2 พ.ค. เวลา 06:08 • ปรัชญา
bangkok

โอกาส จังหวะเวลาที่เหมาะสม และความกล้าที่จะก้าวเดิน

เพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือจังหวะเวลาที่เหมาะสมบ้างไหม ผมเองก็มีอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อสัปดาห์นี้ผ่านมานี้เองก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับผม
อยู่ดีๆผมเองก็ได้รับข้อเสนอจากหัวหน้าให้ย้ายไปซัพพอร์ทอีกทีม ก็แอบประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ในขณะที่งานในตำแหน่งเดิมก็ยังดำเนินต่อไป ซึ่งเอาจริงผมเองก็กำลังรู้สึกหมดไฟกับงานที่ทำอยู่พอดีเพราะผมเองก็ทำตำแหน่งนี้มา 4 ปีแล้ว คิดในใจว่า เอ่อ มันคงเป็นจังหวะและโอกาสที่ผมจะได้ทำ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆบ้าง
ลองปรึกษากับหลายคนก็ให้ความเห็นว่าทีมที่ผมเองจะย้ายไปนั้นก็น่าสนใจและอาจจะต่อยอดไปในอนาคตได้อีก เอาหว่ะ ต้องดีแน่ๆ อีกอย่างผมเองก็ได้ย้ายตำแหน่งงานโดยที่ไม่ต้องรู้สึกคุ้นเคืองใจหรือทำให้ใครไม่สบายใจเลย โดยเฉพาะหัวหน้า เพราะผมได้รับข้อเสนอเอง มันดีมากเลยแหละ ถือว่าผมยังสามารถเก็บรักษาคอนเน็กชั่นของทีมเดิมไว้ได้
แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าผมค่อนข้างกังวลกับงานใหม่ กังวลว่าจะทำไม่ได้ งานจะยากไหม เพื่อนร่วมงานจะเป็นยังไง แน่นอนว่าการก้าวออกจากคอมฟอร์ทโนซนเดิมนั้นยากเสมอๆ แต่มันต้องดีแน่ ฮึบๆ
.
วันนี้ก็เลยอยากฝากแนวคิดที่ผมพยายามคิดกับตัวเองเวลาที่ต้องทำอะไรใหม่ๆ และก้าวออกจากเซฟโซนเดิมมาฝากเพื่อนๆ เผื่อทำให้เพื่อนๆที่อ่านนั้นมีกำลังใจมากขึ้น
1. หากอยากได้ผลลัพธ์ใหม่ ก็ต้องหาทำอะไรใหม่ๆ
ในเรื่องของการทำงาน ผมเองก็วนอยู่กับหน้าที่นี้มาสักพัก ก็รู้สึกคุ้นชินจนเรียกว่าเซฟโซนได้แล้ว บ้างครั้งผมก็แอบคิดว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นั้นจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ใหม่และดีกว่าได้ไหม แต่ผมลืมไปว่าเราคงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเดิมมาก หากเรายังคงทำเหมือนเดิม ดังนั้นก็ลองทำอะไรใหม่ๆนี้แหละ เชื่อว่าผลลัพธ์น่าจะต่างจากเดิมแน่
2. ถ้าคุณปฏิเสธโอกาสครั้งนี้คุณจะเสียดาย และคิดกับตัวเองว่าตัดสินใจผิดพลาดไหม
เพราะแน่นอนว่าโอกาสแต่ละครั้งไม่ได้มากันบ่อยๆแน่ ถ้าเราเลือกที่จะไม่รับและปล่อยโอกาสนั้นไปก็อาจจะพลาดผลลัพธ์ที่เจ๊งๆไปก็ได้ ถ้าเห็นว่าโอกาสที่มานั้นดูท้าทายและ มีแนวโน้มไปในทางที่ดีก็ไม่ต้องลังเลแล้วละคับ ตอบตกลงและไปลุยกัน
3. สุดท้ายคือจัดการความกังวลที่จะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเรากำลังจะทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชินเป็นใครก็กังวลเป็นเรื่องธรรมดา
ปกติผมก็จะคิดเผื่อล่วงหน้าไปคร่าวๆ ว่าถ้าผมทำสิ่งนี้ คาดว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นและแย่ที่สุดของการตัดสินใจนั้นจะเป็นอะไร เหมือนเป็นการคิดเผื่อไว้เพื่อให้เราสามารถเข้าใจและรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเคสผมอย่างแย่ที่สุดก็น่าจะโดดตำหนิที่ไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง และวิธีแก้ก็คือ ศึกษาให้มากยิ่งขึ้น เรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น
4. พูดกับตัวเอง “มาสิหว่ะ มันจะสักเท่าไหร่กัน”
อันนี้ดูฮาร์ดคอไปหน่อยแต่สำหรับผม ผมเป็นพวกที่ชอบท้าทายตัวเอง อยากลองทำให้รู้ว่า เออะ เราก็ทำได้นี้กว่า แต่ถ้ามันยากจริงก็ต้องยอมรับแหละนะคับ ขำแห้งเลย
นี่ก็เป็นข้อคิดสี่ข้อที่ผมมักจะคิดเสมอเวลาที่จะเริ่มต้องทำอะไรใหม่ๆ เพื่อเติมพลังใจให้กับตัวเองเวลาจะออกจากคอมฟอร์ทโซนตัวเอง จังหวะและโอกาสจะมาตอนไหนไม่รู้ จงเตรียมตัวไว้นะครับ
เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆทำในสิ่งที่รัก เดินตามทางไปยังสิ่งที่ฝันเติบโตไปพร้อมๆกันกับผมนะครับ
Let’s Grow : โตไปด้วยกัน
โฆษณา