11 พ.ค. เวลา 07:04 • สุขภาพ

เมื่อโลกภายนอกทำให้น้ำหนักเกิน: โรคอ้วนในเด็กที่มีภาวะออทิซึมกับวงจรอาหารปรุงแต่งขั้นสูง (UPFs)

แบล็คกราวของผมคือครูการศึกษาพิเศษที่สอนนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม ทำให้ผมได้พอเจอนักเรียนกลุ่มนี้หลายคน ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีน้ำหนักมากหากเทียบกับนักเรียนทั่วไป (จากการสังเกตของผม) ผสมกับ รายงาน Prevalence  of  Obesity in Youth  with  Autism  Spectrum  Disorder and Potential Unique Risk Factors ที่สะท้อนปัญหาน้ำหนักเกินในเด็กออทิซึมได้อย่างชัดเจน  รายงานี้พบว่าพวกเขามีแนวโน้มอ้วนหรือเสี่ยงอ้วนสูงกว่าเด็กพัฒนาการปกติราว 40 %
ผมสนใจว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร เพราะหากจะให้อธิบายสั้น ๆ ปัญหาของเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ เกี่ยวกับการกินคือ พวกเขา "เลือกกิน" อันมาจากการประมวลผลประสาทสัมผัสอันไวเป็นพิเศษ เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ มักรับรส กลิ่น และเนื้อสัมผัสได้แคบ จึงวนเวียนกับอาหารไม่กี่ชนิดซึ่งมักเป็นขนมปังขาว นักเก็ต ไก่ชุบเกล็ด มันฝรั่งทอด หรือขนมบรรจุซอง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาหารแปรรูปทั้งสิ้น
ผสมเชื่อมโยงกับการที่สัญชาตญาณของมนุษย์ที่ถูกตั้งโปรแกรมทางวิวัฒนาการให้ “ตาโต” เมื่อพบรสหวาน มัน และเค็ม สัญญาณของพลังงาน แร่ธาตุ และไขมันที่หาได้ยากในธรรมชาติดึกดำบรรพ์ ชานมไข่มุกที่อัดน้ำตาลไซรัป ไข่มุกแป้งเหนียว และครีมเทียมจึงยิงตรงเข้าศูนย์รางวัลสมอง ซ้ำเติมด้วยเนื้อสัมผัสหนึบหนับที่ให้ประสบการณ์เคี้ยวเคลิบเคลิ้ม
ทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อคลิกปุ่มโดพามีนเร็วและแรงกว่าผลไม้หรืออาหารธรรมชาติหลายเท่า เมื่อวงจรรางวัลถูกกระตุ้นซ้ำ ร่างกายจึงเข้าใจผิดว่ากำลังเติมสารอาหารจำเป็น ทั้งที่แท้จริงได้รับเพียงพลังงานว่างเปล่า สัญชาตญาณที่เคยช่วยบรรพบุรุษเอาชีวิตรอดจึงกลายเป็นจุดอ่อนในยุคอาหารปรุงแต่งขั้นสูง ทำให้ผู้คน โดยเฉพาะเด็กและผู้ที่ไวต่อประสาทสัมผัสอย่างเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ วนลูปอยากซ้ำได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อภาวะอินซูลินเกินกับน้ำหนักเกินโดยไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นการอธิบายที่สมเหตุสมผลแต่ผมก็ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงวนอยู่ที่อาหารแปรรูปมากกว่าอาหารทั่วไปที่มีรสชาติหวาน มัน เค็ม จนกระทั่งผมอ่านหนังสือ Ultra‑Processed People ที่เขียนโดย คริส แวน ทูลเลเคน (Chris van Tulleken) เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จัก Ultra‑Processed food (UPF)
หากจะอธิบายสั้น ๆ มันหมายถึง อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมากเป็นพิเศษ หรือหลายขั้นตอน (ในบทความนี่ผมจะขอใช้คำแปลภาษาไทยว่า อาหารแปรรูปขั้นสูง) เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาทางสุขภาพมากกว่า 30 โรครวมไปถึงโรคอ้วนที่ผมจะเน้นเป็นพิเศษในบทความนี้
ตามมุมมองของ คริส ความอันตรายของอาหารแปรรูปขั้นสูงอยู่ที่การออกแบบรส กลิ่น เนื้อสัมผัสให้สกัดเอา หัวใจของความหวาน มัน เค็มมาอัดรวมกันในคำเดียว น้ำตาลทรงพลัง ไขมันกลั่นบริสุทธิ์ เกลือเม็ดละเอียด แล้วเสริมสารแต่งกลิ่น สี (เช่น Emulsifier) ให้เคี้ยวง่าย กลืนลื่น และละลายเร็ว พอถึงกระเพาะโมเลกุลเหล่านี้แตกตัวเป็นกลูโคสฉับพลัน อินซูลินจึงพุ่งขึ้นแทบจะพร้อมกับโดพามีนที่สมองปล่อยตอบรับคุณค่ารางวัล เป็น “ช็อตคู่” ที่อาหารธรรมชาติทำได้ยากเพราะมีเส้นใยและน้ำช่วยหน่วงการดูดซึม
วัฏจักรจึงหมุนซ้ำรุนแรง อินซูลินสูงกักไขมันไว้ในเซลล์  ลือดกลูโคสตกเร็ว ส่งผลให้สมองตีความว่ายังหิว ไปจนถึงโดพามีนบันทึกว่าคำตอบคือขนมซองเดิม เด็กที่มีภวะออทิซึมฯ ซึ่งไวต่อประสาทสัมผัสเป็นทุนเดิมยิ่งยึดติดเมนูเหล่านี้ง่าย ผลคือต้องเผชิญทั้งพฤติกรรมกินซ้ำจำเจและภาระเมแทบอลิซึมที่ก่อโรคอ้วนเร็วกว่าปกติ การจัดการน้ำหนักจึงไม่ใช่แค่ตัดแคลอรี แต่ต้องตัด “สูตรกระตุ้นอินซูลิน โดพามีน” ออกจากรอบวันของพวกเขาให้ได้เสียก่อน
ในมุมมองของ เจสัน ฟุง ผู้เขียนหนังสือ The Obesity Code เขาอธิบายว่าโรคอ้วนไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากการกินเกินใช้พลังงานน้อย (แคลอรีเข้าออก) เพียงอย่างเดียว แต่คือ "ปัญหาอินซูลินเกินเรื้อรัง" กล่าวคือทุกครั้งที่เรากินแป้งขัดสีหรือน้ำตาล อินซูลินจะหลั่งเพื่อนำกลูโคสเข้ากล้ามเนื้อ แต่ถ้ายิ่งอินซูลินพุ่งสูงบ่อยร่างกายจะเริ่มดื้ออินซูลิน เซลล์จึงรับน้ำตาลได้ยากขึ้น เลือดต้องปล่อยอินซูลินเพิ่มวนลูปไม่รู้จบ อินซูลินสูงต่อเนื่องทำสองอย่างพร้อมกัน จนกลายเป็นการสั่งสะสมของไขมัน
ส่งผลให้จุดรับรู้น้ำหนักในสมองขยับไปสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อบุคคลน้ำหนักเกินพยายามลดแคลอรี อินซูลินจะยังคงสูงอยู่ เซลล์จึงส่งสัญญาณหิวและเผาผลาญช้าลง ทำให้ลดน้ำหนักไม่ได้เสียที  เมื่อนำเอาการศึกษาของเกี่ยวกับอาหารแปรรูปขั้นสูง (UPFs) ของ คริส แวน ทูลเลเคน มาวิเคราะห์ร่วมทำให้พบว่า การลดความจะยิ่งทวีคูณความยากเข้าไปอีก
เนื่องจากอาหารแปรรูปขั้นสูงถูกออกแบบให้หวาน มัน เค็มจัด กระตุ้นโดพามีนรวดเร็วและแตกตัวเป็นกลูโคสฉับพลัน จึงทำให้ระดับอินซูลินพุ่งสูงซ้ำ ๆ ยิ่งตอกย้ำจุดรับรู้น้ำหนักในสมองขยับไปสูงขึ้นไปอีก เมื่อคนพยายามลดแคลอรีด้วยอาหารเดิม ๆ ที่ยังเต็มไปด้วย UPF ร่างกายจะเผชิญสัญญาณหิวรุนแรงกว่าเดิมแต่ยังไม่สามารถสลายไขมันเก่ามาใช้ ทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลวและเกิด “โยโย่” ในที่สุด
ทางออกของปัญหานี้จึงเป็นการ "ลดอินซูลิน" ผ่านอาหารคาร์บต่ำ ลดน้ำตาล ลดอาหารแปรรูปขั้นสูง และอดอาหารเป็นช่วง เพื่อรีเซตฮอร์โมนให้ร่างกายกลับมาดึงไขมันสะสมมาใช้ ความอยาก UPF ก็จะร่วงตาม แล้วน้ำหนักจะลดเองโดยไม่ต้องนับแคลอรีแบบทรมานใจ อย่างไรก็ตามการรีเซตอินซูลินตามแนว เจสัน ฟุง จะได้ผลจริงต่อเมื่อควบคู่กับการตัด UPF ออกจากรอบวัน เพื่อตัดต้นตอสัญญาณอินซูลินเกินและเปิดทางให้สมองเลื่อนจุดรับรู้ให้เปลี่ยนแปลงกลับมาในจุดที่สมดุลอีกครั้งหนึ่ง
โลกภายนอกทำให้เด็กที่มีาภาวะออทิซึมฯ น้ำหนักเกินได้อย่างไร
ถ้าบทความจบลงแค่นี้ผู้อ่านก็คงเห็นผลกระทบของอาหารแปรรูปขั้นสูงที่ส่งผลต่อโรคอ้วนเรียบร้อยแล้ว และก็คงรู้แนวทางการแก้ไขปัญหานี้ เพียงแค่จัดการอาหารที่รับประทานให้เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ รวมไปถึงตัวเราเองก็เรียบร้อยแล้ว ทว่าโลกของเรามันไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ที่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นวัฒนธรรมทางสังคมที่เคลื่อนที่ตามไป และมีทิศทางอันน่าเป็นห่วง
ในหนังสือ The Myth of Normal  ผู้เขียน ดร. กาบอร์ มาเต ผู้เชี่ยวชาญด้านความเครียด การเสพติด และบาดแผลในวัยเด็ก อธิบายว่าเราอาศัยอยู่ใน “วัฒนธรรมเป็นพิษ” เป็นสังคมบริโภคที่ยกย่องประสิทธิภาพเกินมนุษย์ แข่งขันตลอดเวลา และหล่อเลี้ยงความโดดเดี่ยวผ่านหน้าจอ ซึ่งกระตุ้นแกนความเครียดสมอง ต่อมหมวกไตให้คอร์ติซอลสูงเรื้อรัง จนอารมณ์เปราะบางและวงจรโดพามีนโหยรางวัลอันรวดเร็วตลอดวัน
ระบบตลาดจึงใช้ช่องโหว่นี้โหมโฆษณาอาหารปรุงแต่งขั้นสูงที่มีรสหวาน มัน เค็มในราคาถูกและเข้าถึงง่าย ทำให้ผู้คนเลือกรับประทานตามแรงกระตุ้นแทนสัญญาณภายในร่างกาย ยิ่งเครียด ยิ่งไขว่คว้าของหวาน ไขมัน และคาเฟอีนเพื่อกลบความรู้สึกพร่อง จนเกิดวงจรโภชนาการบกพร่อง ส่งผลให้เมตะบอลิซึมพังตามไปแบบทวีคูณ
ด้วยระบบอันเป็นพิษดังกล่าว แม้เราจะพยายามลดอาหารปรุงแต่งขั้นสูง ก็ตาม สำหรับครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ ภาระนี้ยิ่งทวีคูณเข้าไปใหญ่ ทั้งปัญหาทางพฤติกรรมและประสาทสัมผัสที่ทำให้พวกเขาวนเวียนกับอาหารไม่กี่ชนิด รวมไปถึงโปรแกรมบำบัดหลายรูปแบบ การบ้านหนัก และคิวพบแพทย์ที่ต้องลัดเลาะเมืองซึ่งออกแบบให้ ขับรถ จอด รอกินจานด่วน มากกว่าเดินหรือปั่นจักรยาน
ผลคือผู้ปกครองไม่มีเวลาหุงหาอาหารสด ทุกสัญญาณเครียด เร่งรีบล้วนผลักเด็กเข้าใกล้ขนมบรรจุซองที่ทั้งถูก หวาน และให้สัมผัสคงที่
ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับงานภาคสนามในรัฐแคลิฟอร์เนีย (Wilson  et  al., 2022) ที่พบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ ในย่าน “Food‑desert” มีค่า BMI สูงกว่าเพื่อนต่างพื้นที่เฉลี่ย 1.3 หน่วย ต่อให้ครอบครัวได้รับคำแนะนำโภชนาการเดียวกัน  สิ่งนี้สะท้อนจนชัดเจนว่าการพยายามหยุดรับประทานอาหารปรุงแต่งขั้นสูง  จะสะดุดถ้าโครงสร้างเมืองยังขวางการเข้าถึงอาหารสดและกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหว
ออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ
การจะแก้สมการนี้จะต้องปรับตั้งแต่ระดับสิ่งแวดล้อม โดยเทศบาลอาจกำหนดเขตตลาดสด อาหารจานด่วนที่ไม่ปรุงแต่งขั้นสูง ที่เดินถึงภายในรัศมี 800 เมตรจากโรงพยาบาลหรือศูนย์บำบัดเด็กที่มีความต้องการพิเศษ รวมไปถึงเปิดบูทผักผลไม้ราคาส่งสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งมีโครงการนำร่องในโตรอนโตที่ลดอัตราซื้อขนมบรรจุซองในกลุ่มผู้ปกครองเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ  ได้ 22 % ภายในสามเดือน
โรงเรียนและคลินิกก็สามารถควบคุมเวลาเรียนหรือบำบัดให้อยู่ในกรอบ “90 นาที โดยมีพัก 15 นาที” เพื่อให้เด็กฯ ได้กระตุ้นประสาทสัมผัสอื่น เช่น เดินเท้าเปล่าบนหญ้า สัมผัสเม็ดทราย ยืนบนลูกบอลยักษ์ กระโดดสปริงบอร์ด หรือกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ช่วยสลายวงจรคอร์ติซอลก่อนจะไปจบลงที่โดนัทหลังเลิกเรียน
ผู้กำหนดนโยบายอาจจำกัดการโฆษณาอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งขั้นสูงในช่วงรายการเด็ก และจูงใจร้านค้ารอบโรงเรียนลดราคาอาหารไม่ปรุงแต่ง (เช่น นมจืด ผลไม้ตัดพร้อมกิน) เมื่อลดสิ่งเร้าที่แฝงไปพร้อมสร้างทางเลือกคลายเครียดแบบไม่ใช่อาหาร วงจรเครียด  โดพามีน อินซูลินสูง จึงจะค่อย ๆ ถูกตัดตอน ทำให้สูตร ลดอาหารปรุงแต่งขั้นสูง + รีเซตอินซูลิน ที่บูรณาการจากหนังสือ The Obesity Code และ Ultra‑Processed People มีพื้นที่ทำงานจริง ไม่ใช่เพียงทฤษฎีบนหน้ากระดาษ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากในโลกทุนนิยม แต่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หากเราพยายามมากพอทั้งในระดับปัจเจก สังคม ไปจนถึงระดับชาติ อีกทั้งการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพจะต้องจัดการทั้งตนเองและสภาพแวดล้อม
กาบอร์ มาเต อธิบายว่าการเยียวยาต้องเริ่มจากขุดรากพิษวัฒนธรรม ลดภาระงาน ฟื้นสัมพันธ์ที่ใส่ใจ และสร้างพื้นที่กินอย่างมีสติ ไม่เช่นนั้นคำแนะนำด้านอาหารใด ๆ ก็ถูกแรงดึงดูดของระบบเครียด และโดพามีนดึงกลับไปสู่การเลือกผิดซ้ำเดิมอยู่ดี กล่าวคือ เรามีความพยายามแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะสิ่งแวดล้อมมันดึงดูดเรา
แม้เราจะอยู่ในโลกที่โดนัทถูกกว่าผลไม้และเวลาของครอบครัวหมดไปกับตารางบำบัด และการเรียนที่แน่นขนัด พ่อแม่ย่อมล้มแล้วลุกอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มือหนึ่งเอื้อมไปหยิบมันเทศลงหม้อแทนเฟรนช์ฟราย หรือเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ ลองไก่อบที่ไม่กรอบเค็มอย่างเดิมได้สำเร็จ ร่างกายก็ขยับอินซูลินลงทีละก้าว และสมองเรียนรู้ว่าความสบายใจไม่จำเป็นต้องมาจากน้ำตาลหรือเสียงกรอบเสมอไป
ในระยะยาวสิ่งที่ปลูกขึ้นจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขน้ำหนักที่ลดลง  แต่คือภูมิคุ้มกันทางกายใจต่อวัฒนธรรมเร่งเร้า ความสามารถของเด็กและครอบครัวในการหยุดฟังร่างกายตัวเองท่ามกลางโฆษณาและแรงกดดันรอบด้าน
นี่คือความหวังที่จับต้องได้ เมื่อเรากล้าออกแบบวงจรชีวิตใหม่ ลดอาหารปรุงแต่งขั้นสูง รีเซตจังหวะอินซูลิน และเติมทางเลือกคลายเครียดที่ไม่พึ่งของหวาน เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ จะก้าวสู่วันพรุ่งนี้พร้อมร่างกายที่คล่องแคล่วและระบบประสาทที่นิ่งพอจะเปิดรับโลกกว้าง และรอยยิ้มที่เบ่งบานบนโต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยสีสันธรรมชาติ
แทนซองพลาสติกและน้ำตาล แต่งแต้มให้เห็นชัดว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในทุกวัน สามารถรวมพลังกันได้มากพอจะเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตได้
อ้างอิง
Community Food Centres Canada. (2020). Market Greens pilot project: Final evaluation report. Taylor Newberry Consulting. https://www.homelesshub.ca/sites/default/files/attachments/LP99979-CFC-Final-20210115.pdf
Fung, J. (2016). The obesity code: Unlocking the secrets of weight loss. Greystone Books.
Hill, A. P., Zuckerman, K. E., & Fombonne, E. (2015). Obesity and autism spectrum disorders: Prevalence, risk factors, and cultural implications. Pediatric Obesity, 10(3), 234–244. https://doi.org/10.1111/ijpo.241
Maté, G., & Maté, D. (2022). The myth of normal: Trauma, illness & healing in a toxic culture. Vermilion.
van Tulleken, C. (2023). Ultra‑processed people: Why do we all eat stuff that isn’t food … and why can’t we stop?Cornerstone Press.
Wilson, A., Patel, S., & Wong, H. (2022). Neighborhood food environments and obesity risk among youth with autism spectrum disorder: Evidence from California. Pediatric Obesity, 17(7), e12926. https://doi.org/10.1111/ijpo.12926
Zhang, Y., Lee, M. S., Shih, W., & McDougle, C. J. (2022). Prevalence of obesity in youth with autism spectrum disorder and potential unique risk factors: A systematic review and meta‑analysis. Journal of Autism and Developmental Disorders, 52(10), 4392–4411. https://doi.org/10.1007/s10803‑021‑05542‑7
โฆษณา