13 พ.ค. เวลา 06:09 • ท่องเที่ยว
แคนเทอร์เบอรี

หลงเสน่ห์ Canterbury เมืองเก่าอังกฤษที่งดงามราวเทพนิยาย

Chapter 83/2: England's Fairytale Historic Town, Canterbury
Canterbury เมืองมรดกโลกของ UNESCO และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ วันนี้มีโอกาสได้มาเที่ยวแล้ว อยากบอกทุกคนว่า...เข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบมาเที่ยวที่นี่กัน
Canterbury (แคนเทอร์เบอรี) เป็นเมืองเก่าแก่ในแคว้น Kent (เคนต์) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Stour (สตูร์) ในเขตการปกครองท้องถิ่นของมณฑล Kent มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโรมัน
นอกจากนี้ Canterbury ยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางศาสนาคริสต์ที่สำคัญที่สุดของอังกฤษอีกด้วย ในปี ค.ศ. 597 นักบุญ Augustine ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และได้กลายเป็น Archbishop of Canterbury (อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี) คนแรกซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่อาวุโสสูงสุดของคริสตจักรอังกฤษ
Highlight ของเมืองนี้นอกจากตัวเมืองเองจะก็มีความงดงามแบบเมืองโบราณที่มีทั้งกำแพงเมืองสมัยโรมัน ถนนหิน ร้านค้า คาเฟ่ และบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างความเก่าและความใหม่ได้อย่างลงตัวแล้ว ยังมี Canterbury Cathedral (มหาวิหารแคนเทอร์เบอรี) ซึ่งเป็นมรดกโลกของ UNESCO และเป็นสถานที่เกิดเหตุลอบสังหาร Thomas Becket อาร์ชบิชอปคนสำคัญในปี 1170 ซึ่งเราจะพาไปเที่ยวใน Blog ต่อไปค่ะ
ไปเที่ยว Canterbury กัน
เราออกเดินทางจากลอนดอนโดยใช้เวลาขับรถประมาณ 1.30 ชั่วโมง วันที่เรามากันเป็นวันพฤหัสคนไม่ค่อยเยอะมาก อากาศก็สดใสแดดจัดแต่เย็นสบายกำลังดี
ที่นี่ก็มี The Ivy ร้านอาหารสุดจะสวยที่เราเคยไปกินตอนไปเที่ยว Cambridge ด้วย (แวะชมร้าน The Ivy Cambridge ได้ที่ลิงค์ข้างใต้เลยค่ะ)
ร้าน The Ivy
เราไปเดินเล่นในย่าน High Street ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเมือง อาคารที่เห็นสองข้างทางดูสวยเหมือนอยู่ในฉากของหนังย้อนยุคหรือเทพนิยายเลย แต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลาเดินสำรวจเพราะต้องรีบไปร้านอาหารที่จองไว้ก่อน
อาคาร Royal Museum สวยมาก
ที่นี่ก็ยังมีบ้านเรือนเก่าแก่ที่สร้างด้วยโครงไม้สีดำตัดกับผนังสีขาวซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Tudor (ทิวดอร์) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
และนี่ก็คือร้านอาหารที่เรามากินมื้อเที่ยงกันวันนี้ค่ะ The Old Weavers House
The Old Weavers House
The Old Weavers House หรือบ้านช่างทอผ้าเก่า เป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่ของเมืองนี้ จะเห็นว่าป้ายที่หน้าร้านระบุไว้ว่าเป็นปี ค.ศ. 1500 แต่จริงๆ แล้วตัวอาคารเก่าแก่กว่านั้นอีก โดยตัวรากฐานของอาคารเริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ต่อมามีการต่อเติมส่วนด้านหน้าอาคารในช่วงศตวรรษที่ 15 และดัดแปลงต่อเติมเพิ่มอีกในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 20 เพื่อรักษาและคงสภาพเดิมของอาคารไว้ให้ได้มากที่สุด
เพดานร้านเตี้ยแบบบ้านโบราณเลย
ภายในร้านดูเก่าแก่เหมือนเดินอยู่ในฉากหนังอัศวินสมัยก่อนยังไงยังงั้นเลย
ธุรกิจการทอผ้าใน Canterbury เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เมื่อผู้ลี้ภัยชาววัลลูนและอูเกอโนต์เข้ามาตั้งรกรากที่นี่ มีหลักฐานที่แสดงว่าในอดีตมีการใช้บ้านหลังนี้ในการประกอบกิจการทอผ้าจริงๆ จนเกิด "ผ้ามัสลินแคนเทอร์เบอรี" ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นทำให้ความต้องการผ้ามัสลินลดความนิยมลงจนเกือบหายไป สถานที่แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นธุรกิจอื่น จนในปี 1899 เมื่อ Edith Holmes และ Constance Philpot (เอดิธ โฮล์มส์ และ คอนสแตนซ์ ฟิลพ็อต) ได้ก่อตั้ง The Canterbury Weavers (โรงเรียนทอผ้าแคนเทอร์เบอรี) ซึ่งเป็นการฟื้นฟูงานฝีมือสำหรับสตรีและเด็กผู้หญิงที่ขาดแคลนงาน ทำให้อาคารแห่งนี้เกิดมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะปิดตัวลงในปี 1914 จนปัจจุบันกลายมาเป็นร้านอาหารนี้
หลังร้านเป็นโซน open air ติดแม่น้ำน่ารักมาก
ได้เวลาสั่งอาหารกันแล้ว มีทั้งเบอร์เกอร์ชื่อเก๋ๆ อย่าง Tower Of Canterbury, Chicken Brest, Fish & Chips และ Seabass Fillet
อาหารหน้าตาและรสชาติใช้ได้
และตบท้ายด้วย Apple & Blackberry Crumble ซึ่งของที่นี่มันเปรี้ยววววมาก นึกว่าจะรสชาติเหมือนที่กินที่ไทย
Apple & Blackberry Crumble
อ้อ…ใครอยากมาชมและชิมอาหารที่ร้านนี้ต้องจองนะคะ ไม่จองไม่ได้กินเด้อเพราะเป็นร้านที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักและร้านไม่ใหญ่มาก
ป่ะ กินเสร็จแล้วไปเดินเล่นกันต่อค่ะ
มารู้จักประวัติศาสตร์ของ Canterbury กันอีกซักนิด
Canterbury มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว โดยชาว Celtic เป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่และเรียกว่า Durovernum Cantiacorum
Canterbury Guildhall
ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันเข้ามายึดครองอังกฤษในปี ค.ศ. 43 เมืองนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค Kent มีการสร้างถนน ระบบท่อระบายน้ำ โรงอาบน้ำสาธารณะ และกำแพงเมืองที่ยังคงมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Canterbury มีความสำคัญขึ้นมากเกิดขึ้นในปี 1170 เมื่ออาร์ชบิชอป Thomas Becket (ทอมัส แบ็กกิต) ถูกลอบสังหารใน Canterbury Cathedral โดยทหารของ King Henry II (กษัตริย์เฮนรี่ที่ 2) หลังเกิดความขัดแย้งด้านอำนาจศาสนาและรัฐ
ซึ่งการเสียชีวิตของท่านทำให้ Canterbury กลายเป็นจุดหมายในการแสวงบุญของชาวคริสต์ทั่วทวีปยุโรป และเหตุการณ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ Geoffrey Chaucer (เจฟฟรีย์ ชอเซอร์) นักเขียนผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งกวีนิพนธ์อังกฤษ ให้เขียนวรรณกรรมคลาสสิก The Canterbury Tales ขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14
รูปปั้นของ Geoffrey Chaucer
รูปปั้นของ Aphra Behn (แอฟรา เบห์น) หนึ่งในนักเขียนหญิงผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ
ในช่วงยุคกลาง Canterbury เป็นเมืองค้าขายที่สำคัญ มีตลาด โรงเรียน โบสถ์ และอารามจำนวนมาก ต่อมาเกิดการปฏิรูปศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 16 ทำให้มีการยุบอารามต่างๆ โดย King Henry VIII (กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในอังกฤษครั้งใหญ่ ซึ่ง Canterbury ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของ Church of England โดยมีอาร์ชบิชอปแห่ง Canterbury เป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกันนั่นเอง
Royal Museum อีกครั้งเพราะรายละเอียดเค้าสวยจริงๆ
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองได้รับความเสียหายอย่างมากจากการทิ้งระเบิดของเยอรมัน หลังสงครามจึงมีการบูรณะเมืองครั้งใหญ่ แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ Canterbury Cathedral (อาสนวิหารแคนเทอร์เบอรี) ที่รอดพ้นจากความเสียหายอย่างเหลือเชื่อ
ในปัจจุบัน Canterbury เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีความเงียบสงบแต่มีชีวิตชีวาที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาสัมผัสซักครั้ง
เดินจนมาสุดถนน High Street จะเจอกับ Westgate Tower ที่เป็นประตูเมืองโบราณในสมัยยุคกลางที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1379 มีความสูง 18 เมตร ประตูนี้เป็นประตูเมืองแห่งสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีจน Westgate Tower เป็นหนึ่งใน Highlight ของ Canterbury เช่นกัน
Westgate Tower
ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะเจอกับ Westgate Gardens River Walk ซึ่งเป็นทางเดินเลียบแม่น้ำ Stour ที่สวยและใสมากๆ
มีสวนดอกไม้เล็กๆ เลียบแม่น้ำให้คนมาเดินชม แล้วก็มีเรือถ่อให้นั่งล่องไปตามแม่น้ำด้วยโรแมนติกมาก
จากตัวเมือง Canterbury เราขับรถออกไปชมวิวต่อที่ White Cliffs of Dover กันค่ะ
White Cliffs of Dover หรือหน้าผาหินสีขาวแห่งโดเวอร์ เป็นหน้าผาหินชอล์กขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 110 เมตร ความโดดเด่นของหน้าผานี้คือมันเป็นสีขาวทั้งหมด
White Cliffs of Dover
และความเป็นมาของมันก็น่าสนใจมาก
เมื่อประมาณ 70–100 ล้านปีก่อน บริเวณที่เป็นประเทศอังกฤษในปัจจุบันถูกปกคลุมด้วยทะเลตื้นๆ ที่มีสาหร่ายสีเขียวขนาดเล็กที่เรียกว่าแพลงก์ตอนอาศัยอยู่
ทางเดินเป็นพื้นหินแบบนี้
เมื่อแพลงก์ตอนตายลงซากของมันจะจมลงสู่ก้นทะเลแล้วรวมตัวกับซากของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จนกลายเป็นโคลนสีขาว หลังจากเวลาผ่านไปหลายล้านปีชั้นโคลนนี้ก็ถูกอัดแน่นขึ้นๆ และกลายเป็นหินชอล์กที่มีความหนาหลายร้อยเมตร
ต่อมาเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกในช่วงยุค Tertiary (เทอร์เชียรี) ทำให้ชั้นหินชอล์กเหล่านี้ถูกยกตัวขึ้นเหนือระดับน้ำทะเลและกลายเป็นหน้าผาที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทางเดินจะดูเสียวๆ หน่อย
การที่หน้าผานี้ยังคงมีสีขาวเนื่องจากกระบวนการกัดเซาะตามธรรมชาติที่เผยให้เห็นชั้นหินชอล์กใหม่อยู่เสมอ ส่วนบริเวณพื้นที่ที่ถูกแปลงสภาพไปจนไม่ได้เกิดการกัดเซาะตามธรรมชาติ เช่น ท่าเรือโดเวอร์ ก็จะมีพืชพรรณต่างๆ ขึ้นปกคลุมผิวของหน้าผา ทำให้เมื่อมองจากทะเลจะเห็นเป็นสีเขียวแทน
WoW นี่คือความเจ๋งของธรรมชาติจริงๆ
เนื่องจากวันนี้เรามีผู้สูงอายุมาด้วย 1 หน่วยก็เลยไม่สามารถเดินไปถึงจุดที่จะเห็น White Cliffs ได้ชัดๆ เลยขอแชร์ภาพจากเวป https://www.nationaltrust.org.uk/visit/kent/the-white-cliffs-of-dover มาให้ดูแทนนะคะ
มันจะสวยแบบนี้เลย
ฝั่งตรงข้ามที่เห็นลิบๆ คือประเทศฝรั่งเศสค่ะ
ท่าเรือ Dover
Blog นี้พาไปเดินเล่นในเมือง Canterbury แล้ว ตอนหน้าเราจะพาไปชมความอลังการของ Canterbury Cathedral กันค่ะ ขอบอกเลยว่ามันสวยมากๆ อย่าพลาดนะคะ
สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา