✴️ #จิตสำนึกและความเป็นอมตะ ✴️

โดย ดร. ทอม ชาลโก้, เมาท์เบสต์, ออสเตรเลีย
🔆 จิตสำนึกคืออะไร❓🔆
จิตสำนึกคือระบบการประมวลผลข้อมูล โดย "การประมวลผลข้อมูล" ในที่นี้ หมายถึง การสร้าง การจัดเรียง การตีความ การทำความเข้าใจ การเข้ารหัส การจัดเก็บ การค้นหา การแปลความ การส่งผ่าน การรับ การนำไปใช้ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
ความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกกับคอมพิวเตอร์ซึ่งก็เป็นระบบการประมวลผลข้อมูลคืออะไร❓
จิตสำนึก คือ #ระบบการประมวลผลข้อมูลที่ตระหนักรู้ในตัวเอง
#ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใดที่ตระหนักรู้ในตัวเอง คอมพิวเตอร์ไม่สนใจว่าจะถูกเปิดหรือปิด สำหรับคอมพิวเตอร์แล้ว มันไม่สำคัญว่าจะถูกใช้โดยศิลปินหรืออาชญากร
[การเข้ารหัส (encoding) หมายถึง การแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ (แม่แบบ) ที่สามารถจัดเก็บ ค้นหา และประมวลผลได้ เมื่อคุณพูด คุณ "เข้ารหัส" ความคิดของคุณเป็นประโยคในภาษาของคุณ การเข้ารหัสเกี่ยวข้องกับ "ตัวนำ" ของข้อมูล ความคิดของคุณที่ถูกเข้ารหัสในประโยคสามารถ "ถูกนำ" ไปใช้เป็นคลื่นเสียง เขียนลงบนกระดาษ หรือเก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์]
[ข้อมูล (Information) : คำอธิบายที่ถูกเข้ารหัส ประมวลผล จัดระบบและจัดโครงสร้างของข้อมูลให้เป็นระเบียบ เช่น ความคิด แนวคิด ความหมาย คำอธิบาย ข้อความ ความทรงจำ คำสั่ง การรับรู้ คุณสมบัติ คำอธิบายของความเป็นจริง ฯลฯ ที่พร้อมสำหรับการประมวลผลเพิ่มเติม ข้อมูลคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเอนโทรปี ตรงกันข้ามกับความวุ่นวาย ความสุ่ม และความไม่แน่นอน และให้บริบทสำหรับการตัดสินใจและการกำหนดเป้าหมาย]
...
🔆#บทบาทของข้อมูลในทางชีววิทยา🔆
การส่งผ่านข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่นอย่างน่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต จากเมล็ดแครอท เราไม่สามารถปลูกต้นโอ๊กหรือพืชอื่นใดได้ มีเพียงแครอทเท่านั้นที่สามารถเติบโตจากเมล็ดแครอท
การส่งผ่านข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่นยังเป็นแก่นแท้ของการวิวัฒนาการด้วย สิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่นำสิ่งที่รุ่นก่อน ๆ ได้เรียนรู้ไว้มาประยุกต์ใช้
...
🔆#เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการมีอยู่ของข้อมูล🔆
อะไรคือเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการมีอยู่ของข้อมูล❓ เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการมีอยู่ของข้อมูลคือการเข้ารหัส กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้อมูลไม่สามารถมีอยู่ได้หากไม่ถูกเข้ารหัส
การเข้ารหัสข้อมูลไม่สามารถเป็นแบบสุ่มได้ เนื่องจากข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแบบสุ่มจะไม่สามารถค้นหาได้ ในกระบวนการที่เราเรียกว่าชีวิตนี้ การเข้ารหัสมีความน่าเชื่อถือสูง
...
🔆#ผลที่ตามมา🔆
การเข้ารหัสข้อมูลต้องมีอยู่ก่อนที่สิ่งมีชีวิตใด ๆ จะสามารถสืบพันธุ์ได้ และก่อนที่วิวัฒนาการใด ๆ จะเกิดขึ้น เพียงเพราะการส่งผ่านข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งการสืบพันธุ์และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ตอนนี้เราสามารถแก้ปริศนาที่มีชื่อเสียงได้แล้ว : "อะไรเกิดก่อนกัน ไก่หรือไข่❓" คำตอบที่สมเหตุสมผลก็คือ สิ่งที่มาก่อนคือ #ระบบการเข้ารหัสข้อมูล...
ดังนั้น ก่อนที่ชีวิตจะปรากฏขึ้นในจักรวาล ต้องมีระบบการเข้ารหัสข้อมูลที่เชื่อถือได้อยู่ก่อน จากข้อสรุปสั้น ๆ ที่นำเสนอข้างต้น ดูเหมือนจะชัดเจนว่า
การมีอยู่ของชีวิตและจิตสำนึก
ควรได้รับการพิจารณา
ในบริบทของจักรวาลทั้งหมด
การจำกัดบริบทในทางใดทางหนึ่งสามารถนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดได้เท่านั้น
...
🔆#การเข้ารหัสข้อมูลในจักรวาล🔆
นักวิทยาศาสตร์บนโลกในปัจจุบันตระหนักดีถึงความสามารถอันน่าทึ่งของการประมวลผลข้อมูลควอนตัม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพยายามอย่างเร่งด่วนที่จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า "คอมพิวเตอร์ควอนตัม"
เนื่องจากกระบวนการประมวลผลข้อมูลควอนตัมเป็นความสามารถตามธรรมชาติของจักรวาลตั้งแต่เริ่มต้น จึงเป็นไปได้สูงที่จักรวาลเองก็กำลังใช้มันอยู่
น่าเสียดายที่การประมวลผลข้อมูลควอนตัมพื้นฐานของจักรวาลเองถูกห้ามไม่ให้พิจารณาบนโลกนี้
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 วิทยาศาสตร์บนโลกเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าพื้นฐานของกระบวนการควอนตัมทั้งหมดในจักรวาลคือความวุ่นวาย
ความเชื่อในความวุ่นวายและความสุ่มของกระบวนการ ควอนตัมถูกเริ่มต้นโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนในศตวรรษที่แล้ว ซึ่งไม่สามารถจินตนาการคำอธิบายสำหรับพฤติกรรมที่ "ดูเหมือนสุ่ม" ของอนุภาคพื้นฐานเช่น อิเล็กตรอน
ผลจากการขาดจินตนาการอย่างรุนแรงนี้ หลักการที่เรียกว่า "หลักความไม่แน่นอน" [1] จึงถูกนำมาใช้เป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ทั้งหมดบนโลก
หลักความไม่แน่นอน ในแก่นแท้ของมัน ได้เฉลี่ยร่องรอยทั้งหมดของการประมวลผลข้อมูลควอนตัมของจักรวาลออกอย่างโหดเหี้ยม และประมาณ "ความน่าจะเป็น" ของชุดเหตุการณ์ ควอนตัมที่ถูกเฉลี่ยในระดับท้องถิ่นบางชุด
นักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของหลักความไม่แน่นอนในฐานะวิธีการอธิบายกิจกรรมพื้นฐานของจักรวาลคือ #อัลเบิร์ต_ไอน์สไตน์ ซึ่งยืนยันว่า "พระเจ้าไม่เล่นลูกเต๋า" น่าเสียดายที่เช่นเดียวกับคนรุ่นเดียวกันทั้งหมด #เขาไม่สามารถจินตนาการและเสนอคำอธิบายที่น่าเชื่อถือ #สำหรับพฤติกรรมที่ดูเหมือนสุ่มของอนุภาคพื้นฐานเช่นอิเล็กตรอนได้ ในกรณีที่ไม่มีนักวิจารณ์ที่ชาญฉลาด หลักความไม่แน่นอนจึงได้รับสถานะเป็นหลักคำสอนที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม การประมวลผลข้อมูลในระดับควอนตัมในจักรวาลยังคงดำเนินต่อไปและจะดำเนินต่อไปทุกที่ ไม่ว่าผู้มีอำนาจและผู้ได้รับรางวัลจะเลือกปฏิเสธมันมากแค่ไหนก็ตาม…
...
🔆#จิตสำนึกอยู่ที่ไหน❓🔆
ศาสตราจารย์เพนฟิลด์ (Prof. Penfield) ศัลยแพทย์ระบบประสาทผู้มีชื่อเสียง หลังจากใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการผ่าตัดสมองและการวิจัยอย่างเชี่ยวชาญ ยืนยันว่า [2] แหล่งที่มาของจิตสำนึกมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ที่ใดในสมองอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน ผู้คนจำนวนมากที่รอดชีวิตจากสิ่งที่เรียกว่า "ความตายทางคลินิก" รายงานว่า "เห็น" ร่างกายทางกายภาพของตนเองที่หยุดทำงานพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่แน่นอน "จากระยะไกล" ในขณะที่ยังคงมีสติสัมปชัญญะเต็มที่และสามารถเคลื่อนที่แบบลอยตัวได้อย่างง่ายดาย เดินผ่านกำแพง ไปยังสถานที่ใดก็ตามที่พวกเขาเลือก [3] รายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า ในเงื่อนไขบางประการ จิตสำนึกของมนุษย์สามารถแยกออกจากร่างกายทางกายภาพเพื่อดำรงอยู่และทำงานแยกกันได้ [3][6]
ประวัติศาสตร์ให้คำใบ้แก่เรามากกว่านี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งบนโลกที่เริ่มต้นด้วยประโยคนี้ :
"ผู้ใดเข้าใจสิ่งที่กล่าวไว้ที่นี่
— จะไม่ลิ้มรสความตาย" [4]
หนังสือเล่มนี้เรียกว่า "พระวรสารนักบุญโธมัส"* (The Gospel of Thomas) [4] และ #ผู้เขียนประโยคข้างต้นคือพระเยซู ผู้ซึ่งสาธิตความเป็นอมตะของจิตสำนึกด้วยตนเอง โดยการกลับมามีชีวิตอีกครั้งในวันที่ 3 หลังจากถูกฆ่าและฝังไว้
[*พระวรสารนักบุญโธมัสและหนังสือของโธมัสถูกนำออกจากวรรณกรรมทางศาสนา และสำเนาทั้งหมดที่รู้จักถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ในปี 1945 หม้อดินเผาที่มีสำเนาของหนังสือเหล่านี้ที่ยังอ่านได้ถูกขุดพบในอียิปต์ [4]]
ทุกวันนี้ มีการแปลพระวรสารนักบุญโธมัสหลายฉบับ [11],[13] ทำให้เราสามารถแสวงหาความเข้าใจในการตีความที่กล่าวถึงในประโยคแรกของหนังสือเล่มนี้ได้
⭕ กล่าวโดยสรุป ในคำอุปมาและคำสอนเกือบทั้งหมดของพระเยซู เขาอ้างถึงจิตสำนึก การทำงานของมัน วิวัฒนาการของมัน และสิ่งที่ต้องทำเพื่อพัฒนามันและรักษาการทำงานของมันไว้
...
🔆#วิญญาณ🔆
 
ในทุกอารยธรรมบนโลก ไม่ว่าจะโบราณหรือสมัยใหม่ เรียบง่ายหรือก้าวหน้า ล้วนมีแนวคิดเกี่ยวกับ "วิญญาณ" หรือ "จิตวิญญาณ" มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มันเป็นสิ่งที่ "ชัดเจน" สำหรับทุกอารยธรรมว่า "วิญญาณ" หรือ "จิตวิญญาณ" นั้นเป็นที่ที่จิตสำนึกของเราดำรงอยู่ และยังสามารถดำรงอยู่แยกจากร่างทางกายภาพได้อย่างสมบูรณ์
เนื่องจากอารยธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ต่างกัน บนทวีปที่ต่างกัน และไม่เคยมีการสื่อสารระหว่างกันมาก่อน จึงเป็นไปได้ว่าความเชื่อร่วมกันนี้มีต้นกำเนิดมาจาก "ความเป็นจริง" ที่พวกเขาสังเกตเห็นจากการทำงานของจิตสำนึกของพวกเขาเอง
แล้ววิญญาณของเราประกอบด้วยอะไร❓ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง อะไรคือ "ตัวกลางทางกายภาพ" ที่ทำหน้าที่เป็นระบบประมวลผลข้อมูลควอนตัมในวิญญาณของเรา? ในบรรดาอนุภาคควอนตัมที่อยู่รอบตัวเรา อิเล็กตรอน ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
เหตุผลหลักก็คือ อิเล็กตรอน "อิสระ" ที่ไม่ยึดติดกับอะตอมมีอยู่ทุกที่รอบตัวเราเป็นจำนวนมหาศาล อิเล็กตรอนอิสระเหล่านี้ดึงดูดกันและกัน และดึงดูดกับวัตถุที่มี "มวล" ผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกรวม ๆ ว่า "ไฟฟ้าสถิต" [5][6] ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกันที่ทำให้โลกมีศักย์ไฟฟ้าเป็นลบ
⭕ เธาว์ (Thao) [6] ระบุว่า "วิญญาณ" หรือ "กายทิพย์" ของแต่ละคนประกอบด้วยอิเล็กตรอนจำนวน 4 × 10²¹ ตัว อิเล็กตรอนเหล่านี้อยู่ในสถานะ ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ (quantum entanglement) (เชื่อมโยงและสื่อสารข้อมูลระหว่างกัน) ทั้งภายในตัวเองและกับอิเล็กตรอนทั้งหมดในจักรวาล
นี่หมายความว่า จิตสำนึกของเราเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของระบบประมวลผลข้อมูลของจักรวาล
ระบบประมวลผลข้อมูลระดับควอนตัมของจักรวาลสามารถมอบ การเชื่อมต่อระหว่างจิตสำนึกของเรากับจักรวาล ในขณะเดียวกัน ก็รักษาความเป็นส่วนตัวและความเป็นปัจเจกของความคิดและความรู้สึกที่เราได้รับในชีวิตประจำวัน
...
🔆#ความเป็นอมตะ❓🔆
อย่างที่เรารู้กัน ร่างทางกายภาพของเราแก่ตัวลง ตาย และสลายไป แต่สำหรับอิเล็กตรอนนั้นแทบจะทำลายไม่ได้ แม้แต่การระเบิดของนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถทำลายอิเล็กตรอนได้
ในขณะที่อิเล็กตรอนดูเหมือนจะสามารถดูแลตัวเองให้ดำรงอยู่ได้ "ตลอดไป" (ประมาณ 10²² ปีของโลกเรา [6]) — ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้ในอิเล็กตรอน (ของวิญญาณเรา) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราสามารถโปรแกรมข้อมูลในจิตสำนึกของเราได้ด้วยตัวเอง โดยเลือกว่าจะคิดอะไรและจะหลีกเลี่ยงความคิดใด
หากเราต้องการให้จิตสำนึกของเราเป็นอมตะ เราต้องแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการ "โปรแกรม" จิตสำนึกของเรา [6] เพื่อประโยชน์ของทั้งจักรวาล
เห็นได้ชัดว่าการกระทำหรือวางแผนที่จะกระทำสิ่งใดที่ขัดต่อธรรมชาตินั้นไม่เป็นประโยชน์ แน่นอนว่าการโปรแกรมจิตใจของเราด้วยเรื่องไร้สาระ ความไม่ซื่อสัตย์ และความเท็จไม่ช่วยอะไร และที่ชัดเจนที่สุดคือ การก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน ทำร้ายผู้อื่น หรือขัดขวางวิวัฒนาการทางจิตสำนึกของพวกเขาก็ไม่เป็นประโยชน์เช่นกัน★
[★ถ้าคุณเข้าใจความจริงสูงสุดที่ว่า พวกเราทุกคนคือหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นแล้วจึง "มีเราเพียงหนึ่งเดียว" การที่คุณกระทำสิ่งใดๆกับผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยความคิด คำพูด และ การกระทำ มันก็เหมือนกับการทำสิ่งเหล่านั้นกับตัวของคุณเอง —ผู้แปล]
...
🔆#การเวียนว่ายตายเกิด❓🔆
ทำไมบางคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ในขณะที่บางคนเกิดมาในความทุกข์ทรมานและความโชคร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้โดยที่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด❓
⭕ เธาว์ (Thao) [6] อธิบายไว้ดังนี้ :
"หากคุณทำผิด คุณจะต้องชดใช้
—ไม่ว่าจะในทันที ในอีกสิบปี หรือในอีกพันปี
ไม่ว่ายังไงความผิดพลาดก็ต้องถูกชดใช้"[6]
หลายอารยธรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษย์บนโลกยอมรับการเวียนว่ายตายเกิด (reincarnation) ซึ่งเป็นหนทางในการพัฒนาจิตสำนึกต่อไปผ่านชีวิตหลายชีวิตในร่างกายที่ต่างกัน
ในทางปฏิบัติ นี่หมายความว่า ถ้าเราทำให้ใครก็ตามต้องทนทุกข์ ไม่ว่าจะทางร่างกาย อารมณ์ หรือจิตใจ — ในที่สุดเราจะต้องทนทุกข์ในแบบเดียวกัน จนกว่าเราจะเข้าใจวิธีการอยู่ร่วมกันในจักรวาลอย่างกลมกลืน ไม่มีทางหนีจากความเป็นจริงเชิงควอนตัมของจักรวาลได้
"เพราะไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นไว้
จะไม่ถูกเปิดเผย..." [4]
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าเราจะเข้าถึงความสุขอันสมบูรณ์ได้เร็วแค่ไหน หรือเราจะต้องทนทุกข์ ฝันร้าย และโชคร้ายไปอีกกี่ชาติ
"มนุษย์มามีร่างกายก็เพียงเพื่อ
พัฒนาทางจิตวิญญาณเท่านั้น..."[6]
...
🔆#อิเล็กโทรโฟโทนิกส์🔆
เราสามารถตรวจสอบการมีอยู่ของ "วิญญาณ" รอบร่างกายทางกายภาพของเราได้หรือไม่❓
ในความเป็นจริง การมีอยู่ของอิเล็กตรอนอิสระรอบตัวเรานั้นเป็นที่รู้จักกันดีในปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ไฟฟ้าสถิต" บริเวณปลายนิ้วของเราสามารถทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนได้ถ้าไม่มีการป้องกันเป็นพิเศษ
คำถามก็คือ อิเล็กตรอนอิสระเหล่านี้ที่อยู่รอบตัวเรานั้น จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของร่างกายและจิตใจของเราหรือไม่❓
เราทราบดีว่าอิเล็กตรอนสามารถ ดูดซับและปล่อยโฟตอนได้ — และแสงเรือง (electro-photonic glow) นี้เองก็มีข้อมูลแฝงอยู่
อิเล็กโทรโฟโทนิกส์ (Electrophotonics) หรือ GDV (Bio-Electrography) เป็นวิธีการที่ใช้ในการกระตุ้น ขยาย และบันทึกแสงเรืองรอบส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ และตีความข้อมูลที่แสงนี้แสดงผล สิ่งที่ค้นพบก็คือความแม่นยำของการวินิจฉัยโรคผ่านแสงเรืองอิเล็กโทรโฟโทนิกส์ได้รับการยืนยันทางคลินิกว่ามีความแม่นยำมากกว่า 95% [7]
ปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ต่อไปนี้ดูเหมือนจะยืนยันว่าข้อมูลในแสงอิเล็กโทรโฟโตนิกรอบร่างกายมนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากจิตสำนึก ไม่ใช่จากร่างกายทางกายภาพ :
1.) ข้อมูลการวินิจฉัยจากแสงเรืองรอบร่างกายมนุษย์ "หายไป" หลังการตายทางคลินิก* แม้ว่าร่างกายที่ตายแล้วยังมีหลักฐานทางกายภาพของโรคหรือการบาดเจ็บอยู่ก็ตาม (*ข้อมูลนี้บ่งชี้ประมาณว่ากายทิพย์ไม่อยู่ในร่างทางกายภาพแล้ว อะไรประมาณนั้นครับ —ผู้แปล)
2.) การกลัวว่าจะเป็นโรคบางอย่างแสดงสัญญาณในแสงเรืองรอบร่างกายมนุษย์ แทบไม่ต่างจากโรคที่เกิดขึ้นจริง [8]
3.) ในกระบวนการตัดสินใจ แสงเรืองรอบร่างกายแสดงการเปลี่ยนแปลงก่อนที่สมองจะเกิดคลื่นไฟฟ้า
...
🔆#แสงหลังความตาย🔆
การศึกษาจิตสำนึกหลังการตายของร่างกายด้วยอิเล็กโทรโฟโทนิกส์
การวิจัยของ ดร.คอรอตคอฟ (Korotkov) [9] ด้วยเทคนิคอิเล็กโทรโฟโทนิกส์ (GDV) เผยปรากฏการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นหลังความตายทางคลินิก โดยพบว่า :
1.) มีการเชื่อมโยงที่สามารถระบุได้ระหว่างร่างกายที่ตายแล้วกับกิจกรรมอิเล็กโทรโฟโตนิกที่เชื่อว่ามาจากจิตสำนึก ซึ่งยังคงอยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังการตายทางคลินิกของร่างกายทางกายภาพ
ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระเยซูทรงคืนชีพในวันที่ 3 (ภายใน 72 ชั่วโมง) หลังจากถูกสังหาร
ในทางนิติเวชศาสตร์ นี่หมายความว่าช่วงเวลาของการตายทางคลินิกสามารถประมาณการได้โดยการสังเกตแสงอิเล็กโทรโฟโตนิกรอบศพ
2.) สาเหตุการตายอาจสามารถระบุได้จากการสังเกตแสงอิเล็กโทรโฟโตนิกรอบร่างมนุษย์ที่เสียชีวิต ซึ่งปรากฏอยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมงหลังความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นการตายจากอุบัติเหตุ การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย หรือโรคภัยไข้เจ็บ
3.) การฆ่าตัวตายก่อให้เกิดกิจกรรมอิเล็กโทรโฟโตนิกที่ชัดเจนและแตกต่างอย่างเด่นชัดที่สุดรอบร่างมนุษย์ที่เสียชีวิต ราวกับว่าผู้ตายได้ตระหนักถึง ความผิดพลาดอันมหันต์ของตนเอง และ พยายามดิ้นรนที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจรู้วิธีที่จะทำได้
...
🔆#จุดมุ่งหมายของจักรวาล🔆
ระบบประมวลผลข้อมูลระดับควอนตัมของจักรวาลตระหนักรู้ในตัวเองได้หรือไม่❓
หากคำตอบคือ "ใช่" นั่นหมายความว่า จักรวาลทั้งหมดมีจิตสำนึก และก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด [6]...
ผู้สร้างระบบประมวลผลข้อมูลควอนตัมนี้ ถูกเรียกขานบนโลกด้วยนามต่างๆ เช่น :
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ [4]
- พระบิดาผู้ทรงชีวิต [4]
- จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ [6]
- ปัญญาอันยิ่งใหญ่ [10]
- พระผู้สร้าง หรือ พระเจ้า
ถ้าจักรวาลทำงานอย่างมีสติสัมปชัญญะ
ถ้างั้นจุดมุ่งหมายของการมีอยู่ของมันคืออะไร❓
หลักฐานจากเอกสารอ้างอิง [4][6][8][10] ชี้ไปที่แนวคิดเดียวกัน : นั่นคือ
★★#วิวัฒนาการของจิตสำนึกคือเป้าหมายอันสูงสุด★★
...
🔅#ข้อสรุป🔅
ความตายของร่างกายไม่ใช่ภัยคุกคามหลัก เพราะหากจิตสำนึกของเราได้รับการพัฒนามากพอ
★★มันก็สามารถบรรลุความเป็นอมตะได้★★
ภัยที่แท้จริงอยู่ที่ #วิธีการใช้ชีวิตและการโปรแกรมจิตสำนึกของเรา…

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา