11 พ.ค. เวลา 03:54 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สิงคโปร์

มองโปร์ ไทย เเละ โลก

การเลือกตั้งของสิงคโปร์จบลงไปในวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของพรรครัฐบาลอย่าง People’s Action Party (PAP) ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น กวาดไป 87 จาก 97 เก้าอี้ในรัฐสภาสิงคโปร์
ดังนั้น ผู้ที่จะคุมบังเหียนนโยบายต่างประเทศของสิงคโปร์ก็จะยังคงเป็น ลอว์เรนซ์ หว่อง โดยวันนี้ผมก็จะมาแชร์เป้าหมายและความคาดหวังเรื่องความสัมพันธ์ต่างประเทศของสิงคโปร์ในวันที่โลกไม่แน่นอน
เมื่อเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในตัวแทนโรงเรียนไปร่วมฟังการปราศรัย S.Rajaratnam 2025 ที่เป็นการโชว์วิสัยทัศน์ของผู้นำสิงคโปร์คนใหม่อย่าง ลอว์เรนซ์ หว่อง เป็นครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชน
นี่เป็นบทความสั้น ๆ ต้อนรับเดือนพฤษภาคม ที่จะเล่าเกี่ยวกับ 1 + 4 ประเด็นที่ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อน ๆ ชาวไทย เผื่ออะไรที่เราจะสามารถเรียนรู้เป้าหมายของสิงคโปร์และนำมาพิจารณาเพื่อที่จะปรับใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศเราได้บ้าง
การเปิดสุนทรพจน์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่เริ่มต้นด้วยการที่ไม่มีอะไรเลย แต่เราก็ยังมาถึงจุดนี้ได้เหนือความคาดหมายทุกประการ ในวันที่โลกเจอปัญหาใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม เพราะประเทศเราพัฒนาพอที่จะต่อสู้ต่ออุปสรรคครั้งใหม่ในคราวนี้ด้วยการสร้างใหม่ทีละขั้น
สิงคโปร์ได้ก่อรูปตัวตนที่มีรากฐานจากความเป็นจริง การพึ่งพาตนเอง และความอยู่รอด วันนี้สิงคโปร์จึงมองว่าตนเองคือพลังเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามเย็นที่ภูมิภาคเคยเผชิญภัยคุกคามจากความตึงเครียดทางอุดมการณ์
นี่คือส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นสุนทรพจน์ของ ลอว์เรนซ์ หว่อง ในการเรียกขวัญกำลังใจประชาชนเพื่อให้พวกเขามั่นใจว่ารัฐบาลสิงคโปร์มีความพร้อมในการเผชิญอุปสรรคในครั้งนี้
ก็หวังว่าทางรัฐบาลไทยจะสามารถสร้างผลงานและก็สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในวันที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มรู้สึกไม่เชื่อมั่นในความสามารถของรัฐไทยในการจัดการกับปัญหาในครั้งนี้
โอเคแล้วลองมาดูประเด็นที่จะพอเป็นประโยชน์ต่อเมืองไทยเราบ้าง
1. ไม่เลือกข้าง แต่เข้าใจทั้งสองข้าง
ท่านนายกหว่องเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเหตุผลเเละเจตนารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายทางเศรษฐกิจของทั้งจีนเเละสหรัฐในช่วงเวลาที่ผ่านมา โชว์ให้เห็นว่าสิงค์โปร์จะไม่เลือกข้างเเละมีความเห็นใจต่อทั้งสองฝ่าย
โดยเริ่มจากสหรัฐฯในฐานะผู้นำโลกในปัจจุบันทํากำลังลดบทบาทของตนเองลง ปัญหาภายในเช่น การว่างงาน การชะงักของค่าจ้าง และความเชื่อว่าการค้าเสรีเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นมากกว่าชาวอเมริกัน พร้อมกับความล้มเหลวในอัฟกานิสถานและอิหร่าน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทําให้สหรัฐเริ่มถอยบทบาทตัวเองในเวทีโลกเพื่อหันกลับมาสนใจปัญหาภายใน นำไปสู่สุญญากาศแห่งอำนาจในการเมืองโลกที่นับวันยิ่งมากขึ้นไปทุกที
ส่วนจีนซึ่งเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ ประเทศจีนมีความปราถนาเเรงกล้าที่จะก้าวข้ามศตวรรษแห่งความอัปยศอดสูและนําเเดนมังกรกลับสู่ตำแหน่งอันชอบธรรมบนเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างไม่ต้องการเปิดฉากความขัดแย้งตรงๆ โดยสงครามยูเครนก็เป็นเครื่องยํ้าเตือนชั้นดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในยุโรปวันนี้ อาจคือพรุ่งนี้ของเอเชียตะวันออกหากสงครามเกิดขึ้น
นายกหว่องกล่าวว่าการถอยของสหรัฐฯ ผนวกกับการไร้ศักยภาพของจีนในการขึ้นมาแทน ก่อให้เกิด “การเปลี่ยนผ่านที่วุ่นวาย” หรือ “Messy Transition” ทําให้ประเทศต่างๆต้องเริ่มออกแบบนโยบายใหม่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่ยุโรปลดการพึ่งพาทางทหารต่อสหรัฐฯและเริ่มเพิ่มงบประมาณกลาโหมของตนเอง
ประเทศไทยเองก็ต้องคิดว่าเราจะต้องวางตัวยังไงในฐานะที่เราก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่มีสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองฝ่าย เราเป็นพันธมิตรที่เก่าเเก่ที่สุดของสหรัฐในภูมิภาคเเละก็ยังเป็นประเทศที่ก็ยังต้องพึ่งการค้าขายกับจีน การมีจุดยืนที่เป็นกลางเเละมีความเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองมหาอํานาจย่อมเป็นประโยชน์เเก่เราไม่มากก็น้อย
2. เชื่อมั่นในโลกเปิด ในวันที่โลกแยกตัว
ในโลกที่ความเป็นเอกภาพกำลังแตกร้าว สิงคโปร์เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการสร้างสะพานเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจแทนที่การใช้กำแพงกีดกันภาษี
แม้สิงคโปร์จะเป็นเกาะ แต่ไม่อาจมีวิธีคิดแบบเกาะ
เราอาจควบคุมกระแสน้ำไม่ได้ แต่เราควบคุมทิศทางเรือได้
นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง
คำพูดนี้เน้นย้ำว่าสิงคโปร์ชี้ว่าทุกประเทศต้องเปิดรับความร่วมมือ สิงคโปร์จึงสนับสนุนความเปิดกว้าง การมีส่วนร่วม และบทบาทเชิงรุกในการทูตในภูมิภาคต่างจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อที่ประเทศเขาจะได้รอดจากพายุลูกนี้
นายกหว่องต้องการที่จะให้สิงคโปร์เปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาที่พวกเขายังไม่ได้สำรวจมากนัก ผมเองก็อยากให้ประเทศไทยและคนไทยรุ่นใหม่ตระหนักว่าเรามีข้อได้เปรียบเพราะเราเปิดตลาดเหล่านี้มาก่อนสิงคโปร์นานแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องเอาสินค้าไทยไปบุกตลาดโลกที่นอกเหนือจากอเมริกาและจีน ยิ่งเรากระจายฐานลูกค้าไปได้เท่าไหร่ ความเสี่ยงย่อมน้อยลงและเศรษฐกิจไทยย่อมมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น
ท่ามกลางพายุการเมืองโลกที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องจับทิศทางโลกให้แม่นยำ เราต้องเดินหน้าความร่วมมือกับอาเซียน รักษาความยืดหยุ่นในความสัมพันธ์ระหว่างขั้วอำนาจ และต้องไม่ตกกับดักให้เลือกข้าง หากทำได้ไทยจะไม่เพียงแค่ “รอด” แต่จะ “รุ่ง” ไปพร้อมกับภูมิภาคในวิกฤตครั้งนี้
3. ไตรเลมมาแห่งเศรษฐกิจโลกยุคใหม่: เส้นทางที่ต้องเลือก
ในปัจจุบัน นายกหว่องกล่าวว่าทุกประเทศสามารถเลือกได้แค่ 2 อย่างจากไตรเลมมาซึ่งไม่มีประเทศใดที่สามารถรักษาทั้ง 3 ด้านนี้ได้พร้อมกัน
ในอดีต เมื่อโลกไร้ความตึงเครียด การค้าเสรีสามารถเติบโตได้ แต่วันนี้ เมื่อความตึงเครียดระหว่างประเทศดันพุ่งสูงขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ
นี่ส่งผลให้รัฐต่าง ๆ จำเป็นต้องหันมาเลือกความมั่นคงและหันหลังให้กับการค้าเสรีที่มาจากระบบเศรษฐกิจแห่งการพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ส่งผลให้เกิดการทบทวนข้อตกลงการค้า และบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มชะลอแผนที่จะมาลงทุนในการผลิตในประเทศต่าง ๆ
ไทยต้องหาจุดสมดุลทางเศรษฐกิจในไตรเลมมานี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะมองความกินดีอยู่ดีของประชาชนเป็นที่ตั้ง
4. อาเซียนรวมกันเราอยู๋เเยกหมู่เราตาย
มาถึงหัวข้อสุดท้ายกันแล้วนั่นก็คือการกลับมาพูดถึงบทบาทที่สำคัญของอาเซียน
สิงคโปร์มองว่า ความมั่นคงในเอเชียตะวันออกกำลังสั่นคลอน ดังนั้นการกลับมาเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
อาเซียนในวันนี้คือเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของโลก การรวมตัวกันในระดับภูมิภาคสำคัญกว่าที่เคยเป็นมา สิงคโปร์จึงขอให้อาเซียนเร่งสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น เสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล การค้าข้ามพรมแดน และความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมขับเคลื่อนข้อตกลงอย่าง ASEAN–EU FTA และเปิดโอกาสให้มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ มี “ส่วนได้เสีย” ในความสำเร็จของภูมิภาคเรา เพื่อที่ภูมิภาคเราจะสามารถร่วมมือกับทั้งสองมหาอำนาจโดยไม่โดนบังคับให้เลือกข้าง
นายกหว่องยังย้ำอีกว่าปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ เช่น การพัฒนา AI การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็นเหล่านี้ต้องการความร่วมมือจากทุกประเทศ แม้โลกจะเต็มไปด้วยการแข่งขันและความระแวง แต่ความพยายามเพื่อหาฉันทามติผ่านการทูตอย่างสันติก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอยู่ดี
ท่าทีที่ชัดเจนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่นำโดย ลอว์เรนซ์ หว่อง ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าประเทศมีความจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ และเลือกพรรค PAP กลับเข้าสภาในฐานะรัฐบาลอย่างท่วมท้น
ตอนนี้เราคงได้แต่จับตามองและรอดูว่านโยบายสิงคโปร์ที่จะยังคงเดินตามกฎเกณฑ์โลกเก่าในวันที่เจ้าโลกเก่าอย่างสหรัฐเริ่มถอยหลังจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกัน รัฐบาลและผู้ประกอบการไทยก็คงต้องปรับตัวอย่างหนัก และหาคู่ค้าใหม่แทนสหรัฐและจีนเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และท้ายที่สุด คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราก็ควรเปิดกว้าง ลองเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ เผื่อว่าสักวันหนึ่งเราสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ไปเปิดประตูการค้าของประเทศไทยให้กว้างขึ้น
โณ่สนโณ่เเคร์ รายงาน
11 พฤษภาคม 2025
โฆษณา