ข้อคิดคำว่า "รัก"

ความรักที่บริสุทธิ์จริง ๆ ก็คือ ความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นความรักที่มีแต่ให้อย่างเดียว ตัวอย่างความรักที่ดีที่สุดก็คือ ความรักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อชาวโลก
ในพระชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบส ท่านนอนทอดตัวเป็นทางให้พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จผ่านเพื่อกันโคลนไม่ให้มาเปื้อนพระพุทธองค์ วันนั้นพระทีปังกรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตท่านจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในขณะนั้นหากสุเมธดาบสฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วปรารถนาจะเป็นพระอรหันต์ เพียงไม่นานก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ แต่พอตั้งใจจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะต้องสร้างบารมีต่อไปอีก 4 อสงไขยกับแสนมหากัป ซึ่งไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะต้องสู้กับอะไรอีกมากมาย และอาจพลาดพลั้งตกนรกหรือไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้
นับจากชาตินั้นมา ศีรษะที่สุเมธดาบสตัดออกให้เป็นทานมีปริมาณมากกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป ดวงตาที่ท่านควักออกเป็นทานมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า เนื้อที่ท่านสละเป็นทานรวมกันเข้ามากกว่าภูเขาหิมาลัย เลือดที่ท่านสละเป็นทานรวมกันมากกว่าน้ำในมหาสมุทร นี้ไม่ใช่การเปรียบเทียบ
แต่คือความจริง เพราะว่าต้องเวียนว่ายตายเกิดนานมาก ท่านยังเปรียบไว้ว่า หากมองไปข้างหน้าเห็นทะเลน้ำทองแดงเดือดพล่าน ระยะทางไกลจนมองไม่เห็นฝั่ง ท่านก็พร้อมจะกระโดดลงไป แล้วว่ายไปจนสุดกำลัง เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ทั้งปวง และถึงแม้ว่ามองไปเป็นระยะทางไกลมีแต่ปลายหอก ปลายดาบ จนไม่เห็นปลายทาง ท่านก็จะพร้อมเดินออกไปเพื่อโปรดสรรพสัตว์
ความรักที่ท่านมีต่อชาวโลกมากขนาดนั้น ถ้าเอาแค่เพียงตัวเอง ท่านรอดไปตั้งแต่ชาติที่เป็นสุเมธดาบสแล้ว แต่เพราะรักจะช่วยชาวโลกจึงยอมทุ่มตัวเองสร้างบารมีอย่างยาวนาน ความรักอย่างนี้ไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเมตตาและความหวังดีอย่างเต็มหัวใจจริง ๆ
เพราะฉะนั้น ให้เราชาวพุทธทุกคนดูพระองค์เป็นต้นแบบ ให้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์อย่างพระองค์ ให้ทุกคนได้มีโอกาสมาศึกษาและมาใช้ประโยชน์จากธรรมะที่พระองค์ทรงทุ่มชีวิตสร้างบารมีเพื่อนำมาโปรดพวกเรา อย่าเป็นลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย ให้ตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเต็มที่ แล้วก็นำความรักและความหวังดีของพระองค์ไปสู่ชาวโลกทั้งปวง โดยทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้แก่ทุก ๆ คนด้วย
คนเรามีเนื้อคู่จริงหรือไม่?
จริง ๆ แล้วคนเรามีเนื้อคู่ทั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ในวัฏสงสารอันยาวนาน ทุกชีวิตในโลกไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็นญาติกัน ดังนั้นใน 7,000 ล้านคน คนที่เคยเกิดเป็นสามีภรรยากับเรามีเป็นล้าน ๆ คน เพราะฉะนั้นเนื้อคู่เรามีแน่ แต่มันอาจจะนานมาก ๆ จนกระทั่ง จางไป เมื่อเราทราบความจริงแล้ว อย่าไปกังวลเรื่องหาคู่ เราอยู่ของเราสบาย ๆ เดี๋ยวก็เจอเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่จะเป็นคู่กันได้มีเหตุ 2 อย่าง คือ
1.เคยเกี่ยวโยงกันมาในอดีตชาติ เป็นเนื้อคู่กันมา เป็นสามีภรรยากันมาในอดีต พอเจอกันชาตินี้ก็ใช่เลย
2.การอุปถัมภ์เกื้อกูลกันในภพชาติปัจจุบัน บางคนในอดีตชาติภพใกล้ ๆ ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน แต่ว่ามาเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ก็เลยมีความผูกพันกันและแต่งงานกัน ก็มีเหมือนกัน
ยิ่งถ้ามีเหตุพร้อมทั้ง 2 อย่าง ก็แน่เลย บางคนในอดีตมีความผูกพันต่อเนื่องกันมาหลายชาติ ในชาติปัจจุบันบางครั้งแค่เห็นรูปหรือบางทีแค่ได้ยินชื่อ ความรักก็วิ่งฉิวทะลุผิวหนังไปจนถึงเยื่อในกระดูกเลย
ยิ่งกว่ารักแรกพบ คือ รักตั้งแต่ยังไม่พบเลย เช่น ธิดาของเศรษฐีชนบทกับโฆสกเศรษฐี เพียงธิดาเศรษฐีได้ยินชื่อโฆสกะเท่านั้นก็เกิดความรักเลย หรือบางคนพอเห็นปั๊บ รู้สึกว่าคนนี้แหละจะต้องเป็นสามีภรรยาของเราแน่ ผูกพันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ อย่างนี้ก็มี ให้เราสบาย ๆ อยู่ในบุญ เดี๋ยวจังหวะเหมาะ ๆ คนที่เหมาะสมก็จะมาเจอกันเอง
มุมมองความรักในทางธรรมเป็นอย่างไร?
มุมมองความรักในทางธรรม ถ้าจะเปรียบก็คล้าย ๆ ความเมตตาและความหวังดีซึ่งมีต่อเพื่อนมนุษย์ อาจจะเป็นลักษณะของอาจารย์กับลูกศิษย์ เช่น เราไปวัดแล้วไปกราบพระภิกษุสงฆ์ที่เคารพเป็นครูบาอาจารย์ ท่านก็มีความรัก ความหวังดี ความเมตตา และอบรมสั่งสอนเรา
เราก็มีความรักและความเคารพต่อท่าน ต่างฝ่ายต่างมีความรัก ความหวังดี เกื้อกูลซึ่งกันและกัน หรืออาจจะเป็นความหวังดี ความเมตตา ระหว่างพี่น้องนักสร้างบารมีด้วยกัน เช่น ไปวัดด้วยกัน เป็นเพื่อนในการทำความดี ก็จะมีความคุ้นเคย สนิทสนม หวังดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า กัลยาณมิตร คือ เพื่อนที่แนะนำประโยชน์ แนะนำสิ่งที่ดีให้ นี้คือความรักในทางธรรม ซึ่งไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ให้ด้วยใจที่สูงส่ง ผ่องใส
ถ้าเราผิดหวังในความรัก แล้วฆ่าตัวตาย จะเป็นบาปมากไหม?
อย่าไปฆ่าตัวตายเด็ดขาด เป็นบาปหนัก ไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ ก็ไม่ควรฆ่าตัวตายทั้งนั้น ยิ่งถ้าฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในความรัก ยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ให้เราดูตัวอย่างรอบ ๆ ตัวเรา คนที่เคยรักกันปานจะกลืนกินแล้วต่อมาก็หย่าร้างกัน
บางคนหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลิกกันแล้ว ดังนั้นลองมาคิดดูดี ๆ ว่า ตอนที่เรารู้สึกว่ารักเขาปานจะกลืนกิน เวลาผิดหวังก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลือ ตายดีกว่า แต่ในความเป็นจริงถ้าได้มาอยู่ด้วยกันเดือนสองเดือนอาจจะเบื่อก็ได้ เพิ่งรู้ว่าคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย แล้วเราเอาชีวิตเราไปให้เขา มันคุ้มกันหรือ? นิ่ง ๆ สักนิดแล้วเราจะพบความจริง
โบราณบอกว่า อย่างอื่นตัดง่าย แต่ตัดรักตัดยาก ดังคำกลอนที่ว่า “จะหักอื่นฝืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ” พอเขาทิ้งเราไปมีรักใหม่ ลืมตาก็เห็นหน้าเขาลอยมา หลับตาหน้าเขาก็ลอยมา ข้าวก็ไม่อยากกิน นอนก็ไม่หลับ แต่ว่าอารมณ์นั้นจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดกาล วิธีแก้คือให้หยุดคิด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรักเป็นตัณหาอย่างหนึ่งที่เกิดมาจากความคิด คนที่แรก ๆ ไม่ค่อยชอบ แต่พอคิดถึงบ่อย ๆ กลายเป็นชอบขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้เหมือนกัน จุดสำคัญเริ่มที่ความคิด ถ้าเจอกันแล้วไม่คิดอะไรก็ไม่มีทางเป็นความรัก ดังนั้นถ้าเราไปชอบใครแล้วทำท่าจะผิดหวัง
ทางแก้ก็คือ หยุดคิด อะไรเป็นสื่อให้นึกถึงเขา เอาทิ้งให้หมด แล้วอย่าอยู่เฉย ๆ จะคิดฟุ้งซ่านอีก ให้ทำงานหรือทำอะไรก็ได้ให้เหงื่อออก ความรู้สึกนึกถึงจะค่อย ๆ คลายลง พอเริ่มนึกแล้วให้หยุด ทำอย่างนี้ไม่เกิน 7 วัน ที่ว่าผูกพันมาก ๆ จนแทบจะไปกระโดดตึกตายจะจางหายไป แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเหลียวมาดูความคิดตัวเองจะรู้สึกขำ ๆ ว่าเราเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ ดังนั้นหัวเด็ดตีนขาดอย่าไปฆ่าตัวตายเพราะความรักเด็ดขาด
ถ้าเราแต่งงานกับคนต่างศาสนาแล้วจะต้องเปลี่ยนศาสนา เท่ากับว่าไม่รักษาศาสนาตัวเองหรือเปล่า?
เราต้องทราบหลักความจริงว่า พระพุทธศาสนามีเอกลักษณ์พิเศษที่ต่างจากศาสนาอื่น คือ เป็นศาสนาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใครเชื่อพระองค์ แต่ทรงอยู่ในฐานะของผู้ค้นพบความจริงของโลกและชีวิต ว่าคนเรามีการเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง บุญบาปมีจริง
แล้วให้ทุกคนตั้งใจสร้างความดี สั่งสมบุญกุศล ตั้งใจปฏิบัติธรรม สุดท้ายเมื่อสามารถตัดกิเลสให้หมดไปจากตัวแล้ว ก็จะเข้าพระนิพพานได้ พระองค์ทรงเอาความจริงนี้มาบอกเรา
ไม่ว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นหรือไม่ นรก-สวรรค์ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม บุญบาปก็มีเหมือนเดิม เพียงแต่คนจะไม่รู้ว่า อะไรบุญ อะไรบาป แล้วจะไปพลาดทำบาปตกนรก แต่พอทราบจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้ทำบุญ ไม่ทำบาป เมื่อทำความดีมากขึ้น สุดท้ายก็เข้าพระนิพพาน
เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้มานับถือพระพุทธศาสนา ได้มารู้หนทางอันประเสริฐที่จะนำตัวเองให้หลุดพ้น เราจะทิ้งความจริงไปสู่ความไม่จริงหาควรไม่ ถ้ารักใครจริงควรจะพาเขามาพบความจริงแบบเดียวกับเราถึงจะถูกต้อง บางคนบอกว่า ศาสนาเขาบังคับ แต่ของเราไม่บังคับ เราเปลี่ยนไปหาเขาง่าย เขาเปลี่ยนมาหาเรายาก
ประเด็นไม่ใช่เรื่องยากหรือง่าย แต่อยู่ที่ว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ ถ้าเปลี่ยนไปง่าย ๆ แล้วไปแย่ด้วยกัน อย่างนี้รักกันจริงหรือ ถ้ารักจริงแม้จะยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาก็ต้องพยายามเข็น เหมือนว่ายน้ำฝ่าจระเข้ก็ต้องพยายามฝ่า เพราะปลายทางคือความจริงที่สว่างไสว
ดังนั้นเราจึงควรจะชวนคนที่เรารักทุกคนให้มาเข้าถึงความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนมา
เจริญพร
โฆษณา