26 เม.ย. เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์

10 โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่ออเมริกาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นขวัญกำลังใจของประชาชน สนับสนุนการผลิต และส่งเสริมความรักชาติ ต่อไปนี้คือ 10 ภาพโปสเตอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงเวลานั้น
1. “I Want You for U.S. Army” – Uncle Sam
ภาพลุงแซม บุคคลจำลองที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ สวมหมวกดาวสีขาวบนพื้นน้ำเงิน เสื้อคลุมสีน้ำเงิน กางเกงลายธงชาติ ชี้นิ้วตรงมาที่ผู้ชม พร้อมข้อความ "I Want You for U.S. Army"(ฉันต้องการคุณเพื่อกองทัพสหรัฐฯ) และ “NEAREST RECRUITING STATION” (จุดรับสมัครทหารที่ใกล้ที่สุด)
วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นความรับผิดชอบของพลเมืองในการรับใช้ชาติ สร้างความรู้สึกเร่งด่วนและเป็นการส่วนตัว เพื่อให้ชายอเมริกันเข้าร่วมกองทัพ โปสเตอร์นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของศิลปะโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda art) กลายเป็นภาพไอคอนแห่งชาติเกี่ยวกับความรักชาติและการเกณฑ์ทหาร ถูกลอกเลียนแบบ ดัดแปลง และอ้างอิงในสื่อหลากหลายรูปแบบทั้งในและนอกสหรัฐฯ
🎨 ผู้วาด : เจมส์ มอนต์โกเมอรี แฟล็กก์ (James Montgomery Flagg) ผลิตในปี 1917
2. “We Can Do It!” – Rosie the Riveter
หญิงสาวในชุดทำงาน แขนเสื้อพับขึ้น พร้อมท่าทางยกแขนโชว์กล้าม แสดงถึงความแข็งแกร่ง ความมั่นใจ และศักยภาพของผู้หญิง คำว่า “We Can Do It!” เป็นข้อความให้กำลังใจและปลุกพลังสตรี แม้ไม่มีชื่อผู้หญิงในโปสเตอร์ แต่ภายหลังสื่อมวลชนตั้งชื่อเธอว่า "Rosie the Riveter" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงอเมริกันที่ทำงานในอุตสาหกรรมช่วงสงคราม
จัดทำโดย War Production Co-ordinating Committee ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Westinghouse Electric Corporation เดิมทีโปสเตอร์นี้ตั้งใจจะใช้เพียง ระยะเวลาสั้น (2 สัปดาห์) เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของคนงานในโรงงานผลิตอาวุธ
โปสเตอร์ดังกล่าวไม่ค่อยมีใครเห็นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพิ่งถูกค้นพบอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 1980 และถูกนำมาทำใหม่ในรูปแบบต่างๆ มากมาย ถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท เช่น การเมือง ศิลปะ แฟชั่น และการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ต่อมากลายเป็น โปสเตอร์ระดับโลกที่ยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ของ "พลังสตรี" และ "การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในสงคราม"
🎨 ผู้วาด : เจ. ฮาวเวิร์ด มิลเลอร์ (J. Howard Miller) ผลิตในปี 1943
3. “Loose Lips Might Sink Ships”
คำว่า "ปากพล่อย อาจทำให้เรืออับปาง" เป็นสำนวนภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ภาพเงาของเรือกำลังจม ในท้องทะเลที่สีแดงเข้ม บ่งบอกถึงความอันตราย คำว่า “Loose Lips” อยู่ด้านบน และ “Might Sink Ships” อยู่ด้านล่าง สะท้อนข้อความเตือนภัยอย่างชัดเจน
ความหมายและเจตนารมณ์โปสเตอร์เพื่อแนะนำให้ทหารและพลเมืองอื่นๆ หลีกเลี่ยงการพูดจาไม่ระวังที่อาจบ่อนทำลายความพยายามในการทำสงคราม และเพื่อป้องกันการรั่วไหลที่อาจเป็นภัยต่อกองทัพ เช่น เส้นทางเดินเรือหรือการเคลื่อนไหวของกองทัพ) อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลถึงศัตรู การรั่วไหลดังกล่าวอาจ ส่งผลต่อความปลอดภัยของกองทัพ เรือ และชีวิตทหาร สะท้อนความจำเป็นในการ ปิดปากเงียบ = ปลอดภัย เป็นหนึ่งในแนวทาง “ความมั่นคงแห่งชาติ” แบบพลเมืองมีส่วนร่วม
สโลแกน “Loose Lips Sink Ships” กลายเป็นสำนวนที่ใช้กันทั่วไปในภาษาอังกฤษถึงทุกวันนี้ หมายถึง "การพูดไม่คิดอาจนำภัยมาได้" เป็นตัวอย่างเด่นของ การใช้ศิลปะในการควบคุมพฤติกรรมพลเมืองในยามสงคราม
🎨 ผู้วาด : Office of War Information (OWI) ผลิตในปี 1942
4. “Four Freedoms” – Norman Rockwell
ชุสี่เสรีภาพ เป็นภาพวาดสี่ชิ้นที่แสดงถึงเสรีภาพพื้นฐาน เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพจากการขาดแคลน และเสรีภาพจากการกลัว
Freedom of Speech (เสรีภาพในการพูด) ชายชนชั้นแรงงานยืนพูดอย่างกล้าหาญในการประชุมสาธารณะ สื่อถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แม้เสียงจะขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ เป็นภาพที่มีพลังมาก และแสดงถึงศักดิ์ศรีของประชาชนทั่วไป
Freedom of Worship (เสรีภาพในการนับถือศาสนา) กลุ่มคนจากหลากหลายพื้นเพและความเชื่อ สวดมนต์ในแบบของตนเอง ข้อความบนภาพ: “Each according to the dictates of his own conscience” (แต่ละคนตามเสียงของมโนธรรมตน) แสดงให้เห็นถึงความเคารพในความแตกต่างทางศาสนา
Freedom from Want (เสรีภาพจากความขาดแคลน) ครอบครัวอเมริกันกำลังรับประทานมื้ออาหารวันขอบคุณพระเจ้า ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของชุดนี้ มักถูกนำไปดัดแปลง สื่อถึงสิทธิในการมีชีวิตที่มั่นคง มีอาหารพอเพียง
Freedom from Fear (เสรีภาพจากความหวาดกลัว) พ่อแม่ดูแลลูกน้อยก่อนนอน ขณะที่พ่อถือหนังสือพิมพ์ข่าวสงครามในมือ สะท้อนความปรารถนาที่จะให้ลูกหลานเติบโตอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวภัยสงคราม
เป็นชุดภาพวาดสีน้ำมันสี่ภาพที่สร้างขึ้นในปี 1943 โดย นอร์แมน ร็อคเวลล์ (Norman Rockwell) ศิลปินชาวอเมริกัน กำลังหาทางสนับสนุนความพยายามในการทำสงคราม โดยนำเสรีภาพแต่ละประการมาอิงจากฉากธรรมดาๆ ของบุคคลในที่ประชุมศาลากลาง ขณะสวดมนต์ หรือที่บ้านกับครอบครัว ร็อคเวลล์ได้สร้างภาพแทนเสรีภาพแต่ละประการ ถ่ายทอดอารมณ์ความเป็นอยู่และอุดมการณ์ของชนชั้นกลางได้อย่างลึกซึ้ง
เสรีภาพทั้งสี่ประการนอร์แมน ร็อคเวลล์นำมาจากคำปราศรัย State of the Union ของประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ในเดือนมกราคม 1941 ซึ่งเขาได้ระบุถึงสิทธิมนุษยชน พื้นฐาน ที่ควรได้รับการคุ้มครองในระดับสากล หัวข้อดังกล่าวรวมอยู่ในกฎบัตรแอตแลนติก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎบัตรสหประชาชาติ ภาพวาดดังกล่าวถูก ตีพิมพ์ซ้ำในThe Saturday Evening Post เป็นเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกันในปี 1943 ควบคู่ไปกับเรียงความของนักคิดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น
วิสัยทัศน์นี้ยังคงดำรงอยู่ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมคติเบื้องหลังสิทธิมนุษยชนและการแสวงหาสันติภาพในโลกหลังสงคราม
🎨 ผู้วาด : นอร์แมน ร็อคเวลล์ (Norman Rockwell) ผลิตในปี 1943
5. “This is the Enemy”
ภาพมือสวมปลอกแขนสวัสดิกะ แทนฮิตเลอร์-ยูเกนด์-ฟาร์เทนเมสเซอร์ (ซึ่งระบุได้จากควิลลอนอันเป็นเอกลักษณ์ สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ความภักดี และความกล้าหาญในความเชื่อของนาซี) นั้นมีลักษณะเป็นเส้นเลือด ตึง กำแน่น และเป็นศัตรู แทงดาบเข้าไปในหนังสือที่ติดป้ายว่า "พระคัมภีร์ไบเบิล" คำว่า“This is the Enemy”เป็นคำเตือนแบบตรงไปตรงมา ถึงประชาชนอเมริกันว่า ลัทธินาซีคือศัตรูที่แท้จริงของอารยธรรม
เจตนาของนาซีที่มีต่อสัญลักษณ์ของมีดสั้นนั้นกลับกันผ่านการกระทำอันไร้เกียรติในการทำลายศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของสังคมที่เจริญแล้ว ถึงแม้จะไม่เคลื่อนไหว แต่ถ้ามีดแทงต่อไปก็จะมีรูปร่างเหมือนไม้กางเขน ไม้กางเขนนี้มีความหมายสองนัยในกรณีนี้ คือ ศาสนาคริสต์ และความตาย ซึ่งเป็นคำอุปมาของสุสาน พวกนาซีเป็นพวกก้าวร้าว ฆ่าคน และต่อต้านศาสนาคริสต์
วัตถุประสงค์ของภาพนี้คือปลุกเร้าอารมณ์ชาติ และ กระตุ้นความเกลียดชังต่อนาซีเยอรมัน ทำให้พลเมืองเข้าใจชัดเจนว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ต่อสู้อยู่ไม่ใช่แค่สงครามทางทหาร แต่เป็น สงครามแห่งอุดมการณ์เป็นการโน้มน้าวให้ประชาชนสนับสนุนสงครามทั้งในแนวหน้าและแนวหลัง
🎨 ผู้วาด : โทมัส ฮาร์ต เบนตัน (Thomas Hart Benton) ผลิตในปี 1942
6. “Buy War Bonds”
ภาพลุงแซม Uncle Sam ขี่กลุ่มเมฆ โบกธงชาติ เป็นตัวแทนของ “อเมริกา” ที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และเป็นผู้นำ ฝูงเครื่องบินและทหารแนวหน้า สะท้อนกำลังรบทางอากาศและภาคพื้นดิน บ่งบอกถึงความจำเป็นที่ต้องมีการสนับสนุนจากแนวหลังผ่านการซื้อพันธบัตร ควันและฝุ่นสนามรบ สื่อถึงความดุเดือดของสงคราม และการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
ความหมายและเจตนารมณ์ กระตุ้นความรักชาติและหน้าที่พลเมือง โน้มน้าวให้ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วมกับสงคราม แม้จะไม่ได้ถือปืนในสนามรบ ใช้ “Uncle Sam” เป็นศูนย์รวมแห่งอุดมการณ์เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาติ โปสเตอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมให้ประชาชนชาวอเมริกันซื้อพันธบัตรสงคราม เพื่อระดมทุนให้รัฐบาลใช้ในสงครามกับฝ่ายอักษะ (เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น)
🎨 ผู้วาด : เจมส์ มอนต์โกเมอรี แฟล็กก์ (James Montgomery Flagg) ผลิตในปี 1943
7. “Keep 'Em Flying”
เครื่องบินทิ้งระเบิด B-17 Flying Fortress บินอยู่เหนือธงชาติสหรัฐฯ ที่ปลิวไสวอย่างสง่างาม ข้อความเด่น “KEEP ‘EM FLYING” IS OUR BATTLE CRY!
DO YOUR PART FOR DUTY • HONOR • COUNTRY
เชิญชวนพลเมืองให้มีบทบาทใน “แนวหลัง” เช่น ทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ ดูแลเครื่องบิน บริจาคทรัพยากร หรือสมัครเข้าร่วมกองทัพ สโลแกน "Keep 'Em Flying" กลายเป็นคำขวัญประจำกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในช่วงสงคราม ปลุกเร้าความรักชาติ ผ่านสัญลักษณ์ชาติ (ธง) และเครื่องบิน ซึ่งแสดงถึงเทคโนโลยี ความแข็งแกร่ง และชัยชนะทางอากาศ
1
โฆษณาชวนเชื่อเพื่อกระตุ้น การระดมทรัพยากร และ ขวัญกำลังใจภายในประเทศโปสเตอร์นี้เป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้ง่ายและเข้าใจรวดเร็ว จึงถูกติดไว้ทั่วสหรัฐอเมริกา ทั้งในโรงงาน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
🎨 ผู้วาด : ผลงานของศิลปินเชิงพาณิชย์และนักวาดเทคนิคของกองทัพ ผลิตในปี 1941
8. “When You Ride Alone You Ride with Hitler”
ชายอเมริกันนั่งอยู่คนเดียวในรถ ด้านหลังมี ภาพเงาของ Adolf Hitler ในลักษณะร่วมเดินทางไปด้วย มีข้อความเตือนอย่างหนักแน่นด้วยตัวอักษรหนา “When you ride ALONE you ride with Hitler!” “Join a Car-Sharing Club TODAY!”
เตือนประชาชนว่าการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง (เช่น ขับรถคนเดียว) เท่ากับ “ช่วยเหลือศัตรู” สื่อว่าน้ำมันและยางรถยนต์เป็นทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกใช้เพื่อสนับสนุนแนวหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวเองคนเดียว ใช้ภาพของ "ฮิตเลอร์" เพื่อกระตุ้นความเกลียดชังและความรู้สึกรับผิดชอบของพลเมือง
โปสเตอร์นี้ถูกติดตามสถานที่สาธารณะ เช่น สถานีรถไฟ ปั๊มน้ำมัน และศูนย์ราชการทั่วประเทศ เป็นช่วงที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนอเมริกัน ประหยัดน้ำมัน ยาง และพลังงานทุกชนิด โปสเตอร์นี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าจดจำที่สุดของโฆษณาชวนเชื่อในสหรัฐอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งใช้ อารมณ์ขันผสมความกลัว เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่ช่วยสนับสนุนสงครามอย่างมีประสิทธิภาพ
🎨 ผู้วาด : Weimer Pursell (ไวเมอร์ เพอร์เซลล์) ผลิตในปี 1943
9. “Somebody Talked!”
ชายกำลังจมน้ำ ชี้นิ้วออกมาด้วยสายตาตำหนิ สีพื้นหลังดำสนิท ตัดกับภาพร่างในน้ำและข้อความ “SOMEONE TALKED!” ข้อความกระชับ ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด สื่อถึงน้ำเสียงเร่งด่วนและจริงจัง
ใช้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ต่อต้านการรั่วไหลของข้อมูลทางทหาร (Operational Security – OPSEC) เตือนพลเรือนว่า การพูดโดยไม่ยั้งคิด อาจทำให้ข้อมูลทางทหารรั่วไหลไปถึงศัตรู ส่งผลให้ทหารเสียชีวิต เรือถูกโจมตี และปฏิบัติการล้มเหลวเป็นการปลุกให้ผู้คน ตระหนักถึงผลของคำพูด และความเงียบก็อาจหมายถึงชีวิตของทหารที่ปลอดภัย
ถูกใช้ควบคู่กับโปสเตอร์ “Loose Lips Might Sink Ships” ในแคมเปญต่อต้านข่าวลือและการพูดคุยเรื่องความลับทางทหาร กลายเป็นหนึ่งในภาพโปสเตอร์ที่ แสดงพลังของ "ความเงียบ" และการ ยับยั้งชั่งใจในภาวะสงคราม
🎨 ผู้วาด : Henry Koerner (เฮนรี คอร์เนอร์) ผลิตในปี 1942
10. “He's Watching You”
ภาพเงาของ ใบหน้าทหารนาซี ใส่หมวกเหล็กจ้องเขม็งออกมาจากมุมมืด แววตาคมกริบ และการจัดวางเงาทำให้รู้สึกว่า “ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน เขากำลังมองอยู่” พื้นหลังแบ่งเป็นสีเหลือง-ดำ-น้ำเงิน เพื่อสร้างอารมณ์อึดอัดและน่าหวาดระแวง ข้อความตัวโตสีขาว “HE’S WATCHING YOU” – เขากำลังจับตาคุณอยู่!
เตือนพลเมืองและคนงานในอุตสาหกรรมการทหารว่า ศัตรูกำลังแอบฟังและเฝ้ามองกระตุ้นให้ประชาชน ระมัดระวังการพูด การเขียน การเดินทาง และการแบ่งปันข้อมูลเป็นการสร้าง จิตสำนึกในความมั่นคง (Security Awareness) และ ต่อต้านจารกรรม ตีพิมพ์ในช่วงที่สหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามไม่นานหลังเหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ (ธ.ค. 1941) เป็นยุคที่มีความหวาดระแวงสายลับและผู้ทรยศสูงมาก
โปสเตอร์นี้ปรากฏในโรงงานผลิตอาวุธ โรงเรียน และสถานที่ราชการทั่วประเทศ เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับภาพ "Big Brother is watching you" ในนิยาย 1984 ของ George Orwell ยังคงถูกใช้เป็นต้นแบบของโปสเตอร์เตือนภัยในยุคสงครามเย็นและแคมเปญความปลอดภัยทางไซเบอร์
🎨 ผู้วาด : “Gil” Everett (หรือบางแหล่งอ้างว่าเป็น Glanton Heath) ผลิตในปี 1942
โฆษณา