16 พ.ค. เวลา 13:30 • ไลฟ์สไตล์

การนอนหลับไม่ใช่แค่พักผ่อน กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองที่ยั่งยืน

ทุกวันนี้เราได้ยินเรื่องราว เคล็ดลับ หรือแม้แต่ "กฎ" ต่างๆ เกี่ยวกับการนอนมากมายเต็มไปหมด จนบางทีก็สับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและสำคัญจริงๆ ใช่ไหมครับ? วันนี้ผมเลยอยากจะชวนคุยถึงแก่นแท้ของการนอนที่ดีต่อสุขภาพ ผ่าน หลัก 5 ข้อสู่การนอนหลับที่ดี ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์การนอนที่เชื่อถือได้ โดยอิงข้อมูลหลักจากงานวิจัยที่ผมได้แนบมาให้อ่านกันครับ
แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ "สุขอนามัยการนอน" แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แต่เป็นการมองให้ลึกลงไปถึงทัศนคติและพฤติกรรมที่เรามีต่อการนอนหลับ เพื่อให้เราทุกคนสามารถดูแลการนอนของตัวเองได้อย่างเข้าใจและยั่งยืนครับ
หลักข้อที่ 1: ให้คุณค่ากับการนอน (Value Your Sleep)
ลองนึกถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่สุดในชีวิตดูสิครับ อากาศที่เราหายใจ น้ำที่เราดื่ม อาหารที่เรากิน... และใช่ครับ "การนอนหลับ" ก็เป็นหนึ่งในนั้น มันไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยหรือแค่ "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" แต่เป็นความต้องการทางสรีรวิทยาที่สำคัญอย่างยิ่ง
8
การนอนหลับมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อร่างกายและจิตใจของเรา ตั้งแต่การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ระบบเผาผลาญ การเจริญเติบโต การสร้างภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงทักษะการเรียนรู้ ความจำ และการควบคุมอารมณ์ ลองสังเกตตัวเองในวันที่นอนไม่พอสิครับ เราจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย หรือคิดอะไรไม่ค่อยออกใช่ไหมครับ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายและสมองของเราไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
ดังนั้น การ "ตัดเวลา" นอนเพื่อไปทำอย่างอื่นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ แม้การนอนจะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติคล้ายการหายใจ ที่เราสั่งให้หลับปุ๊บปั๊บไม่ได้ แต่เราสามารถ "สร้างบรรยากาศ" และปรับทัศนคติให้เอื้อต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพได้ การให้คุณค่ากับการนอนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดครับ ต้องมองว่าการนอนสำคัญไม่แพ้น้ำ อาหาร หรืออากาศที่เราหายใจเลยทีเดียว
2
หลักข้อที่ 2: จัดลำดับความสำคัญให้การนอน (Prioritise Your Sleep)
เมื่อเราเห็นคุณค่าของการนอนแล้ว ขั้นต่อไปคือการลงมือทำจริงครับ ไม่ใช่แค่คิดว่าจะนอนให้พอ แต่ต้อง "จัดลำดับความสำคัญ" ให้การนอนจริงๆ ในตารางชีวิตประจำวัน ลองฟังเสียงร่างกายและสมองของเราดูบ้าง ถ้ามันบอกว่า "ง่วงแล้วนะ ไปนอนเถอะ" ก็ควรจะฟังครับ
ผมเข้าใจดีว่าในชีวิตจริงมันไม่ง่ายเลย บางครั้งเราอาจต้องทำงานดึก ปาร์ตี้กับเพื่อน ดูซีรีส์เรื่องโปรด หรืออาจมีภาระหน้าที่อื่นๆ เช่น การทำงานเป็นกะ หรือการดูแลลูกน้อย ทำให้การจัดลำดับความสำคัญให้การนอนเป็นเรื่องท้าทาย การต้องบอกใครๆ ว่า "ขอตัวไปนอนก่อนนะ" อาจทำให้เรารู้สึกผิด หรือกลัวว่าจะพลาดอะไรไป
1
แต่ลองคิดดูนะครับ การที่เราได้นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้เรามีพลังงาน มีสมาธิ และมีอารมณ์ที่ดีขึ้นในวันถัดไป ซึ่งนั่นย่อมส่งผลดีต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้าง การจัดลำดับความสำคัญให้การนอนจึงเป็นการดูแลตัวเองอย่างหนึ่ง เหมือนกับการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์นั่นแหละครับ พยายามสร้าง "พื้นที่" ให้กับการนอนในชีวิตเท่าที่เราจะทำได้นะครับ
หลักข้อที่ 3: ค้นหารูปแบบการนอนที่ใช่สำหรับคุณ (Personalise Your Sleep)
คำถามยอดฮิตที่ผมมักจะได้ยินคือ "เราควรนอนกี่ชั่วโมง?" หรือ "คุณภาพการนอนสำคัญกว่าปริมาณหรือเปล่า?" คำตอบคือ... มันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ เหมือนกับที่เรามีรูปร่างหน้าตา ความชอบ หรือความอยากอาหารที่แตกต่างกัน ความต้องการในการนอนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันครับ
1
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องการนอนแค่ไหน คำตอบง่ายกว่าที่คิดครับ คือการ "ลองผิดลองถูก" หรือ "ทดลอง" ด้วยตัวเอง เหมือนเวลาเราเลือกซื้อรองเท้า เราก็ต้องลองหลายๆ เบอร์จนกว่าจะเจอคู่ที่ใส่สบายที่สุดใช่ไหมครับ การนอนก็เช่นกันครับ
ลองเป็น "นักวิทยาศาสตร์การนอน" ของตัวเองสัก 2-3 สัปดาห์ดูไหมครับ ทดลองปรับเปลี่ยนเวลาเข้านอน-ตื่นนอน หรือระยะเวลาที่อยู่บนเตียง ลองนอนให้นานขึ้นเล็กน้อย หรืออาจจะลองลดเวลาอยู่บนเตียงลงเล็กน้อย เพื่อให้รู้สึกง่วงมากขึ้นและหลับได้ต่อเนื่องขึ้น สังเกตดูว่าแบบไหนที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและทำงานได้ดีที่สุดในตอนกลางวัน
นอกจากปริมาณแล้ว "ช่วงเวลา" ที่เหมาะสมในการนอนก็สำคัญครับ หรือที่เรียกว่า 'โครโนไทป์' (Chronotype) บางคนเป็น "นกฮูก" ที่จะรู้สึกตื่นตัวตอนดึกและง่วงนอนตอนสายๆ ในขณะที่บางคนเป็น "นกตื่นเช้า" ที่จะง่วงเร็วตอนหัวค่ำและตื่นเช้าอย่างสดใส การเข้าใจธรรมชาติการนอนของตัวเองและพยายามจัดตารางให้สอดคล้องกัน จะช่วยให้คุณภาพการนอนของเราดีขึ้นได้ครับ
หลักข้อที่ 4: วางใจในกระบวนการนอน (Trust Your Sleep)
เมื่อเราทดลองจนเจอ "หน้าต่างการนอน" (Sleep Window) หรือช่วงเวลาและระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการ "วางใจ" ในกระบวนการนอนตามธรรมชาติของร่างกายครับ จำไว้ว่าการนอนเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
คนที่นอนหลับง่าย ส่วนใหญ่มักไม่ได้ "พยายาม" ที่จะนอนครับ พวกเขาแค่เชื่อมั่นและปล่อยให้ความง่วงนำพาไปสู่การหลับเองอย่างเป็นธรรมชาติ จริงๆ แล้ว พวกเขาแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องการนอนด้วยซ้ำไป การพยายามบังคับให้ตัวเองหลับ หรือมัวแต่กังวลว่าจะนอนไม่หลับ ยิ่งจะทำให้สมองตื่นตัวและหลับยากขึ้นไปอีกครับ
หากคืนไหนนอนไม่หลับจริงๆ ลองลุกออกจากเตียงไปทำกิจกรรมเบาๆ ผ่อนคลายสักพัก แล้วค่อยกลับไปนอนใหม่เมื่อรู้สึกง่วง การพยายามรักษาตารางเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ แม้ในวันหยุด และตื่นนอนเวลาเดิมทุกเช้า จะช่วยเสริมสร้างจังหวะการนอนหลับ-ตื่นให้แข็งแรงและทำให้เราวางใจในรูปแบบการนอนของตัวเองได้มากขึ้นครับ ลองจดบันทึกการทดลองของคุณไว้ก็ได้นะครับ จะได้เห็นว่าอะไรได้ผลหรือไม่ได้ผลสำหรับคุณ
หลักข้อที่ 5: ปกป้องการนอนของคุณ (Protect Your Sleep)
หลักข้อสุดท้ายคือการ "ปกป้อง" การนอนหลับของเราจากปัจจัยต่างๆ ที่อาจเข้ามารบกวนครับ ข้อนี้จะคล้ายกับ "สุขอนามัยการนอน" ที่หลายคนคุ้นเคย แต่จะรวมเอาแนวคิดจาก Cognitive Behavioural Therapy (CBT) เข้ามาด้วย เปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันให้กับการนอนของเราครับ (แต่ย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่การรักษาโรคนอนไม่หลับเรื้อรังนะครับ หากมีปัญหาเรื้อรังควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ )
เกราะป้องกันการนอน ประกอบด้วย
1. ปกป้อง "รูปแบบ" การนอน: การนอนชอบความสม่ำเสมอครับ เมื่อเจอรูปแบบที่ใช่แล้ว พยายามรักษาไว้ อย่าเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ส่วนอุปกรณ์ติดตามการนอนต่างๆ อาจมีประโยชน์ในการให้ข้อมูล แต่ก็อาจทำให้เรากังวลกับตัวเลขมากเกินไปได้
2. ปกป้องจาก "ความคิดฟุ้งซ่าน": ความคิดวุ่นวายเป็นศัตรูตัวฉกาจของการนอนครับ พยายามจัดการเรื่องต่างๆ ที่ค้างคาใจ วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ และให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน หากนอนไม่หลับ ก็อย่าเพิ่งโทษตัวเองครับ
3. หลีกเลี่ยงการ "บังคับ" ให้นอน: อย่างที่บอกไปครับว่ามันไม่ได้ผล ถ้านอนไม่หลับ ให้ลุกไปทำอย่างอื่นสักพัก แล้วค่อยกลับมานอนใหม่เมื่อรู้สึกง่วง
4. ปัจจัยด้าน "ไลฟ์สไตล์": หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีนและนิโคติน (รวมถึงในบุหรี่ไฟฟ้า) ในช่วงเย็นหรือก่อนนอน เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท แอลกอฮอล์อาจช่วยให้หลับง่ายขึ้นในช่วงแรก แต่จะรบกวนการนอนในช่วงครึ่งหลังของคืน การทานอาหารมื้อหนักใกล้เวลานอนก็อาจทำให้หลับไม่สบาย ส่วนการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรเว้นช่วงให้ร่างกายได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอนครับ
5. ปัจจัยด้าน "สิ่งแวดล้อม": ห้องนอนควรจะเย็นสบาย มืด และเงียบสงบพอเหมาะ (ปรับตามความชอบส่วนตัว) อากาศถ่ายเทสะดวก และเตียงนอนสบาย
6. ปัจจัยด้าน "เทคโนโลยี": พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนบนเตียงนอนครับ ไม่ใช่แค่เรื่องแสงสีฟ้า แต่เนื้อหาที่เราดูหรืออ่าน รวมถึงการโต้ตอบต่างๆ มันกระตุ้นให้สมองตื่นตัว แทนที่จะได้พักผ่อน
1
โดยสรุปแล้ว หลัก 5 ข้อสู่การนอนหลับที่ดี คือการ ให้คุณค่า (Value), จัดลำดับความสำคัญ (Prioritise), ค้นหารูปแบบที่ใช่ (Personalise), วางใจ (Trust), และปกป้อง (Protect) การนอนของเราครับ การนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้อาจต้องใช้เวลาและความตั้งใจ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เพราะการนอนคือของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติ ที่ช่วยฟื้นฟูและเยียวยาเราในทุกๆ วัน
1
ผมหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับทุกคนนะครับ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่านอนหลับได้ดีอยู่แล้ว แต่อยากจะดีขึ้นไปอีก หรือกำลังมีปัญหาการนอนเล็กๆ น้อยๆ อยู่ก็ตาม แต่สำหรับใครที่มีปัญหาการนอนไม่หลับเรื้อรัง หลักการ 5 ข้อนี้อาจไม่เพียงพอ ผมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่เหมาะสมต่อไปนะครับ ซึ่งการรักษามาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับสำหรับโรคนอนไม่หลับเรื้อรังคือ Cognitive Behavioural Therapy for Insomnia (CBT-I)
แล้วคุณล่ะครับ... มีหลักการข้อไหนใน 5 ข้อนี้ ที่คุณคิดว่าท้าทายที่สุด หรืออยากจะลองนำไปปรับใช้เป็นอันดับแรก ลองนำไปทบทวนและเริ่มต้นดูแลการนอนของคุณตั้งแต่วันนี้ดูนะครับ แล้วจะพบว่าการนอนหลับไม่ใช่แค่พักผ่อน แต่กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองที่ยั่งยืนเลยครับ
แหล่งอ้างอิง:
Espie, C. A. (2022). The '5 principles' of good sleep health. Journal of Sleep Research, 31, e13502. https://doi.org/10.1111/jsr.13502
โฆษณา