26 มี.ค. เวลา 03:09 • ท่องเที่ยว
เมลเบิร์น

เมลเบิร์น เมืองสีเขียวที่น่าเที่ยวชะมัด

Chapter 69/6: Melbourne The Lovely Green City
ไปเดินเล่นในเมลเบิร์นกันอีกวันค่ะ วันนี้จะพาไปหลายที่เลย เดินกันเหนื่อยหน่อยนะทุกคน 😄
จากที่อยู่เมลเบิร์นมาหลายวัน เราคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีต้นไม้และสวนสาธารณะเยอะมากเลย แค่เดินจากบ้านใน Fitzroy ไป CBD เรายังผ่านสวนสาธารณะตั้งหลายแห่งแน่ะ
และพอเราไปหาข้อมูลดูก็เลยได้รู้ว่าเมลเบิร์นเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการสร้างพื้นที่สีเขียวจริงๆ รู้มั้ยว่าเมืองนี้มีสวนสาธารณะและเขตสงวนมากกว่า 480 แห่งเลยนะ
1
แค่นั้นยังไม่พอ เมลเบิร์นยังมีนโยบายที่จะเพิ่มปริมาณพื้นที่สีเขียวในเมือง เช่น สร้างสวนบนชั้นดาดฟ้า หรือสร้างกำแพงสีเขียวอีกด้วย น่าอิจฉาคนเมืองนี้จัง 😄 เอาล่ะ…ไปเดินเที่ยวกันเหอะ
วันนี้อากาศดีมากแดดแรงแต่ลมพัดเย็นสบาย ทำให้เดินสนุกมากเลย ที่แรกที่เราจะไปวันนี้เป็นโบสถ์ใกล้บ้านค่ะ
St Patrick's Cathedral
St Patrick's Cathedral เป็นอาสนวิหารในนิกายโรมันคาธอลิก
St Patrick's Cathedral
สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญ Patrick ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของประเทศไอร์แลนด์ เนื่องจากชาวคาธอลิกที่อาศัยอยู่ในเมลเบิร์นในสมัยก่อนเกือบทั้งหมดเป็นชาวไอริช
St Patrick's Cathedral ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ William Wardell ในสไตล์โกธิก เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1858–1939 ใช้เวลาถึง 81 ปี ที่นี่ถูกสร้างก่อน St Paul's Cathedral ที่เราเล่าในตอนที่แล้วอีกนะเนี่ย
และอาสนวิหารแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของรัฐวิคตอเรียน (Victorian Heritage Register) เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 1999 อีกด้วย
สวยมากๆ เลย
จากโบสถ์เดินมาอีกนิดเดียวก็จะเจอกับ Fitzroy Gardens สวนที่เราเดินมาเมื่อวาน วันนี้จะไปดู Cooks' Cottage หรือ "กระท่อมกัปตันคุก" ซะหน่อย
Cooks' Cottage
จริงๆ แล้วกระท่อมกัปตันคุกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่หรอกนะ แต่ถูกสร้างขึ้นในหมู่บ้าน Great Ayton เมือง Yorkshire ประเทศอังกฤษเมื่อปี 1755 ต่อมากระท่อมได้ถูกขายและนำมาแยกเป็นชิ้นส่วนเพื่อบรรจุในกล่อง 253 กล่องและถัง 40 ถังสำหรับขนส่งขึ้นเรือและนำมาประกอบขึ้นใหม่ที่เมืองเมลเบิร์นในปี 1934 โดย Sir Russell Grimwade (เซอร์รัสเซลล์ กริมเวด) ซึ่งภายหลังเขาก็ได้บริจาคกระท่อมหลังนี้ให้กับรัฐวิกตอเรียเพื่อเป็นการฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีของการตั้งถิ่นฐานในเมลเบิร์น
กระท่อมหลังน้อย
ป.ล. กัปตัน James Cook (เจมส์ คุก) เป็นนักสำรวจ นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งเข้ามาสำรวจและยึดประเทศออสเตรเลียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
รูปปั้นของ กัปตัน James Cook
นักประวัติศาสตร์บอกว่า กระท่อมหลังนี้อาจจะไม่ใช่บ้านที่กัปตันคุกอยู่ด้วยซ้ำแต่เป็นบ้านของพ่อแม่เขาต่างหาก
แล้วเราได้เข้าไปมั้ย…ไม่ได้เข้าค่ะ เพราะดูแล้วกระท่อมมันหลังเล็กแต่นักท่องเที่ยวเพียบเลย ที่สำคัญเสียค่าเข้าด้วย 😅 เลยขอชมแต่เพียงภายนอกละกัน
ใกล้ๆ Cooks' Cottage มี Model Tudor Village หมู่บ้านจำลองสไตล์ทิวดอร์น่ารักๆ ด้วย
Model Tudor Village
เดินมาทางใต้ของสวนอีกนิดนึงก็จะเจอกับ The Conservatory
The Conservatory
The Conservatory เป็นเรือนกระจกที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน สร้างขึ้นเมื่อปี 1930
The Conservatory
ข้างในนี่ปลูกต้นไม้ดอกไม้คล้ายๆ กับบ้านเราเลย แต่เขาจัดสวนได้น่ารักมากๆ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลย
ชอบเรือนกระจกที่นี่นะ น่ารักมากเลย
เราสังเกตุว่าต้นไม้ในสวนมักจะมีพลาสติกผืนใหญ่ๆ คลุมอยู่รอบๆ ต้น สงสัยมากว่าพันไว้ทำไม
เพื่อนบอกว่ามันเป็นผ้าพลาสติก polycarbonate ที่เค้าเอามาพันไว้ที่ลำตัวต้นไม้เพื่อกันไม่ให้ตัว Possum ปีนขึ้นไปกินใบไม้ เป็นการรักษาต้นไม้นั่นเอง
ป.ล. Possum เป็นสัตว์กินทั้งพืชและเนื้อเป็นอาหาร หน้าตาคล้ายหนูแต่มีถุงหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ พบเจอได้ง่ายมากในออสเตรเลีย…แต่ดิชั้นยังไม่เคยเห็นเลยค่ะ 😂
จาก Fitzroy Garden เราเดินต่อไปที่ Royal Botanic Gardens โดยเดินทะลุ Birrarung Marr สวนสาธารณะเลียบแม่น้ำ Yarra ที่เราเพิ่งมาเมื่อวาน
เดินข้ามสะพาน Swan Street Bridge
Royal Botanic Gardens เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1846 ครอบคลุมพื้นที่ 94 เอเคอร์ หรือประมาณ 237 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของพืชเกือบ 50,000 ต้นจาก 8,500 สายพันธุ์ มีทั้งพืชป่าฝน กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ กุหลาบพันธุ์แคลิฟอร์เนีย สมุนไพร ไม้ยืนต้น พืชจากจีนตอนใต้ และพืชหายาก
Royal Botanic Gardens
มาถึงสวนตอนเกือบบ่ายโมงอากาศเริ่มร้อน ใครจะมาเดินเที่ยวสวนอย่าลืมทาครีมกันแดดและพกหมวกมาด้วยนะที่นี่แดดแรงสุดๆ
มีดอกบัวด้วย นี่นึกว่าอยู่ที่ไทยเลยนะเนี่ย
ที่ทะเลสาปมีเรือถ่อที่เรียกว่า Punting ให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย น่ารักเชีย
Punting on the Lake
ต้องขอโทษด้วยที่มีรูป Royal Botanic Gardens น้อยไปหน่อย ด้วยความที่แดดมันแรงมากมัวแต่เดินหลบแดดเลยลืมถ่ายรูป 😅 จริงๆ ข้างในสวนน่าเดินมากค่ะ คนมาเดินเล่นกันเยอะมากเลย
จากสวนเราเดินต่อไปที่ Shrine of Remembrance ที่เคยมาเมื่อวันแรก แต่วันนี้เราจะเข้าไปด้านในด้วยค่ะ
Shrine of Remembrance
Shrine of Remembrance เป็นอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับสงครามที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ชายและหญิงของรัฐวิกตอเรียที่ไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1
ป.ล. แต่ในปัจจุบันที่นี่เป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศให้แก่ชาวออสเตรเลียทุกคนที่เคยร่วมรบในสงครามทุกสงครามที่เคยเกิดขึ้นค่ะ
ด้านในอาคารจะมีการจัดแสดงสิ่งของจากช่วงสงครามโลกให้ได้ดูด้วย
Shrine of Remembrance ออกแบบโดยสถาปนิก Phillip Hudson และ James Wardrop ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยเช่นกัน สร้างขึ้นในสไตล์คลาสสิคตามแบบสุสานของ Mausolus ที่เมือง Halicarnassus ประเทศทูร์เคีย (ตุรกี) และวิหาร Parthenon ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 1934
และถ้าเดินขึ้นไปด้านบนจะเจอกับแผ่นหินที่วางอยู่บนพื้นแผ่นหนึ่ง
บนแผ่นหินนี้จารึกข้อความไว้ว่า Great Love Hath No Man (ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้) หมายถึงการที่คนๆ หนึ่งยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
มีกิมมิกเกี่ยวกับหินแผ่นนี้ด้วยนะ เค้าบอกว่าถ้าเรามาที่นี่ในวันที่ 11 พ.ย. ในเวลา 11.00 เราจะได้เห็นแสงของพระอาทิตย์ที่ตกกระทบบนแผ่นหินนี้ตรงคำว่า Love พอดี (แบบในรูปด้านล่าง)
รูปจาก: https://catalogue.nla.gov.au/catalog/6448940.org
เลข 11 / 11 ดูจะมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่น้อย เพราะนอกจากวันที่ 11 พ.ย. จะเป็นวันเปิดอนุสรณ์สถานแห่งนี้แล้ว วันที่ 11 พ.ย. ปี 1918 ยังเป็นวันที่ประกาศยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย
แต่หลังจากที่มีเรื่องของการปรับเวลา Daylight Saving ในทุกปี ทำให้แสงไม่ได้ตกกระทบในตำแหน่งที่ถูกต้องอีกต่อไป ก็เลยมีการติดตั้งกระจกเพื่อให้แสงส่องลงมาที่จุดนี้ เรียกว่าเป็นการใช้แสงจำลองแทน
เดินออกมาถ่ายรูปที่ระเบียงด้านบนจะได้เห็นวิวของเมืองเมลเบิร์นเต็มๆ สวยกว่าข้างล่างอีก
วิวเดิมแต่ถ่ายจากมุมสูง
จาก Shrine of Remembrance เดินมาประมาณ 10 นาทีก็จะเจอกับ National Gallery of Victoria ค่ะ
National Gallery of Victoria
National Gallery of Victoria เรียกสั้นๆ ว่า NGV คือหอศิลป์แห่งชาติของรัฐวิกตอเรีย สร้างขึ้นในปี 1861 เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลียเลย
National Gallery of Victoria
NGV รวบรวมคอลเลกชั่นงานศิลปะทั้งของยุโรป เอเชีย โอเชียนิก อเมริกา และงานศิลปะร่วมสมัยมากมาย
บางส่วนของงานศิลปะที่จัดแสดงที่ NGV
มีงานของ Pablo Picasso และ Claude Monet ให้ดูด้วย
Pablo Picasso
Claude Monet
ส่วนตัวเราเป็นคนชอบดูงานศิลปะจากอดีตมากกว่า แต่มีห้องหนึ่งที่เราชอบมากชื่อ Megacities
Megacities
เป็นงานแสดงภาพถ่ายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในเมืองมหานคร 10 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคน ได้แก่ไคโร เดลี ธากา จาการ์ตา ลากอส เม็กซิโกซิตี้ เซาเปาโล โซล เซี่ยงไฮ้ และโตเกียว โดยช่างภาพอาชีพ 10 คนที่อาศัยและทำงานในเมืองเหล่านี้
นั่งดูเพลินเลย
อีกห้องที่สวยมาก ชื่อห้อง The NGV Salon เป็นห้องที่รวบรวมภาพวาดของศิลปินในอดีตมากมายแขวนไว้เต็มผนังทั้ง 4 ด้านเลย
The NGV Salon
เหลือบไปเห็นเพดานส่วนที่เป็น Great Hall สวยดีเป็น stained glass
ออกจาก NGV เราเดินข้ามสะพาน Princes Bridge ไปนั่งเล่นที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ Yarra บรรยากาศดีมากๆ
จากนั้นก็เดินไปหาขนมเค้กอร่อยๆ กินต่อที่ Flinders Lane
ร้านอาหารแถวๆ นี้น่านั่งมากเลย
ถึงแล้วร้าน Brunetti Oro ร้านเค้กสไตล์อิตาเลี่ยนที่เพื่อนบอกว่าอร่อย
เค้กเค้าเยอะมากกก
วันนี้คนเยอะน่าดู ดีที่ร้านค่อนข้างใหญ่ เค้ามีขายทั้งอาหารและขนมเลย เราจิ้มๆ ได้มา 3 อย่าง
เค้กอร่อยใช้ได้ กาแฟก็หอมมากใครชอบเค้กมาลองชิมร้านนี้ได้ค่ะ
จากร้านเค้กเราไปเดินเล่นต่อที่ The Block Arcade และ The Royal Arcade ย่านช็อปปิ้งเก่าแก่ของที่นี่ที่ดูหรูหราหมาเห่ามาก
มาเริ่มที่ The Block ก่อนค่ะ
The Block สร้างขึ้นในปี 1893 โดย David C. Askew เป็นอาคารรูปทรงตัวแอลที่มีการออกแบบในสไตล์วิคตอเรียนในศตวรรษที่ 19 เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากศูนย์การค้า Galleria Vittoria Emanuele ที่โด่งดังของเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
ข้างในสวยและหรูหรามาก
ร้านนี้เป็นร้านชาที่เก่าแก่ที่สุดของเมลเบิร์นชื่อ Hopetoun Tea Rooms เปิดมาตั้งแต่ปี 1894 แล้ว
Hopetoun Tea Rooms
ร้านช็อกโกแลต Haigh's Chocolates ที่ดังเหมือนกัน
Haigh's Chocolates
จาก The Block จะมีทางเดินเชื่อมมาถึง The Royal Arcade เลยสะดวกซะไม่มี
ทางเชื่อมที่จะพาไป The Royal Arcade
The Royal Arcade เป็นอาร์เคดแห่งแรกในเมลเบิร์นและเป็นอาร์เคดที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของรัฐวิคตอเรียด้วย
The Royal Arcade
ออกแบบโดย Charles Webb สถาปนิกชาวอังกฤษ เป็นงานสถาปัตยกรรมในสไตล์อิตาลี เปิดเมื่อปี 1870
ที่นี่เค้าหรูหรากว่า The Block อีกนะเนี่ย
Highlight ของ The Royal Arcade คือรูปปั้น Gog และ Magog ที่อยู่ข้างนาฬิกา Gaunt และอยู่คู่ Royal Arcade มาตั้งแต่ปี 1892 แล้ว
รูปปั้น Gog และ Magog
Gog และ Magog เป็นยักษ์ผู้ปกป้องยมโลกและเทพเจ้าแห่งดวงวิญญาณ มีตำนานเล่าเกี่ยวกับ Gog และ Magog ว่าเมื่อใดก็ตามที่ทั้งคู่ปรากฎกายในสงคราม สงครามนั้นจะสิ้นสุดลง แต่สิ่งที่ Gog และ Magog ทำไม่ได้มีแค่นั้นนะ ทั้งคู่ยังคอยตีระฆังบอกเวลาทุกชั่วโมงให้อาร์เคดแห่งนี้อีกด้วย 😁
ทุกคนคิดว่าที่ไหนสวยกว่ากันระหว่าง The Block และ The Royal Arcade มาเม้นบอกกันได้นะคะ 😄
รู้มั้ยว่านอกจาก Graffiti สวยๆ ที่เราพาไปดูที่ Hosier Lane แล้ว จริงๆ ในเมลเบิร์นยังมีสถานที่แบบนี้อีกหลายที่เลยนะ อย่าง AC/DC Lane ที่อยู่ถัดจาก Hosier Lane ไปไม่กี่ซอย...แต่ที่นี่แทบไม่มีคนเลยจ้า
AC/DC Lane
ถนนเส้นนี้เดิมชื่อ Corporation Lane แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น AC/DC เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2004 เพื่อเป็นการยกย่องและให้เกียรติกับ AC/DC วงดนตรีร็อคจากประเทศออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในช่วงยุค 80
Graffiti สวยๆ ที่ AC/DC Lane
Graffiti ในนี้ก็สวยและเยอะเหมือนกัน ชอบที่คนน้อยถ่ายรูปสบายเลย
วันนี้เดินกันทั้งวันเหนื่อยมากเลย กลับบ้านไปพักร่างดีกว่า แต่ก่อนเข้าบ้านด้วยความที่อากาศดีมากและยังไม่มืด เราเลยออกไปนั่งปิกนิกจิบอะไรเบาๆ ที่ Fitzroy Garden สวนใกล้บ้านต่อ
ชอบที่นี่มากบรรยากาศโคดดี อยากให้อากาศบ้านเราดีแบบนี้มั่งจังจะได้ออกมานั่งเลยในสวนโดยไม่ต้องเหงื่อแตกเหงื่อแตนได้ 😅
ก็จบ Blog เดินเล่นในเมลเบิร์นอีกตอนละค่ะ เป็นตอนที่ยาวอีกแล้วเพราะรูปเยอะมาก ไปมันตั้งหลายที่เดินไปตั้ง 20,000 กว่าก้าวแน่ะ (หนักกว่าตอนที่แล้วอีก 😱) หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ Blog หน้าซึ่งเป็นตอนจบของทริปเมลเบิร์นแล้วล่ะค่ะ สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา