12 เม.ย. เวลา 07:09 • ไลฟ์สไตล์

สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้คุณมีชีวิตที่ต้องการ

บางครั้งชีวิตก็รู้สึกเหมือนวิ่งบนลู่วิ่ง เราวิ่งอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ไปไหนเลย
คุณเคยหยุดสงสัยว่าคุณอาจไม่มีความสุขกับชีวิตของคุณหรือไม่? ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่จะระบุสิ่งนี้ เนื่องจากเราอาจระงับหรือเพิกเฉยต่อความรู้สึกเหล่านี้
8 Subconscious Behaviors That Are Keeping You From Having The Life You Want - Brianna Wiest - 101 Essays That Will Change The Way You Think
Five Subconscious Behaviors That Are Keeping You From Having The Life You Desire
ความวุ่นวายภายในของเรามากมายนั้นเป็นเพียงผลลัพธ์ของการดำเนินชีวิตโดยที่เราไม่เห็นด้วย เพราะเรายอมรับเรื่องราวภายในของ "ปกติ" และ "อุดมคติ" โดยที่เราไม่เคยตระหนักเลย
วิธีการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นและสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในการดำรงชีวิตเพื่อ (ชาติ ศาสนา ตนเอง ฯลฯ) และมีหลายวิธีที่ในปัจจุบันของเรา ระบบทำให้เรายิงตัวเองที่เท้าขณะที่เราพยายามก้าวไปข้างหน้า พูดง่ายๆ ก็คือ มีปัจจัยพื้นฐานบางประการเกี่ยวกับความสุข การตัดสินใจ การทำตามสัญชาตญาณ และการค้นหาความสงบสุขที่เราดูเหมือนจะไม่เข้าใจ
ต่อไปนี้คือ 8 วิธีที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด
1. You believe that creating your best possible life is a matter of deciding what you want and then going after it, but in reality, you are psychologically incapable of being able to predict what will make you happy.
คุณเชื่อว่าการสร้างชีวิตที่ยอดเยี่ยมเป็นเรื่องของการตัดสินใจว่า คุณต้องการอะไรและออกไปไขว่คว้ามัน แต่ในความเป็นจริงสมองของคุณไม่อาจทำนายสิ่งที่จะทำให้คุณมีความสุขได้
Your brain can only perceive what it’s known สมองเข้าใจเพียงสิ่งที่มันรู้จัก
ดังนั้น ตอนที่คุณเลือกว่าต้องการอะไรในอนาคต จริง ๆ แล้วคุณแค่กำลังสร้างคำตอบหรืออุดมคติขึ้นใหม่จากเรื่องราวในอดีต พอสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นอย่างที่คุณต้องการ คุณก็คิดว่าตัวเองล้มเหลวเพราะไม่ได้สร้างสิ่งที่คุณมองว่าน่าปรารถนา ทั้งที่จริงแล้วคุณอาจสร้างสิ่งที่ดีกว่าทว่าแปลกใหม่ได้ และด้วยความที่มันแปลกใหม่สมองจึงตีความแบบผิด ๆ ว่ามัน “ไม่ดี” (things never look the way we think they will สิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นไปตามที่เรา คิด )
การอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่อุดมคติอันสูงส่งที่สงวนไว้เฉพาะนักบวชนิกายเซนและผู้รู้แจ้ง แต่เป็นวิธีเดียวในการใช้ชีวิตที่เราจะไม่ถูกความเข้าใจแบบผิด ๆ ชักจูง มันคือสิ่งเดียวที่สมองเข้าใจอย่างแท้จริง
จากมุมมองทางจิตวิทยา คุณไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะทำให้คุณมีความสุข
2. You extrapolate the present moment because you believe that success is somewhere you “arrive,” so you are constantly trying to take a snapshot of your life and see if you can be happy yet.
คุณคาดการณ์อนาคตจากชั่วขณะปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าความสำเร็จคือจุดที่ต้อง “ไปให้ถึง” คุณจึงพยายามประเมินชีวิตของตัวเองอยู่ตลอดเพื่อดูว่าคุณมีความสุขได้แล้วหรือยัง
You think you have to “arrive somewhere.”
เราโน้มน้าวตัวเองว่าชั่วขณะใดขณะหนึ่งเป็นตัวแทนของชีวิตทั้งหมด และด้วยความที่เราถูกกำหนดให้เชื่อว่าความสำเร็จคือจุดที่ต้องไปให้ถึง (หรือเราจะประสบความสำเร็จเมื่อบรรลุเป้าหมายและทำสิ่งต่าง ๆ เสร็จสมบูรณ์แล้ว)
เราจึงประเมินชั่วขณะปัจจุบันอยู่ตลอดเพื่อดูว่าชั่วขณะดังกล่าว “เสร็จสมบูรณ์” แค่ไหน
เรื่องราวต่าง ๆ ฟังดูเข้าท่าหรือยัง และผู้อื่นจะประเมินประสิทธิภาพของเราอย่างไร
พอไปถึงจุดนั้น เราก็จะคิดว่า “ทั้งหมดมีแค่นี้เองเหรอ” เพราะหลงลืมไปว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแท้ และสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวสรุปภาพรวมทั้งหมดไม่ได้ จุดที่ต้อง “ไปให้ถึง” นันไม่มีอยู่จริง
จุดเดียวที่เรากำลังมุ่งหน้าไปคือความตาย และความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของการไปให้ถึงเป้าหมาย แต่เป็นการเติบโตในระหว่างการเดินทาง
3. You assume that when it comes to following your “gut instincts,” happiness is “good,” and fear and pain is “bad.”
คุณทึกทักเอาเองว่าเมื่อเป็นเรื่องของการทำตาม “สัญชาตญาณ”ความสุขคือสิ่งที่ “ดีงาม” ในขณะที่ความกลัวและความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ “เลวร้าย”
เมื่อคุณคิดจะทำสิ่งที่ตัวเองรักและสนใจอย่างแท้จริง คุณจะสัมผัสได้ถึงคลื่นความกลัวและความเจ็บปวด โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกเปราะบาง แต่คุณไม่ควรตีความว่าความรู้สึกแย่ ๆ คืออุปสรรคไปเสียหมดความรู้สึกเหล่านันยังเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณกำลังทำสิงที่น่าหวาดหวั่นทว่าคุ้มค่าเพราะถ้ามันไม่ใช่สิ่
งที่คุณอยากทำ คุณก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ดังนั้น สิ่งที่ทำให้คุณกลัวก็คือสิ่งที่คุณสนใจ
4. You needlessly create problems and crises in your life because you’re afraid of actually living it.
คุณทำให้ชีวิตมีปัญหาและเกิดวิกฤติโดยไม่จำเป็นเพราะกลัวที่จะใช้ชีวิตตามนั้นจริงๆ
อันที่จริงการสร้างวิกฤติในชีวิตโดยไม่จำเป็นถือเป็นเทคนิคหนึ่งของการหลีกเลี่ยงความจริง มันเบี่ยงเบนความสนใจของคุณจากการต้องเผชิญความเปราะบางหรือรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองกลัว
You’re never upset for the reason you think you are: at the core of your desire to create a problem is simply the fear of being who you are, and living the life you want.
คุณไม่ได้หัวเสียเพราะชีวิตมีปัญหาหรอก ประเด็นคือคุณอยากทำให้ชีวิตมีปัญหาเพราะกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองและใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการต่างหาก
เมื่อเราไม่มีความสุขเรามักจะรู้สึกขาดการติดต่อจากโลกรอบตัวเรา
5. You think that to change your beliefs, you have to adopt a new line of thinking, rather than seek experiences that make that thinking self-evident.
คุณคิดว่าถ้าอยากเปลี่ยนแปลงความเชื่อ คุณต้องเปิดรับวิธีคิดใหม่ๆ แทนที่จะออกไปหาประสบการณ์ที่ทำให้ความเชื่อนั้นประจักษ์ชัดในตัว
If you want to change your life, change your beliefs. If you want to change your beliefs, go out and have experiences that make them real to you. Not the opposite way around.
คุณรู้ว่าความเชื่อเป็นเรื่องจริงเพราะประสบการณ์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อก่อนและถ้าอยากเปลี่ยนแปลงความเชื่อ คุณก็ต้องออกไปหาประสบการณ์ที่ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงสำหรับคุณ คุณจะสลับขั้นตอนไม่ได้
6. You think “problems” are road blocks to achieving what you want, when in reality, they are pathways.
คุณคิดว่า “ปัญหา” เป็นอุปสรรค ทั้งที่จริงแล้วมันคือหนทางที่จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการ
The impediment to action advances action. What stands in the way becomes the way.
Marcus Aurelius
มาร์คัส ออเรลิอัส จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันสรุปเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อย่างดีเยี่ยมว่า “สิ่งที่ขัดขวางการลงมือคือสิ่งที่ส่งเสริมการลงมือทำ สิ่งที่กีดขวางเส้นทางจะกลายเป็นหนทาง”
The obstacle is the way.
Ryan Holiday
เพราะอุปสรรคคือทางออก
Simply, running into a “problem” forces you to take action to resolve it. That action leads you down the path you had ultimately intended to go anyway,
พูดง่าย ๆ คือ การเผชิญหน้ากับ “ปัญหา” จะบังคับให้คุณลงมือแก้ไขมัน และการลงมือนั้นจะทำให้คุณคิด ประพฤติตัวและเลือกต่างไปจากเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
as the only “problems” in your life ultimately come down to how you resist who you are and how your life naturally unfolds.
“ปัญหา” กลายเป็นสิ่งที่เร่งให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการมาตลอด มันผลักคุณออกจากคอมฟอร์ตโซน
7. You think your past defines you, and worse, you think that it is an unchangeable reality, when really, your perception of it changes as you do.
คุณคิดว่าอดีตคือสิ่งที่กำหนดตัวตนของคุณ ซ้ำร้ายยังคิดว่ามันคือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทั้งที่มุมมองที่คุณมีต่ออดีตจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับคุณตามที่คุณทำ
ประสบการณ์คือสิ่งที่ประกอบด้วยหลายมิติเสมอ มีสารพัดความทรงจำ เหตุการณ์ ความรู้สึก และ “ประเด็นสำคัญ” ที่คุณสามารถเลือกที่จะนึกถึงได้...และสิ่งที่คุณเลือกนึกถึงก็บ่งบอกถึงสภาพจิตใจในปัจจุบันของคุณ
หลายคนปล่อยให้อดีตกำหนดตัวตนหรือหลอกหลอนพวกเขา เพียงเพราะพวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าอดีตไม่ได้ขัดขวาง แต่ช่วยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตที่ต้องการ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเมินเฉยหรือปิดบังเหตุการณ์ที่น่าเจ็บปวดและสร้างความบอบช้ำทางจิตใจ แต่ขอให้นึกถึงมันด้วยใจยอมรับและบันทึกมันลงในเรื่องราวการเติบโตของคุณ
8. You try to change other people, situations and things (or you just complain/get upset about them) when anger = self-recognition. Most negative emotional reactions are you identifying a disassociated aspect of yourself.
คุณพยายามเปลี่ยนแปลงผู้คน สถานการณ์และสิ่งต่าง ๆ (ไม่ก็หัวเสียหรือพรำบ่น) เมื่อคุณโกรธเพราะมันทำให้คุณตระหนักรู้ตัวตนของตัวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อคุณตอบสนองทางอารมณ์ต่อสิ่งเหล่านั้นในเชิงลบ คุณกำลังชี้ให้เห็นถึงตัวตนด้านหนึ่งที่ถูกกดเอาไว้
“shadow selves ด้านมืด” ของคุณเป็นส่วนหนึ่งของคุณ และในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ คุณก็ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ “ยอมรับไม่ได้” คุณจึงกดมันเอาไว้และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อมองข้ามมัน ทว่าคุณไม่ได้เกลียดชังตัวตนด้านนั้นของตัวเองจริง ๆ ดังนั้น เมื่อคุณเห็นผู้อื่นทำสิ่งที่สะท้อนด้านมืดของตัวเอง คุณจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคุณต้องต่อสู้กับความปรารถนาที่จะตระหนักถึงมัน
The things you love about others are the things you love about yourself. The things you hate about others are the things you cannot see in yourself.
สิ่งที่คุณชอบในตัวผู้อื่นคือสิ่งที่คุณชอบในตัวเอง ส่วนสิ่งที่คุณรังเกียจในตัวผู้อื่นคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็นว่าตัวเองก็มี
จาก Brianna is the author of 101 Essays That Will Change The Way You Think, The Mountain Is You, Ceremony, and When You’re Ready, This Is How You Heal. 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
โฆษณา