ก) แม้ว่ารายได้ของคุณจะไม่สูงนัก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว บริษัทเอกชนในพื้นที่เล็กๆ มักขาดการคุ้มครองแรงงานและมีความเสี่ยงสูง และสังคมไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
1
ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองโดยทั่วไปจึงเชื่อว่าเป็นการดีที่สุดสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะหางานที่มั่นคงและมากกว่า จึงผลักดันให้พวกเธอสนใจเข้าสู่ระบบราชการ
เหตุผลก็คือ ในท้ายที่สุดแล้ว เนื่องจากผู้หญิงเผชิญกับทางเลือกน้อยกว่าผู้ชายมาก แม้ว่าในทางทฤษฎีแล้ว ทุกอาชีพส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเปิดกว้างสำหรับผู้หญิง
ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในบทบาททางสังคมหรือในตลาดแรงงาน
การแข่งขันในตลาดทำให้ตัวเลือกของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิงกลับเหลืออยู่ด้วยตัวเลือกที่จำกัดเท่านั้น
1
และบางอัตราการรับสมัครตำแหน่งข้าราชการหญิงยังสูงกว่าตำแหน่งชายถึง 2-3 เท่า
1
การแข่งขันที่ดุเดือดเช่นนี้ไม่ได้บั่นทอนความกระตือรือร้นของเด็กผู้หญิงในการสอบเข้าแข็งขันในปัจจุบันแต่อย่างใด
ส่วน เด็กผู้ชายบางคนอาจจะสบายดีถ้าสอบไม่ผ่าน หลังจากผ่านไปหนึ่งปี
แต่เด็กผู้หญิงบางคนติดอยู่กับการสอบเข้าระดับปริญญาโทเป็นเวลา2-5ปีเพราะเส้นทางชีวิตของพวกเธอเริ่มคับแคบลง
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ยากกว่ายังมาไม่ถึง แม้ว่าพวกเธอจะประสบความสำเร็จในการสอบและเข้าเรียน แต่ก็ยังมีอุปสรรค์ของการแต่งงานและความรักอยู่
พ่อแม่และลูกสาวชั่งน้ำหนักอย่างมีเหตุผลครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เมื่อไหร่จึงจะออกเรือน
2
ดังนั้น การกลับไปบ้านเกิดในเมืองเล็ก ๆ เพื่อทำงานเป็นข้าราชการเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและมีเหตุผลที่สุด
อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็ค้นพบในภายหลังว่าปัญหาเดียวก็คือ การกลับมารวมตัวกันของพวกเธอ ทำให้ยากที่จะหาคู่ครองที่เหมาะสม
ในเมืองใหญ่ การแต่งงานอาจยังคงเป็นการรวมกันโดยสมัครใจระหว่างบุคคลสองคนที่เป็นอิสระโดยอิงจากอารมณ์โรแมนติก
อย่างไรก็ตาม ยิ่งตลาดทางการแต่งงานมีมากขึ้นเท่าใด สไตล์การ "ดึงออกมาและจับคู่" ก็จะยิ่งหยาบและกว้างมากขึ้นเท่านั้น
ในการจับคู่ดังกล่าวทั้งสองฝ่ายมักจะไม่มีเวลาที่จะปลูกฝังอารมณ์ของตนเอง ขั้นตอนแรก คือ การพิจารณา "ตัวบ่งชี้ที่ยาก" ต่างๆ ของภูมิหลังของตน
ผู้หญิงในเมืองมักจะหาคู่ได้ยากเนื่องจากมีเงื่อนไขสูงเกินไป (80% ของผู้ที่จ่ายเงินเพื่อหาคู่ในเว็บไซต์หาคู่ VIP นั้นเป็นหญิงสาวที่มีอายุมากกว่าและช่างเลือกแบบโคตรๆ) แต่สิ่งนี้อาจไม่จำเป็นเสมอไป
1
นอกเสียจากพวกเธอเองเป็น " จู้จี้จุกจิกเกินไป"
แต่บางครั้งก็เป็น "ผู้หญิงเข้มแข็งและผู้ชายอ่อนแอ" แนวคิดเรื่องการแต่งงานทำให้ผู้ชายหลายคนกังวลว่าพวกเขาจะ "ควบคุมเมียตัวเองไม่ได้"
1
ผู้หญิงรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้รับการศึกษาที่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงในแนวคิดเรื่องการแต่งงานและความรักในสังคมยังล้าหลังอย่างมาก
ตราบใดที่ไปนัดบอดไม่กี่ครั้งก็จะพบว่า..... ต่างคนต่าง.....ท้อแท้
2
และคนทั่วไปยังเชื่อว่า “ยุคทอง” ของผู้หญิงในตลาดการแต่งงานนั้นสั้นมาก หากคุณเรียนจบวิทยาลัยตอนอายุ 22 ปี และ ยังไม่ได้แต่งงานเมื่ออายุ 25 ปีในอายุขนาดนี้ พ่อแม่ของคุณจะไม่กังวลซักเท่าไหร่....
แต่มันจะยากยิ่งขึ้นเมื่อคุณอายุ 30 ขึ้นไป
1
ต่างจากผู้ชายในวัย 30 ที่ไม่มีปัญหา ตราบใดที่พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน การคิดแบบนี้ผู้หญิงดูเหมือนจะ "ถูกลดคุณค่า" ลงอย่างมาก
ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน และคุณมีอุดมคติและความทะเยอทะยานแค่ไหน โดยพื้นฐานแล้วคุณจะพบว่า
คุณค่าของคุณในตลาดการแต่งงานและความรักยังคงสะท้อนอยู่ใน ครอบครัวที่สมบูรณ์
1
ทุกวันนี้สำหรับผู้ชายหลายๆคน การหาเมียยังคงเป็นพื้นฐานในการหาครอบครัวที่สมบูรณ์ และตราบใดที่ยังเด็ก และมีลูก(ได้)ก็ไม่ต้องเลือกอย่างอื่นให้มาก
แต่ใน ผู้หญิง ยิ่งเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้าง หรืออกหัก ก็ยิ่งจู้จี้จุกจิกมากขึ้นเพราะความคิดของพวกเธอที่คิดว่า ในที่สุดฉันก็กระโดดออกจากหลุมไฟได้แล้ว ทำไมฉันจะต้องกระโดดเข้าไปอีกล่ะ ?
1
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสถานที่ซึ่งค่านิยมทางสังคมที่ผู้ชายครอบงำตามธรรมเนียม เดิม ผู้ชายยังคงเชื่อว่าจุดประสงค์ของการแต่งงานคือ การมีลูก และทำลูกๆๆๆๆๆๆ
ส่วนหน้าที่พื้นฐานของผู้หญิงคือการให้กำเนิดบุตร
1
และ(ทุก)บางครั้งพวกเขาก็ต้องการเด็กผู้ชาย อย่างไรก็ตาม นัยนึงสำหรับผู้หญิง ผู้ชายที่ยึดถือแนวคิดนี้ไม่ใช่คู่แต่งงานที่เหมาะสม
ไม่เพียงเพราะมันปฏิเสธคุณค่าของตนเอง แต่ยังไม่สามารถสนองความต้องการทางอารมณ์อันอ่อนไหวของพวกเธอได้
เมื่อ สังเกตตลาดหาคู่ของเยาวชนในเขตเมืองใหญ่ๆ เราจะพบว่าหลังจากที่เด็กผู้ชายแนะนำตัวเอง เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ออกไปจากแอป ฮาาา
2
บางครั้งอาจเป็นเพราะคำพูดไม่เข้ากัน แต่บ่อยกว่านั้นเป็นเพราะผู้ชายไม่มีอะไรน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเพื่อนร่วมชั้นของเธอเป็นโสดและคร่ำครวญว่าเธอมีทุกอย่างที่บ้าน
และสิ่งเดียวที่เธอเสียใจคือเธอต้องกลับบ้านทุกวันเพื่อยัดอาหารเข้าไปในไมโครเวฟ และนั่งหม่ำคนเดียว
1
โดยอาศัยความเข้าใจของเธอ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ความเข้ากันได้ของแรงจูงใจทำให้เธอสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน มิฉะนั้นนี่จะเป็นเรื่องยาก ด้วยการยังชีพแบบประคับประคองนี้.
ในรูปแบบทางสังคมในสมัยก่อน การแต่งงานมักเป็นช่องทางการหาเลี้ยงชีพของผู้หญิง โดยผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำงานนอกบ้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเธอหางานที่เหมาะสมและปลอดภัยไม่ได้จริงๆ
1
ดังนั้น การจัดบ้านให้ผู้ชายเป็นนายของบ้าน และผู้หญิงก็เป็นเจ้านายของเจ้าของบ้าน ฮาาาาาาา.
2
อย่างน้อยในขณะนั้นก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งจูงใจที่เข้ากันได้ ในสังคมยุคใหม่ ผู้หญิงในระบบมีแหล่งรายได้ที่มั่นคงและเป็นอิสระอยู่แล้ว
ผู้หญิงหลายคนอาจมีอำนาจ และการหารายได้สูงกว่าคู่ครอง การคาดหวังให้เธอเป็นชาวเกาะ(กิน)ก็เป็นการทดสอบทักษะของผู้ชายอย่างเราๆอย่างแท้จริง
1
ปัญหา “ความยากลำบากในการแต่งงาน” นี้อาจดูเหมือนเป็นปัญหาของ “อัตราส่วนชาย-หญิงที่ไม่สมดุล” แต่ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวคิดของผู้คน คือ
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยอมรับ “การแต่งงานแบบลดคุณค่า” ของกันและกันได้
1
และทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถยอมรับได้ หรือเต็มใจที่จะปรับเปลี่ยนตนเอง
ขณะเดียวกัน ทั้งสังคมยังคงยึดติดกับแนวคิดเดิมของการแต่งงานและความรัก นั่นคือ ไตรลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของ ความรัก การแต่งงาน และการคลอดบุตรก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้
Emergency Couple
สำหรับพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงที่กังวลใจจำนวนนับไม่ถ้วน "การแต่งงาน" ยังคงเป็นช่วงที่จำเป็นในชีวิต มันไม่ใช่แค่ทางเลือก
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงใหม่ๆ หลายๆ คน หากการแต่งงานเพียงแต่ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเธอลดลงในที่สุด แล้วทำไมจึงแต่งงานล่ะ?
ในหนังเรื่อง “คู่รักสุดบ๊องส์ห้องฉุกเฉิน (Emergency Couple)“ ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับอดีตคู่แต่งงานที่เลิกรากันอย่างเจ็บแสบ และครอบครัวสองฝ่ายก็ทะเลาะกัน แต่กลับต้องมาร่วมงานกันในฐานะอินเทิร์นห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือชีวิตคนไข้
แม้ตัวพระรองจะนำความสุขมาให้เธอไม่มากก็น้อย แต่พวกเขาและเธอก็สามารถอยู่ได้ดีโดยไม่มีใคร และความตื่นเต้นของชีวิตจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก..
1
และอีกกรณี ในหนังสือ “Single Woman of a Certain Age” กล่าวไว้อย่างดีว่า
Single Woman of a Certain Age
“ผู้หญิงยุคใหม่มีอิสระในการเลือกมากขึ้น พวกเธอมีเส้นทางให้เลือกนับไม่ถ้วน คดเคี้ยวและพันกัน ระหว่างทางมีความรัก เซ็กส์ หุ้นส่วน และ ความเป็นพ่อแม่ อาชีพและมิตรภาพขยายออกไปด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน
ดังนั้น การเป็นโสดสำหรับผู้หญิงจึงไม่ใช่ 'ข้อจำกัด' แต่กลับเป็น 'ความหลุดพ้น'"
1
แน่นอนว่า ผมไม่ได้บอกว่าเป็นการดีกว่าสำหรับผู้หญิงที่จะ เป็นโสด
แต่เพียงว่า ทุกคนรวมถึงผู้หญิงควรมีชีวิตที่เป็นอิสระก่อน ความรัก การแต่งงาน และการคลอดบุตร นั่นควรเป็นโบนัสและทางเลือก
1
ไม่ใช่งานหนักและพันธนาการ
ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตของตัวเองได้ และการเป็นโสดก็เป็นเพียงการเลือก
อย่างไรก็ตาม ในสังคมของเรา ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานในวัยสูงอายุมักถูกมองว่าเป็น "ปัญหา" และสาเหตุหลักคือ ขาดความเต็มใจที่จะแต่งงาน
แน่นอนว่าผู้ชายที่อยากเป็นโสดนั่นยาก ฮาาาาา แต่การรับรู้ทางสังคมไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งงาน แค่แต่ง(งาน)ไม่ได้
จึงจำเป็นต้องหาภรรยา เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ชายไม่ต้องการปรับตัว แต่ผู้หญิงควรปรับตัวและ “ถอยกลับ” ปัญหาจึงจะคลี่คลาย
1
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้จริงๆหรือ?
ในความคิดของผมผู้หญิงในระบบ จะหาคู่ได้ยาก แต่นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวก
เพราะหมายความว่าในสังคมรากหญ้าเช่นนี้เริ่มมีผู้หญิงใหม่ๆ ที่ไม่ยอมยึดติดกับประเพณีดั้งเดิม ในแบบจำลองการแต่งงานและความรัก ความไม่เต็มใจที่จะตกลง และยืนกรานในคุณภาพการแต่งงานและชีวิตที่สูงขึ้น
1
ปัญหาไม่ใช่ว่าพวกเธอมี "ความต้องการที่สูงเกินไป" แต่คุณภาพโดยรวมของผู้ชายที่พบเจอนั้นต่ำกว่าผู้หญิง และพวกเขาไม่สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้
2
โดยพื้นฐานแล้วนี่คือการชักเย่อระหว่างรุ่นเก่าสองรุ่น ("ไม่แต่งงาน" และ "ต้องแต่งงาน") ส่วนรุ่นใหม่ คือ กูไม่แต่งงงงงงงง
2
ทางออกที่แท้จริงไม่ควรเป็นการบังคับให้ผู้หญิงประนีประนอมเนื่องจากความเป็นจริง (แล้วพวกเขาอาจไม่มีความสุขแม้ว่าจะแต่งงานแล้วก็ตาม) แต่เพื่อให้พวกเขาและพวกเธอ มีทางเลือกมากขึ้น
ซึ่งต้องทำลายแนวคิดแบบเดิมๆ แต่มันไม่ใช่ว่าจะ"จำเป็น" ซะทีเดียว
ไม่ใช่ว่าคุณไม่สามารถแต่งงานได้ หรือไม่ สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือผู้ชายต้องมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกัน
1
เมื่อวันหนึ่ง “กลไกการคัดเลือก(ของสตรี)” นี้สามารถส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงในสังคมครอบครัวได้ บางทีอาจกล่าวได้ว่า สังคมอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเกิดขึ้นจริงๆก็ได้....
โฆษณา