27 พ.ค. เวลา 16:15 • หนังสือ

หนังสือ มาเพิ่มเซนส์การตลาดกันเถอะ

หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการอ่านไม่ว่าจะทุกเพศทุกวัยก็สามารถรถอ่านได้ เนื่องจากในปัจจุบันโลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หลายๆสิ่ง เข้าสู่ระบบของตลาดกับเกือบหมด และตอนนี้ไม่ใช่แค่คนที่เรียนการตลาดจะรู้เรื่องการตลาดเท่านั้น แต่คนธรรมดาก็สามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดได้ด้วยเช่นกัน
เพราะทุกวันนี้เรื่องของการตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่เอาไว้ใช้เพื่อการแข่งขันและการอยู่รอดในยุดที่จะมีเอไอเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะเร็วกว่าที่ทุกคนคิด เราจึงควรมีเซนส์การตลาดไว้เข้าใจสิ่งต่างๆและสามารถทำให้เราสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคมได้
โลกของการตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ยกตัวอย่าง
การหาคู่ในสมัยก่อนมักจะเป็นการแนะนำผ่านคนรู้จักกัน ถ้าเห็นว่าชายหญิงเหมาะสมกันก็จะจับคู่กัน คบกันไม่กี่เดือนก็แต่งงานกัน โดยอาจจะยังไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอกันเท่าที่ควร แต่คำนึงถึงความเหมาะสมเป็นหลัก
แต่ในยุคปัจจุบันมีแพลตฟอร์มทางออนไลน์ในการหาคู่ เช่นเฟสบุ๊ค ทินเดอร์ รวมถึงแอพหาคู่อื่นๆ ซึ่งทำให้คนหนุ่มสาวรู้จักคนที่สนใจกันเบื้องต้นจากคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย ที่ลงประวัติไว้ในแอพหาคู่ และมีสิทธิเลือกคู่ด้วยตัวเอง หรือแม้รู้กระทั่งชีวิตความเป็นอยู่ กิจกรรมที่ทำที่โพสต์ลงเฟสบุ๊ค ทำให้มีโอกาสรู้จักตัวตนได้ในระดับนึง ชอบพอกัน และศึกษานิสัยใจคอกันและได้คู่ตามคุณสมบัติและความพึงพอใจของตนเองมากกว่าการแนะนำผ่านผู้ใหญ่เหมือนสมัยก่อน
จากการเปลี่ยนรูปแบบการหาคู่ที่อยู่นอกตลาดมาสู่ในตลาดในรูปของออนไลน์ ทำให้เกิดข้อมูลมหาศาลที่ใช้ในการสร้างสถิติ การรับรู้แนวโน้มของตลาด เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้
หรือแม้กระทั่งการหางานที่เดิมทีอยู่นอกระบบของตลาด มีคนแนะนำ ตระเวนเดินทางไปสมัครงาน ปัจจุบันก็เข้ามาอยู่ในระบบตลาดอย่างเว็บไซต์หางาน ที่มีประวัติผู้สมัคร และมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องงานที่ทำให้เรารู้ว่างานอะไรที่เป็นที่ต้องการมาก งานไหนเงินเดือนเริ่มต้นดี งานไหนเงินเดือนเริ่มต้นน้อยแต่ยิ่งมีประสบการณ์กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ คือ การตลาดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดแรงงาน ตลาดการหาคู่ และตลาดอื่นๆ
สิ่งที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้ยังอธิบายอีกว่า
เมื่อเข้าสู่ระบบของตลาดย่อมมีการแข่งขันกันสูง ตัวเลือกเยอะ และมีความไม่แน่นอน สิ่งที่เคยบอกว่าดี ตอนนี้อาจจะไม่ดีแล้วก็ได้ ซึ่งตามกลไกของตลาด อุปทานมาก แรงงานล้นตลาด ค่าจ้างจะถูกลง อาชีพไหนอุปสงค์เยอะเป็นที่ต้องการของตลาด อุปทานน้อย ย่อมค่าตัวสูง
เมื่อก่อนคนมักจะให้ความสำคัญกับงานที่เป็นวิชาชีพมากกว่า เช่น บัญชี นิติ หมอ แต่อย่างนิติ สอบยาก คนก็อาจลดจำนวนเรียนลดลงเรื่อยๆ บวกกับจบมาไม่ได้ทำงานในสายที่ตนเองเรียนมา ทำให้เมื่อก่อนขาดแคลน ค่าจ้างของผู้ว่าความค่อนข้างสูง ปัจจุบันเอไอกำลังเข้ามาแทนที่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเอไอก็สามารถจำประมวลกฎหมายได้แม่นยำกว่าคน ว่าความได้ตามหลักเหตุผล ก็อาจทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการน้อยลง คนเรียนก็น้อยลง ทำให้อุปสงค์ก็น้อย อุปทานก็น้อย ซึ่งขัดกับหลักกลไกตลาดที่อุปสงค์น้อย เพราะอุปทานมาก
นอกจากนั้นคนยังเคยเชื่ออยู่ว่าการเก่งภาษาจะเปิดประตูการหางานดีๆ เงินเดือนดีๆได้ แต่ ณ ปัจจุบัน ธุรกิจต่างๆ ก็ต้องมีการลดต้นทุนการจ้างคน จากเดิมอย่างคนญี่ปุ่นที่ได้ภาษาจะมีโอกาสมากกว่า แต่ตอนนี้ธุรกิจต่างๆกลับเลือกแรงงานที่เก่งภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่สามารถจ้างในราคาที่ถูกกว่าได้ เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย ที่เกือบทุกคนได้เรียนภาษาอังกฤษ และมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปจ้างแรงงานทักษะสูงด้วยค่าจ้างที่แพงกว่า เราจึงควรมีทักษะอื่นติดตัวไว้เพื่อความอยู่รอด
สิ่งที่สำคัญของตลาด คือ คำว่าคุณค่า
การตลาดที่ดีต้องเข้าใจคำว่าคุณค่า คุณค่าในที่นี้ของผู้บริโภคแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางอย่างมีคุณค่ามีราคามีประโยชน์สำหรับบางคนมากกว่าคนอื่นบางคน เราจึงต้องศึกษาตลาดที่มีอยู่ว่าผู้บริโภคแต่ละแบบมีรสนิยม มีความต้องการแบบไหน เพื่อที่เราจะสามารถไปหาสิ่งนั้นมาตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมาย และสามารถสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับธุรกิจ ผู้บริโภค และตลาดได้
ยิ่งเข้าสู่ระบบตลาด ย่อมมีการแข่งขันกันสูง อย่างเหล้าของญี่ปุ่นที่อร่อยถูกปากในท้องถิ่นและเป็นที่หนึ่งในท้องถิ่นนั้นๆ แต่พอไปแข่งขันกับระดับจังหวัด ระดับโลก ก็อาจจะไม่ใช่ที่หนึ่งแล้วก็ได้
แต่สิ่งที่อยากบอก คือ ญี่ปุ่นเองก็สามารถสร้างมูลค่าสินค้าของประเทศตนเองให้โลกได้รู้จักด้วยการขายความเป็นชาตินิยม อย่างคำว่า ขายดีในญี่ปุ่น Best Seller in Japan เพื่อให้ประเทศอื่นๆเข้าใจว่าสิ่งนั้นคนให้การยอมรับในญี่ปุ่น สิ่งนั้นก็ย่อมต้องมีคุณภาพในสายตาชาวโลกด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สินค้าหลายๆอย่างมีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในสากลอย่างที่เราทราบกันดี
เราควรจะพัฒนาอย่างไรต่อไป
คนเราเชื่อว่าเราควรเคารพกฎเกณฑ์และทำตามแผนขององค์กรเป๊ะๆ ไม่นอกลู่นอกทาง ทำตามทำนองคลองธรรมขององค์กร โดยต้องคิดเรื่องต่างๆให้ละเอียดถี่ถ้วน ก่อนลงมือทำ และไม่ควรจะผิดพลาดเลย
แต่สำหรับตลาดแล้ว จะให้ความสำคัญกับการลงมือทำก่อน แล้วค่อยคิดค่อยแก้ปัญหาทีหลัง เพราะระบบตลาดมีสิ่งที่ไม่แน่นอนมากมายและมีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการคิดมาอย่างดีล่วงหน้า ค่อนข้างเสียเวลา ความคิดนั้นอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว ล้าสมัยไปแล้ว ทางที่ดีเราควรตั้งรับและรุก แก้ปัญหาและพัฒนาให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกนาที เพราะโลกของตลาดไม่มีอะไรตายตัวเสมอไป
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วให้ได้อย่างเท่าทัน ทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ตอนนี้ ไม่ควรจะประมาท และชะล่าใจ เพราะไม่ว่าใครหรืออะไรก็ตามย่อมถูกแทนที่ เราจึงควรพัฒนา แอคทีฟตัวเอง เพื่อให้เรายังคงมีคุณค่ากับความต้องการตลาดอยู่ต่อไป
หนังสืออ้างอิง :
หนังสือ “ มาเพิ่มเซนส์การตลาดกันเถอะ “ เขียนโดย ชิกิริน (2015)
โฆษณา