1 ก.ย. เวลา 12:00 • ปรัชญา
กรุงเทพมหานคร

ฮีลใจอย่างไร ให้ใจเบา

Volume ฉบับที่ 55 เดือนมกราคม 2568
Column ThinkPlus
Writer Name รศ. พญ.โสมรัชช์ วิไลยุค ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่าน @Rama ทุกท่านนะคะ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขในทุก ๆ วันและมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรงสมบูรณ์นะคะ ... โจทย์คอลัมน์นี้ คือ หากเราเจอปัญหามารุมเร้า เราจะรับมือกับปัญหานั้นอย่างไร หรือทำอย่างไรให้เยียวยาใจเราได้ หรือที่สมัยนี้ชอบเรียกกันว่าฮีล (heal) ใจนั่นเองค่ะ ถือว่าเป็นคำถามที่ยากทีเดียว ไม่ง่ายเลยนะคะ ...
ต้องขอออกตัวก่อนว่าเนื้อหาที่เขียนในบทความนี้เป็นวิธีที่ผู้เขียนใช้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ เลยเอามาแบ่งปันเผื่อเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ทั้งนี้อาจเลือกใช้แค่บางข้อหรือใช้ทุกข้อก็ได้ค่ะ
❤️🩷🧡💛 1. ตั้งสติ 💚💙🩵💜
หากเจอเรื่องไม่คาดฝันหรือปัญหาที่ไม่คาดคิด อารมณ์คือสิ่งแรกที่จะมาก่อนเพื่อนเลยค่ะ ไม่ว่าจะตกใจ ทุกข์ใจ เศร้า โกรธ โมโห ส่วนใหญ่จะเป็นอารมณ์ฝั่งลบ ให้เราตั้งสติให้ดี พยายามควบคุมอารมณ์หรือระงับอารมณ์ไม่ให้เตลิด โดยเฉพาะอารมณ์โกรธหรือโมโหซึ่งเปรียบเสมือนไฟลามทุ่มหรือไฟป่า ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างเยอะมาก
หากเป็นอารมณ์โกรธที่รุนแรงสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียที่ประมาณไม่ได้เช่นกัน หากเจ้าของอารมณ์ตัดสินใจทำอะไรผลีผลาม ที่เราเจอกันบ่อยคืออุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ต่างก็สาดอารมณ์ใส่กัน คู่กรณีบางคู่ ถึงกับลงไม้ลงมือกัน ทำให้บาดเจ็บหนักหรือเสียชีวิตไปเลยก็มี ...
มีคนบอกว่าทำยากนะ การควบคุมอารมณ์เนี่ย ก็จริงค่ะ การควบคุมอารมณ์เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝนเหมือนกัน และต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ ถ้าไม่เคยฝึกมาก่อน ก็ยากที่จะควบคุมได้ในเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลยนะคะ ให้ท่านผู้อ่านลองหายใจเข้าออกยาว ๆ ช้า ๆ หลาย ๆ ครั้ง อารมณ์จะเย็นลงค่ะ เพราะการหายใจเข้าออกยาว ๆ เหมือนการทำสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง ลมหายใจจะช้าลง อารมณ์จะเย็นลงเช่นกัน เรามาเริ่มฝึกกันนะคะ
❤️🩷🧡💛 2. วิเคราะห์ปัญหา 💚💙🩵💜
หลังจากตั้งสติได้ คราวนี้มาวิเคราะห์ปัญหากันค่ะ ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากอะไร แล้วจุดประสงค์ของคนที่กระทำเรา คืออะไร ? ถ้ามีคนว่าหรือตำหนิเรา เราควรวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาว่านั้น เพราะอะไร และทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา หรือกับส่วนรวมหรือไม่ หากการว่ากล่าวตักเตือนนั้น เป็นความหวังดี อยากให้เราพัฒนาตัวเอง พัฒนาองค์กร หรือ “ติเพื่อก่อ” เราก็น้อมรับไว้แก้ไข
แต่หากการว่ากล่าวนั้น ไม่ได้ช่วยให้ใครพัฒนา แต่เป็นการว่ากล่าวที่ไม่หวังดี หรือ “ติเพื่อทำลาย” เราก็ปล่อยวาง อย่าเก็บมันไว้ค่ะ ฝึกทำแบบนี้นะคะ ถ้าเปรียบเทียบกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นลงตามเวลาทุกวัน ในวันที่ร้อนอบอ้าว คนก็จะว่าพระอาทิตย์ ว่าขึ้นมาทำไม ร้อน!! ส่วนในวันที่หนาวเหน็บและท้องฟ้ามืดหม่น คนจะดีใจและนึกขอบคุณพระอาทิตย์ที่ขึ้นมาให้ความอบอุ่นและแสงสว่าง ทั้ง ๆ ที่เป็นพระอาทิตย์ดวงเดิมขึ้นและตกเหมือนเดิม
ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องรับคำว่าร้ายต่าง ๆ แล้วเก็บใส่กระเป๋าเราหมดนะคะ ไม่นั้นเราจะแบกความทุกข์ และเก็บความเกลียดชังของคนอื่น ๆ มาหมด ให้เรากรองก่อน ใช้สมองและหัวใจกรองตามหลักความจริงนะคะ
❤️🩷🧡💛 3. หยุดความคิดที่ทำร้ายตัวเอง 💚💙🩵💜
มีคนไม่น้อยเลยที่มักชอบโทษตัวเองเวลาโดนว่ากล่าว หรือมีปัญหาเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดคือ เป็นความผิดของฉันหรือเปล่า ฉันมันไม่ดี ฉันนี่แย่จริง ๆ ทำผิดอีกแล้ว ฯลฯ อันนี้ต้องหยุดความคิดนี้ก่อนนะคะ เพราะมันจะทำให้คุณดำดิ่งไปสู่ความมืดที่นอกจากไม่ช่วยคุณแก้ปัญหาแล้ว ยังอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าตามมาได้อีก
หากเราทำผิดจริง ก็ให้รู้ว่าทำผิด คราวหน้าต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ผิดอีก เมื่อคุณโดนตำหนิแล้ว คุณไม่ต้องว่ากล่าวตัวเองซ้ำ ๆ อีกหลาย ๆ รอบ บางทีเหตุการณ์ที่คนว่าเราจบไปนานแล้ว แต่เรายังติดอยู่กับคำพูดเหล่านั้น เพราะเรายังคิดโทษตัวเองวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ตราบใดที่คุณยอมรับความผิด รู้วิธีทีที่จะแก้ปัญหาในปัจจุบันและป้องกันความผิดในอนาคต อันนั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
❤️🩷🧡💛 4. หาวิธีแก้ปัญหา 💚💙🩵💜
เมื่อคุณมีสติแล้ว และตัดเจ้าตัวอารมณ์ออกไป เมื่อนั้นสมองคุณจะคิดหาวิธีแก้ปัญหานั้นได้ดีค่ะ เพราะหากคุณมีอารมณ์วิธีแก้ปัญหาอาจเป็นวิธีที่ไปในทางลบ ไม่เหมาะสม เช่นบางคนเลือกที่จะทำร้ายร่างกายตัวเอง โดยคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีแล้ว แต่จริง ๆ ไม่เลยนะคะ วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเลยค่ะ
บางคนเลือกที่จะทำร้ายร่างกายคนอื่น อันนี้ยิ่งแย่สุด ๆ เลยนะคะ ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ควรคิดอย่างยิ่งเช่นกันค่ะ หากคุณหาวิธีแก้ปัญหาในตอนนั้นไม่ได้ ไม่เป็นไรค่ะ แสดงว่ายังไม่พร้อม อาจจะไปทำอย่างอื่นก่อน สงบจิตสงบใจให้ดีก่อนแล้วค่อยกลับมาหาทางแก้ปัญหาใหม่
❤️🩷🧡💛 5. ปรึกษาคนที่ไว้ใจ 💚💙🩵💜
หากคิดแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ อีกวิธีหนึ่งคือ หาที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ค่ะ ไว้ใจได้ในที่นี้หมายถึงเป็นคนที่หวังดีกับคุณจริง ๆ ตั้งใจแนะนำเพื่อคุณจริง ๆ ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง และคน ๆ นั้นควรเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวก และหากเป็นคนที่มีความรู้ในการแก้ปัญหานั้น ๆ ด้วยยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ ที่บอกว่าควรเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกเพราะบางคนชอบคิดเชิงลบ พอเราไปปรึกษายิ่งแย่กันไปใหญ่เลยค่ะ ...
เพื่อนบางคนหวังดีนะคะ พอเพื่อนมาเล่าเรื่องให้เราฟังกลับออกอาการโมโหแทน บางคนโมโหมากกว่าเจ้าตัวอีกค่ะ เปรียบเหมือนยิ่งโหมไฟให้ลุกโชน อาจทำให้ปัญหาที่มี แย่ลงไปอีก คือช่วยทำให้อารมณ์โกรธมากขึ้น อันนี้ต้องระวังดี ๆ นะคะ เพื่อนที่ดีควรทำให้เราตั้งสติได้และมีอารมณ์เย็นลงมากกว่าค่ะ
❤️🩷🧡💛 6. ย้ายอารมณ์ 💚💙🩵💜
ในกรณีที่อารมณ์เชิงลบไม่หายไปสักที ยังคงหงุดหงิดใจ หรือโมโหอยู่ อีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้คือ การย้ายอารมณ์ค่ะ การย้ายอารมณ์คืออะไร ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหมอเด็กนะคะ เวลาเด็กร้องไห้ เรามักจะชอบเอาของเล่นมาหลอกล่อ พอเด็กหันไปสนใจของเล่น เด็กก็หยุดร้องไห้เลยค่ะ เพราะปกติแล้วคนเราจะสนใจของได้แค่สิ่งเดียว
ไม่ใช่เฉพาะเด็กนะคะ ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน บางคนถึงหาทางออกด้วยวิธีดูหนัง ฟังเพลง หาของอร่อยกิน หรือออกกำลังกาย อันนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจเราให้ไปสนใจกับสิ่งอื่น เวลาผู้เขียนมีทุกข์ที่ยังแก้ไม่ได้ ผู้เขียนจะเดินไปสอนนักเรียนหรือคุยกับคนไข้ ... หายเลยค่ะ ... ทุกข์ตอนนั้นลืมไปเลย เพราะเราตั้งใจคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้าเรา
การย้ายอารมณ์ถือเป็นการควบคุมอารมณ์อย่างหนึ่งค่ะ ไม่ให้เราเอาไปปรุงแต่งต่อ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ตอนนั้นเบาลง ถ้าในทางธรรมะการย้ายอารมณ์คือการอยู่กับลมหายใจ การทำสมาธิหรือวิปัสสนา ในกรณีนั้นท่านที่สามารถทำได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคดูหนังฟังเพลงก็ได้ค่ะ แค่เข้าถึงสมาธิ ความทุกข์ร้อนก็ดับได้เลยค่ะ
❤️🩷🧡💛 7. ปล่อยวาง
ปัญหาบางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นแล้ว ผ่านมาแล้ว เหลือแค่เพียงยอมรับกับปัญหาเหล่านั้นแต่โดยดี ความทุกข์อันหนึ่งเกิดจากเรายังไม่อยากยอมรับกับปัญหานั้น ๆ ตัวอย่างที่เจอบ่อย ๆ คือ เลิกกับแฟน พลัดพรากจากของหรือบุคคลที่รัก ถ้าเรายังยอมรับไม่ได้ เราก็จะทุกข์ใจอยู่นานมาก
วันที่คุณยอมรับได้ว่าเหตุการณ์นั้น ๆ มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว แค่ยอมรับมัน วันนั้นใจคุณจะเบาเลยค่ะ เมื่อยอมรับแล้วก็ปล่อยวางนะคะ บางคนพร่ำถามตัวเองว่าทำไมเหตุการณ์อย่างนี้ต้องเกิดกับฉัน อันนั้นยิ่งถาม ก็ยิ่งทุกข์ค่ะ เพราะเราอาจไม่ได้คำตอบ ดีที่สุดคือวางลงค่ะ เปรียบเหมือนเรากำก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่น้ำหนักเบามากในมือ แต่ถ้าเรากำและยกไว้นาน ๆ ถึงจุดหนึ่งมันจะเริ่มหนักมากค่ะ กรณีนี้ก็เช่นกันค่ะ
❤️🩷🧡💛 8. ใช้เวลาช่วยเยียวยา
เมื่อปัญหาหลายอย่างไม่มีวิธีแก้ปัญหา สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้คือ “เวลา” ค่ะ เวลาที่ผ่านไปจะทำให้ปัญหามันเบาลงค่ะ เหมือนแผลสด มักจะเจ็บกว่าแผลที่ใกล้หายแล้ว เพราะฉะนั้นในขณะที่รอเวลา เราก็คงต้องหาวิธีอื่นที่ทำให้ปัญหามันเบาลงค่ะ
❤️🩷🧡💛 9. ไม่มีอะไรเที่ยง
อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนท่องจำไว้ขึ้นใจมากเลยค่ะ เวลาเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผู้เขียนจะระลึก ถึงไว้เสมอว่าไม่มีอะไรที่อยู่กับเราไปได้ตลอด วันหนึ่งมีสุข .. สุขก็จะหายไป วันหนึ่งมีทุกข์ .. ทุกข์ก็จะหายไปเช่นกัน เพราะฉะนั้นปัญหาหลายอย่างที่เข้ามา วันหนึ่งมันก็หายไป ถ้าเราไม่ยื้อมันไว้นะคะ บางปัญหาผู้เขียนแก้ปัญหาด้วย การใช้ “เวลา” บวกกับคติ “ความไม่เที่ยง” พอตื่นนอนมาบางทีปัญหานั้นหายไปเองเลยค่ะ โดยไม่ต้องทำอะไร
สุดท้ายนี้การแก้ปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละปัญหาและแต่ละบุคคล เราไม่ควรเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ว่าปัญหาใครหนักกว่าใคร เพราะอันนั้นจะไม่เกิดประโยชน์นะคะ ให้ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขที่ถูกต้องจะดีกว่า การที่เราเกิดขึ้นมาบนโลกมนุษย์ เราทุกคนหลีกเลี่ยงหรือหนีปัญหาไม่ได้ เราล้วนต้องเจอปัญหากันทุกคน เพราะเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นค่ะ ถ้าเราพบปัญหาเดิมอีก คราวหน้าเราจะแก้ไขได้ดีและเร็วขึ้น หัวใจจะไม่หนักอึ้งอีกต่อไป
เมื่อเจอปัญหาบางคนถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นครู ยิ้มน้อมรับปัญหานั้นโดยดี หมั่นฝึกแก้ไข และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นต่อ ๆ ไป แค่นี้เราก็มีภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีแล้วค่ะ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยดีนะคะ ...
"ปัญหามา ปัญญาเกิด ทุกข์เตลิด เมื่อสติมา"
โฆษณา