Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชะนีพันธุ์ดุ
•
ติดตาม
28 พ.ค. เวลา 11:49 • หนังสือ
ถนน ประดิษฐ์มนูธรรม
Self-Sabotage: เมื่อเราทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เคยรู้สึกหมดไฟหรือไม่เห็นคุณค่าในตัวเองไหม? บางทีความรู้สึกเหล่านั้นอาจเกิดจากการที่เราแอบ ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก็ได้ เราเรียกพฤติกรรมนี้ว่า Self-Sabotage หรือการขัดขาตัวเองโดยไม่ตั้งใจ เป็นเหมือนมีศัตรูตัวน้อยอยู่ในใจคอยบ่อนทำลายความสุขและความสำเร็จของเรา ทั้งที่ลึกๆ เราก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่กลับเผลอทำอะไรบางอย่างให้ตัวเองไปไม่ถึงเป้าหมายเสียที
“ศัตรูที่ร้ายที่สุดของเราบางทีก็คือตัวเราเอง” – ประโยคนี้ฟังดูแรง แต่หลายครั้งก็จริงอย่างน่าประหลาด เรามักโทษปัจจัยภายนอกว่าเป็นสาเหตุของความผิดหวัง ทั้งที่บางครั้งคนที่ขวางทางความสำเร็จของเราที่สุดกลับเป็นตัวเรานี่แหละ
Self-Sabotage คืออะไร?
Self-Sabotage (การทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว) คือ การที่เราทำพฤติกรรมหรือมีความคิดบางอย่างที่ขัดขวางตัวเองไม่ให้ไปถึงเป้าหมายหรือมีความสุข ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น พูดง่ายๆ คือ การที่เรา “ขัดขาตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว เช่น อยากประสบความสำเร็จแต่กลับทำสิ่งที่ฉุดรั้งตัวเองเอาไว้
1
ลองนึกภาพว่ามี ตัวป่วนล่องหน อยู่ในหัวเรา เจ้าตัวนี้ทำทีเหมือนหวังดีกับเรา แต่จริงๆ แล้วมันคอยกระซิบให้เราทำสิ่งที่ย้อนแย้งกับความตั้งใจของเราเอง ผลคือเป้าหมายที่วางไว้ไม่สำเร็จสักที แล้วเราก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก Self-sabotage จึงเหมือนวงจรที่เราทำตัวเองให้เจ็บปวดซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว
มันแอบแฝงมายังไงโดยที่เราไม่รู้ตัว?
การทำร้ายตัวเองแบบนี้มักมาแบบแนบเนียน จนบางทีเราคิดว่าเรากำลังดูแลตัวเองอยู่ด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น:
• หลอกตัวเองว่า “รางวัลชีวิต”: สมมติคืนนี้ตั้งใจว่าจะนอนเร็วเพื่อจะตื่นมาวิ่งตอนเช้า แต่พอถึงเวลาจริงกลับคิดว่า “ดูซีรีส์ดึกหน่อยคงไม่เป็นไร หัวเราะผ่อนคลายสักตอนสองตอนเป็นรางวัลของวันที่เหน็ดเหนื่อย” แล้วสุดท้ายก็นอนดึก ตื่นไม่ไหว พอไปวิ่งไม่ได้ก็บอกตัวเองว่า “เห็นไหม เรามันไม่ใช่คนตื่นเช้าอยู่แล้ว”  พฤติกรรมนี้ตอนทำเราคิดว่าช่วยให้เราสบายใจ แต่จริงๆ แล้วมันแอบบ่อนทำลายเป้าหมายสุขภาพของเรา
• หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง: บางครั้งเราทำอะไรที่สวนทางกับเป้าหมาย แล้วปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลสวยหรู เช่น “เราไม่ได้ขี้เกียจนะ แค่รอไอเดียมันมาเองต่างหาก” หรือ “ที่ยังไม่ลงมือเพราะอยากเตรียมตัวให้เป๊ะที่สุดก่อน” ทั้งที่จริงๆ แล้วเราอาจจงใจถ่วงเวลาเพราะกลัวทำออกมาได้ไม่ดี
• ความเคยชินที่เป็นพิษ: พฤติกรรมบางอย่างเราอาจทำไปโดยไม่ทันคิด เพราะมันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว เช่น เครียดทีไรต้องกินจุบจิบจนสุขภาพเสีย หรืองานใกล้เส้นตายทีไรก็จะหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองทุกที สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกับดักที่เราวางไว้ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
สรุปคือ Self-Sabotage มักจะแฝงตัวมาในรูปของการตัดสินใจหรือพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดว่า “ไม่เป็นไรหรอก” แต่พอมารู้ตัวอีกทีสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นก็สะสมเป็นอุปสรรคก้อนโตขวางทางความก้าวหน้าของเราไปเสียแล้ว
พฤติกรรมทั่วไปที่บ่งบอกว่าเรากำลังทำร้ายตัวเอง
ลองเช็กดูว่าตอนนี้เรากำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือเปล่า นี่คือสัญญาณทั่วไปของการแอบบ่อนทำลายตัวเอง:
• ผัดวันประกันพรุ่ง – ชอบเลื่อนงานหรือภาระที่ควรทำออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ายิ่งช้ายิ่งเสีย แต่ก็ยังผัดไปก่อน คนที่มีนิสัยนี้อาจใช้การผัดวันประกันพรุ่งเป็นข้ออ้างว่า “เรายังไม่พร้อม” และสุดท้ายผลงานก็ออกมาไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น  (เบื้องหลังมักเพราะกลัวทำออกมาแล้วไม่ดี หรือกลัวผิดหวัง เลยดึงเวลาไว้ก่อน)
• ยึดติดความสมบูรณ์แบบ – ตั้งมาตรฐานกับตัวเองสูงลิ่ว ทุกอย่างต้องเป๊ะ ถ้าไม่มั่นใจว่าทำได้สมบูรณ์แบบก็ไม่กล้าลงมือเสียที คนแบบนี้ดูเผินๆ เหมือนขยันและมุ่งมั่น แต่ความจริง ความกลัวที่จะไม่สมบูรณ์แบบ นี่แหละที่ขัดขาเขาเอง หลายครั้งงานไม่เดินเพราะมัวแต่กังวลในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนเสียเวลาไปหมด 
• กลัวความสำเร็จของตัวเอง – ฟังดูแปลกแต่มีจริง เคยไหมที่พอเรื่องราวกำลังไปได้สวย เรากลับรู้สึกหวั่นๆ อย่างบอกไม่ถูก? บางคนกลัวว่าถ้าสำเร็จจริงจะรับมือไม่ไหวกับความเปลี่ยนแปลงที่ตามมา หรือกลัวว่าจะรักษามาตรฐานนั้นไม่ได้ สุดท้ายเลยเผลอทำอะไรให้ตัวเองไปไม่ถึงเส้นชัย เพราะลึกๆ กลัวชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังประสบความสำเร็จ (เช่น ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วชีวิตจะยุ่งยากขึ้น เลยไม่ยอมแสดงศักยภาพเต็มที่) 
• คิดลบกับตัวเองตลอดเวลา – ชอบพูดกับตัวเองในใจว่า “เราไม่เก่งเลย” หรือ “รู้งี้ไม่ต้องพยายามดีกว่า เดี๋ยวก็พังอีก” การมีเสียงวิจารณ์ตัวเองแบบนี้ตลอดจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของเราไปเรื่อยๆ และกลายเป็นคำพยากรณ์ที่เราทำให้มันเป็นจริง เช่น คิดไว้ว่าทำยังไงก็ต้องพัง สุดท้ายก็ชอบทำอะไรให้มันพังจริงๆ สมใจความคิดลบนั้น
• ปฏิเสธโอกาสดีๆ เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร – เวลาโอกาสมาถึงตรงหน้า เช่น มีคนชวนไปทำโปรเจ็กต์ที่อยากลอง หรือมีงานที่ท้าทายขึ้น หลายคนกลับถอยหนี ทั้งที่ลึกๆ อยากลอง อาจเพราะกลัวจะทำพลาดหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะรับโอกาสนั้น เลยเลือกที่จะไม่เอาดีกว่า ซึ่งเท่ากับว่าเราปิดประตูความก้าวหน้าของตัวเองไปเสียเอง
หมายเหตุ: พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนล้มเหลวหรือแปลกประหลาดนะ แค่หมายความว่า เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่กำลังต้องการความเข้าใจและการปรับมุมมองใหม่ ให้ตัวเองเท่านั้น
ทำไมเราถึงทำแบบนั้น?
ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลัง “ขัดขาตัวเอง” ก็อย่าเพิ่งโกรธหรือโทษตัวเองไปใหญ่เลย พฤติกรรมแบบนี้มันมีที่มาที่ไปของมัน ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับจิตใจและประสบการณ์ในอดีต:
• ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า: คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าอย่างลึกๆ (อาจเกิดจากการถูกวิจารณ์หรือละเลยในวัยเด็ก) มักจะ ไม่เชื่อว่าตัวเองสมควรได้รับความสุขหรือความสำเร็จ พอมีอะไรดีๆ เข้ามาก็จะรู้สึกแปลกแยก ไม่คู่ควร จนเผลอทำลายมันไปเพื่อกลับไปสู่ความรู้สึกคุ้นเคย (คือความรู้สึกแย่ๆ ที่ชินเสียแล้ว)
• กลัวการล้มเหลวและกลัวการสำเร็จ: ฟังดูคนละขั้วแต่สองอย่างนี้มีผลเหมือนกันคือทำให้เราไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า กลัวล้มเหลว ก็เลยไม่กล้าลอง พยายามป้องกันความผิดหวังด้วยการไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงตั้งแต่แรก (ประมาณว่า “ไม่รุ่งก็อย่าให้ร่วง เจ็บน้อยหน่อย”) ส่วน กลัวความสำเร็จ ก็มาจากความกังวลว่าเมื่อสำเร็จแล้วชีวิตจะเปลี่ยนไป ผู้คนจะคาดหวังมากขึ้น หรือเราจะรักษามันไว้ไม่ได้ สุดท้ายเราจึงเลือกอยู่ในเขตปลอดภัยของตัวเองดีกว่า
• ภาพจำและบาดแผลในใจ: บางคนผ่านประสบการณ์แย่ๆ เช่น ถูกตำหนิซ้ำๆ ตอนเด็ก ทำอะไรก็ผิดไปหมด พอโตมาก็เลยเกิดเสียงในหัวที่คอยบอกว่า “ยังไงเธอก็ต้องพลาด” ซึ่งเสียงนี้มาจากอดีตที่ฝังใจ เราเลยดำเนินชีวิตตามบทนั้นซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้ตัว
• ความคิดที่ขัดแย้งกันในใจ: บางทีในใจเรามีสองเสียงทะเลาะกันเอง – เสียงหนึ่งอยากพุ่งไปข้างหน้า แต่อีกเสียงดึงไว้เพราะกลัว ผลคือเราย่ำอยู่กับที่เพราะสองเสียงนี้คอยยื้อกันเอง เช่น ใจหนึ่งก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อีกใจกลับกระซิบว่า “อยู่แบบเดิมสบายกว่า ไม่ต้องเจ็บปวดกับความผิดหวังใหม่ๆ” พอเป็นแบบนี้เราจึงเลือกทำตามเสียงที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย แม้ว่ามันจะแลกมาด้วยการพลาดโอกาสก็ตาม
สาเหตุเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนในจิตใจเรา ซึ่งบางทีมันก็มาจาก กลไกการป้องกันตัวเอง ของสมองเราด้วย สมองมนุษย์พยายามปกป้องเราจากอันตรายหรือความเจ็บปวดใจ พอเรารู้สึกว่าอะไรเสี่ยง (แม้จะเป็นความเสี่ยงที่จะประสบความสำเร็จก็ตาม!) เราก็จะหาทางหลบเลี่ยงมันโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการทำลายตัวเองจึงอาจเป็นวิธีที่จิตใต้สำนึกใช้ “ปกป้อง” เราจากความกลัวหรือความเจ็บปวดระยะสั้น ทั้งที่ในระยะยาวมันกลับทำให้เราไปไม่ถึงไหน


วิธีเริ่มต้นเห็นตัวเองในแง่ดีขึ้น (แบบไม่ยัดเยียด)

การจะหลุดจากวงจร self-sabotage ไม่ได้แปลว่าต้องมาฝืนยิ้มแย้มบอกตัวเองว่า “ฉันยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ทั้งที่ในใจไม่ได้เชื่ออย่างนั้น เราไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองให้คิดบวกสุดโต่ง แต่ควรค่อยๆ ปรับมุมมองที่เรามีต่อตัวเองทีละนิดอย่างจริงใจ วิธีเหล่านี้อาจช่วยได้:
• ตั้งคำถามชวนคิดในทางบวกกับตัวเอง: ลองถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ ที่เน้นด้านดีของตัวเราบ้าง เช่น “วันนี้มีเรื่องอะไรที่ฉันทำได้ดี?”, “เรื่องไหนที่ฉันภูมิใจในตัวเอง?” คำถามเหล่านี้ช่วยให้เราหันมาสังเกตข้อดีของตัวเอง แทนที่จะเอาแต่จับผิดตัวเองอย่างเดียว
• ฉายกระจกให้ตัวเองด้วยความเข้าใจ: วิธีนี้คือการลอง มองตัวเองในมุมมองเดียวกับที่เรามองเพื่อนที่เราห่วงใย สมมติว่าเพื่อนสนิทเราเศร้าหรือผิดหวัง เราคงปลอบเขาด้วยคำพูดดีๆ ใช่ไหม? ทีนี้ลองสวมบทเพื่อนคนนั้นให้ตัวเองดูบ้าง เวลาอยู่หน้ากระจก ลองยิ้มและพูดกับตัวเองเหมือนที่เราอยากจะปลอบใจเพื่อนคนหนึ่ง เช่น “เธอเก่งแล้วนะ พยายามมาขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราภูมิใจในตัวเธอนะ” ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เชื่อเถอะว่ามันช่วยเติมพลังใจได้อย่างมาก
• บันทึกเรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวเอง: หา สมุดโน้ตเล่มเล็ก ไว้จดบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในแต่ละวัน อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ เช่น “วันนี้อารมณ์ไม่ดีแต่ฉันก็ยังลุกไปล้างจานจนได้ สำเร็จไปหนึ่งอย่าง!” หรือ “มีคนชมว่าเราอธิบายงานเข้าใจง่าย รู้สึกดีจัง” การเขียนออกมาแบบนี้เหมือนเป็นการตอกย้ำสิ่งดีเข้าหัวเราเอง ทีละนิดวันละหน่อย เราจะค่อยๆ เห็นคุณค่าในตัวเองชัดขึ้น
• ให้รางวัลตัวเองอย่างสร้างสรรค์: ถ้าเหนื่อยนักก็พักได้ แต่อย่าลืมพักแล้วต้องมีกำหนดกลับมาลุยต่อด้วย ลองให้รางวัลตัวเองในแบบที่ไม่บั่นทอนเป้าหมาย เช่น ถ้างานเยอะเครียดมาก แทนที่จะนอนดึกเล่นมือถือจนเช้าเพื่อประชดชีวิต (แล้วพรุ่งนี้ก็หมดสภาพ) ให้เปลี่ยนเป็นนอนเร็วขึ้นแล้วตื่นมาทำอะไรที่สดชื่นให้ตัวเองตอนเช้า อย่างดื่มกาแฟอร่อยๆ ฟังเพลงโปรด หรือออกไปเดินเล่นสูดอากาศ สิ่งเล็กๆ เหล่านี้คือรางวัลชีวิตที่ช่วยเติมพลังใจโดยไม่ทำร้ายตัวเอง
• หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับใคร: การชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นคือดาบสองคมที่คอยบั่นทอนเราอย่างร้ายกาจ ลองฝึกบอกตัวเองว่า “ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง เราก็มีของเรา” โฟกัสที่การพัฒนาตัวเองวันละนิด แข่งกับตัวเองเมื่อวานนี้ก็พอ การเลิกเปรียบเทียบจะทำให้เราเคารพตัวเองมากขึ้น เพราะเราไม่ได้ใช้มาตรฐานคนอื่นมาตัดสินคุณค่าของเรา
จำไว้ว่า: เราไม่จำเป็นต้อง “รักตัวเองสุดหัวใจ” ในทันทีทันใด แค่เริ่มต้น “ไม่ว่าและไม่เกลียดตัวเอง” ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ดีมากแล้ว ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละขั้น เหมือนสอนให้ตัวเองเรียนรู้ที่จะมองตัวเองแบบใหม่
บทสรุปให้กำลังใจ: กลับมาเคารพตัวเองอีกครั้ง
สุดท้ายนี้อยากบอกเพื่อนคนที่กำลังหมดไฟหรือรู้สึกด้อยค่าคนนี้ว่า เธอไม่ได้แย่อย่างที่ใจคิดเสมอไปนะ เราทุกคนต่างก็เคยพลาด เคยทำตัวเองเจ็บโดยไม่รู้ตัวกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือวันนี้เราได้เรียนรู้ที่จะสังเกตมันและเริ่มปรับเปลี่ยนแล้ว
จำไว้ว่า เราเองก็สมควรได้รับความรักและความเคารพจากตัวเราเอง ลองให้อภัยความผิดพลาดที่ผ่านมาของตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเองในเรื่องเล็กๆ ก่อน แล้วเธอจะค่อยๆ พบว่าจริงๆ แล้วตัวเธอมีความสามารถและคุณค่าไม่แพ้ใครเลย
ในวันที่รู้สึกใจห่อเหี่ยว ขอให้บทความสั้นๆ นี้เป็นเสมือน เพื่อนที่คอยกระซิบข้างๆ ว่า “เธอทำได้และเธอมีคุณค่าในตัวเอง” เพียงอนุญาตให้ตัวเองได้เปิดรับโอกาสดีๆ จงให้อภัยตัวเองกับสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต และโอบกอดตัวคุณในปัจจุบัน ปลดปล่อยตัวคุณจากอดีตที่เลวร้าย เพื่อให้ตัวคุณได้เปล่งประกาย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ และผู้รับ อย่างสมดุลบนโลกใบนี้แล้วคุณจะพบกับความอิสระสุขที่แท้จริง
ไม่มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ เติบโตและดีขึ้นได้กว่าที่เป็นเสมอ
ชะนีพันธุ์ดุ
พัฒนาตัวเอง
สุขภาพจิต
blockditchallengeท้าปล่อยของ
3 บันทึก
3
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Destroyer
3
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย