29 พ.ค. เวลา 11:15 • ข่าวรอบโลก

“ฝูงบินรุ่นที่ 6” จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศได้หรือไม่ ?

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องยนต์เจ็ทก็เกิดขึ้น เครื่องบินรบรุ่นแรกที่ใช้เครื่องเจ็ท ปรากฏขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 เครื่องบินรบสามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงได้ มีเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพและขีปนาวุธนำวิถีความร้อน
.
เครื่องบินรุ่นที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ความคล่องตัวและการต่อสู้ทางอากาศในระยะใกล้กลายมาเป็นประเด็นหลัก เมื่อก้าวสู่การพัฒนาเครื่องบินรุ่นที่ 3 ได้มุ่งเน้นไปที่ระบบควบคุมแบบดิจิทัล ฟังก์ชันหลากหลาย เทคโนโลยีล่องหนจึงเกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดเครื่องบินรุ่นที่ 4 เช่น F-15 หรือ Su-27
.
เครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ได้อาศัยความเหนือกว่าของข้อมูลที่มีอยู่แล้ว พัฒนาให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก ผสมผสานกับความสามารถในการบินเป็นเวลานานด้วยความเร็วสูง ทั้งหมดนี้ทำให้เครื่องบินรบกลายเป็นศูนย์บัญชาการการบิน เช่น F-22, F-35 และ J-20 ของจีน ไม่ใช่แค่เครื่องบินอีกต่อไป แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในเครือข่ายการรบทั้งหมด
เครื่องบิน J-20S กำลังจัดแสดงที่งาน Zhuhai Airshow ในประเทศจีน เครดิต: Zhao Lei/China Daily via MND
เครื่องบินเจ็ทรุ่นที่ 5 ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งได้แก่ F-22 เครื่องยนต์คู่และ F-35 เครื่องยนต์เดี่ยว ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลกในขณะนี้ แม้ว่าจีนจะมีเครื่องบินเจ็ทรุ่นที่ 5 อีกสองรุ่น คือ J-20 และ J-35 ก็ตาม ด้วยเครื่องบินเจ็ทของจีนทั้งสองรุ่นไม่ได้พิสูจน์ประสบการณ์การรบและประสิทธิภาพเหมือนเครื่องบินรบทั้งสองรุ่นของสหรัฐ
.
การพัฒนาเครื่องบินรบมักเน้นไปที่ความเหนือกว่าในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น ความเร็ว การโจมตีก่อน และการหลบหลีก แต่ในขณะที่เครื่องบินรบรุ่นที่ 5 เน้นที่การพรางตัวและการเชื่อมต่อ แต่เครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของการต่อสู้ทางอากาศ ซึ่งไม่ได้พึ่งพาเฉพาะนักบินอีกต่อไป
.
เมื่อสงครามกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอีกครั้ง ปัจจุบันสนามรบสมัยใหม่จึงเต็มไปด้วยโดรนที่สามารถปฏิบัติการได้โดยอัตโนมัติ สงครามวิทยุ-อิเล็กทรอนิกส์ปิดกั้นการสื่อสาร และปัญญาประดิษฐ์ วิเคราะห์สถานการณ์ได้เร็วกว่าคน ดังนั้น คำถามเชิงตรรกะจึงเกิดขึ้นว่า นักบินจะยังคงจำเป็นอยู่หรือไม่?
.
กองทัพและการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น กำลังแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ พวกเขากำลังพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ซึ่งไม่ใช่แค่เครื่องบินที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบนิเวศการรบทั้งหมดที่รวมแพลตฟอร์มที่มีคนขับ โดรน ปัญญาประดิษฐ์ และความสามารถในการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์เข้าไว้ในเครือข่ายเดียว และนี่คือการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในสถาปัตยกรรมความมั่นคงระดับโลก
.
สำหรับเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำให้กระบวนการแต่ละอย่างทำงานเป็นระบบเท่านั้น ในเครื่องบินประเภทนี้ ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มตัวในการปฏิบัติการรบ โดยสามารถประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ เรดาร์ กล้อง กล้องถ่ายภาพความร้อน วิเคราะห์สถานการณ์ ตัดสินใจ และแม้แต่ประสานงานการกระทำของเครื่องบินลำอื่นได้ในทันที
.
ในเครื่องบินไร้คนขับ ปัญญาประดิษฐ์จะทำหน้าที่ของนักบินอย่างแท้จริง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยที่มนุษย์ไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจได้ทัน
.
อะไรที่ทำให้เจเนอเรชั่นที่ 6 แตกต่างจากเจเนอเรชั่นที่ 5?
สถาปัตยกรรมการต่อสู้รุ่นที่ 6 ได้บูรณาการยานบินไร้คนขับ ด้วยแนวคิดเช่น "นักบินคู่หูผู้ภักดี" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินขับไล่ที่มีคนขับไม่ได้ปฏิบัติการโดยอิสระอีกต่อไป แต่เป็นผู้ควบคุมโดรนกลุ่มหนึ่งแทน โดรนเหล่านี้สามารถโจมตี ทำหน้าที่เป็นตัวล่อ ทำการลาดตระเวน หรือทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวคือ นักบินกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของ "ฝูง" ซึ่งแต่ละองค์ประกอบจะทำหน้าที่ของมันเอง สิ่งนี้เพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพของหน่วย และยังลดความเสี่ยงของการสูญเสียในหมู่ลูกเรือด้วย
.
ในขณะที่เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ยังคงยึดตามแนวคิดของ "นักบินผู้เก่งกาจ" รุ่นที่ 6 จะย้ายนักบินจากศูนย์กลางของเหตุการณ์ไปสู่ตำแหน่งผู้ประสานงานระบบการรบที่ซับซ้อน หน้าที่หลักของนักบินจะไม่ใช่การควบคุมเครื่องบินโดยตรง แต่จะกำหนดภารกิจ กำหนดลำดับความสำคัญทางยุทธวิธี โต้ตอบกับระบบอัตโนมัติ และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในสถานการณ์ที่ระบบอัตโนมัติไม่เพียงพอ
เครื่องบินที่เชื่อว่าเป็นเครื่องบินรบ J-36 รุ่นใหม่ของจีน ถูกพบเห็นบินอยู่เหนือทางหลวงใกล้รันเวย์ของบริษัท Chengdu Aircraft Industry Group
26 ธันวาคม 2024 เครื่องบินต้นแบบรุ่นที่ 6 ของจีน 2 ลำ ขึ้นบินทดสอบเหนือท้องฟ้าประเทศจีนในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งประชาชนสามารถจับภาพเครื่องบินเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ชั่วโมงภาพของเครื่องบินรบรุ่นใหม่ของจีนก็แพร่กระจายไปทั่วโซเชียลมีเดีย แม้ว่าชื่ออย่างเป็นทางการของเครื่องบินต้นแบบยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ผู้วิเคราะห์บางคนได้ตั้งชื่อเครื่องบินทั้งสองรุ่นว่า Chengdu J-36 และ Shenyang J-50 โดยอาศัยหมายเลขซีเรียลที่มองเห็นได้
ภาพจากเที่ยวบินทดสอบครั้งแรกและครั้งเดียวของเครื่องบิน J-50
และมีรายงานระบุว่าจีนใช้ DeepSeek ในการพัฒนาเครื่องบินรบสเตลท์ J-35 และ J-50 แม้ว่าแหล่งข้อมูลของจีนจะระบุลักษณะของทั้งสองรุ่นว่าเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 แต่ดูเหมือนว่าเครื่องบินเจ็ทรุ่นที่ 6 นี้จะไม่ใช่แค่เครื่องเดียวที่ปักกิ่งกำลังพัฒนาอยู่
.
การปรากฏตัวของเครื่องบินรบดังกล่าวได้สร้างความกดดันต่อความคิดของบุคคลสำคัญในวอชิงตัน ซึ่งกำลังรอการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโครงการพัฒนารุ่นที่ 6 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
.
กองทัพสหรัฐฯ เป็นผู้นำในด้านเครื่องบินสเตลท์ในช่วงแรกๆ ในปี 1970 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้น แต่ไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการจนกระทั่งในงานแถลงข่าวของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในปี 1980 จากนั้นเครื่องบินสเตลท์ลำแรกของประเทศก็ได้รับการแนะนำให้เข้าร่วมการรบในปี 1989 นับจากนั้นเป็นต้นมา
เครื่องบินรบสเตลท์ F-35 ภาพ: กองทัพอากาศสหรัฐ
ภายใต้โครงการ NGAD (Next Generation Air Dominance ) ของสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาเครื่องบินรบ พร้อมระบบที่ซับซ้อนทั้งหมด ได้แก่ เครื่องบินขับไล่ที่มีคนขับ ฝูงยานบินไร้คนขับ แพลตฟอร์มลาดตระเวนความเร็วสูง และอุปกรณ์สงครามอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ปัญหาหลักของ NGAD ยังคงเป็นต้นทุนที่สูง ซึ่งมีราคาแพงกว่าเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ห้า เช่น F-35 หลายเท่า
.
บริษัท Lockheed Martin จึงมีแนวคิดเกี่ยวข้องกับการ "อัปเกรด" เครื่องบิน F-35 ให้มีขีดความสามารถได้ประมาณ 80% ของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 แต่มีค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียว
.
ความคล้ายคลึงกันระหว่างเครื่องบินรบที่ผลิตในจีนและที่ผลิตในสหรัฐฯ ทำให้เกิดข้อกล่าวอ้างว่าจีนคัดลอกเครื่องบินของสหรัฐฯ หรือใช้ข้อมูลที่ขโมยมาเพื่อการพัฒนาเครื่องบินของจีน อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสงสัยว่า จีนได้รับ “ข้อมูลลับ” เกี่ยวกับโครงการทางทหารที่ละเอียดอ่อนของชาติตะวันตก จนสามารถ "ลอกเลียนแบบ" เครื่องบินที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ได้จริงหรือ?
.
การพัฒนาเครื่องบินรบสเตลท์รุ่นใหม่ของจีนเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการออกแบบเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Next Generation Air Dominance (NGAD) ซึ่งกำลังทดสอบเครื่องบินรบสเตลท์ไร้หาง จากบริษัทโบอิ้งและอีกลำจากบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน เป็นเวลาหลายปีแล้ว
J-36 https://x.com/RupprechtDeino/status/1905959653801955536/photo/1
Chengdu J-36 และ Shenyang J-50 เครื่องบินทั้งสองลำนี้ไม่มีรูปร่างเหมือนกับเครื่องบินรุ่นปัจจุบัน แต่ทั้งสองลำมีโครงเครื่องบินแบบไม่มีหางที่มีลักษณะเป็นทรงเพชรหรือโดริโต มีความสามารถในการพรางตัวสูงสุด และทั้งสองลำยังได้รับการออกแบบมาเพื่อการบินที่ความเร็วเหนือเสียงอีกด้วย
.
เครื่องบินทั้งสองลำนี้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่โครงการเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 ของสหรัฐฯ อยู่ในสภาพชะงักงัน เนื่องจากขาดเงินทุน และบางคนแย้งว่าขาดความต้องการ เกิดการถกเถียงกันในวอชิงตันมากขึ้นว่าเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 พร้อมคนขับถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพงในยุคของโดรน หรือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความเหนือกว่าทางอากาศของสหรัฐฯ ในทศวรรษหน้า
.
ในเดือนพฤษภาคม 2024 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับโครงการเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 หลังจากมีการคาดการณ์ต้นทุนว่าราคาของเครื่องบินรุ่นนี้จะสูงกว่าเครื่องบิน F-35 ถึง 3 เท่า
.
เมื่อกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ที่นำโดยอีลอน มัสก์ เริ่มการสอบสวนโครงการเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 ของสหรัฐฯ ในบัญชีของกระทรวงกลาโหม อีลอน มัสก์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าล่าช้า มีต้นทุนเกิน และมีข้อบกพร่องทางเทคนิค คำวิจารณ์ของมัสก์ยังเน้นย้ำถึงความไร้ความสามารถของ F-35 โดยเปรียบเทียบกับศักยภาพของโดรนในการแทนที่เครื่องบินรบที่มีคนขับในสงครามยุคใหม่
.
แฟรงก์ เคนดัลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกองทัพอากาศสหรัฐฯ โต้แย้งว่ามุมมองของมัสก์นั้นเป็นมุมมองของวิศวกร ไม่ใช่นักรบ โดยกล่าวว่าวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับความเหนือกว่าของโดรนยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเกิดขึ้นได้
การแสดงภาพทางศิลปะของเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา เครื่องบิน F-47 โครงการ NGAD (Next Generation Air Dominance)
21 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ได้อนุมัติการสร้างเครื่องบินรบรุ่นใหม่ที่เรียกว่า “Boeing F-47” โดยเขาอ้างว่าเครื่องบินลำนี้จะเป็น “เครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ลำแรกของโลก” การประกาศของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสัญญาของโบอิ้งในการผลิตเครื่องบิน F-47 ครั้งนี้จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ NGAD ของสหรัฐฯ ทันที
.
และในเดือนเดียวกัน หนังสือพิมพ์ South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า พบเห็น J-36 ในเที่ยวบินทดสอบใกล้เมืองเฉิงตูไม่กี่วันก่อนที่ NGAD ของสหรัฐฯ จะประกาศสัญญาของโบอิ้งในการผลิตเครื่องบิน F-47
.
ในการพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ว่าจีนน่าจะดำเนินการทดสอบเที่ยวบินแรกของเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ในราวปี 2028 การปรากฏตัวของเที่ยวบินทดสอบในช่วงปลายปี 2024 ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เนื่องจากเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ถึง 3 ปี (สหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะเริ่มใช้งานจริงภายในปี 2030)
โมเดลสาธิตขนาดเต็มที่มีศักยภาพของเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ของยุโรปรุ่นหนึ่งที่เรียกว่าโครงการ FCAS
นอกจากโครงการของสหรัฐฯ และจีนแล้ว ประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นก็กำลังร่วมมือกันออกแบบเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 ที่เรียกว่า โครงการ Tempest และ Future Combat Air System (FCAS) มหาอำนาจอย่างรัสเซียก็กำลังทำงานในโครงการเครื่องบินสกัดกั้นรุ่นที่ 6 ที่เรียกว่า PAK DP/MiG-41 เช่นกัน
การแสดงภาพทางศิลปะของเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ของยุโรป หนึ่งในโครงการ GCAP
และยังมี The Global Combat Air Programme (GCAP) โครงการรบทางอากาศระดับโลก ซึ่งเป็นความร่วมมือที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ นำโดยรัฐบาลของสหราชอาณาจักร อิตาลี และญี่ปุ่น ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ นำโดย BAE Systems (สหราชอาณาจักร) Leonardo (อิตาลี) และ Mitsubishi Heavy Industries (ญี่ปุ่น) ได้ร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมในการส่งมอบศักยภาพการรบทางอากาศรุ่นต่อไป
การออกแบบเครื่องบินรบ Tempest รุ่นที่ 6 เครดิตภาพ: BAE Systems
อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ส่วนใหญ่ (NGAD ของอเมริกา, FCAS ของยุโรป, Tempest ของอังกฤษ, การทดลองของจีน และ GCAP ของญี่ปุ่น-อังกฤษ-อิตาลี) ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นต้นแบบ, ขั้นสาธิตเทคโนโลยี หรือขั้นออกแบบ
โมเดลแนวคิดของเครื่องบินขับไล่เจเนอเรชันใหม่ได้รับการจัดแสดงในงาน Airshow China 2022 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ภาพโดย: Liu Xuanzun/GT
ยังไม่มีเครื่องบินรุ่นที่ 6 ที่ใช้งานได้จริง แต่โดยทั่วไปแล้วคาดว่าเครื่องบินรุ่นที่ 6 จะมีการรวมคุณสมบัติของรุ่นที่ 5 ในปัจจุบันเข้าด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ระบบพรางตัวและสถาปัตยกรรมเปิดแบบเครือข่าย พร้อมด้วยความสามารถในการควบคุมโดรนที่เพิ่มขึ้น ระบบอัตโนมัติที่ได้รับการปรับปรุงด้วย AI และความสามารถในการพรางตัว โดยเครื่องยนต์รุ่นถัดไปผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น ทำให้สามารถทำความเร็วได้ต่อเนื่องและสูงขึ้น รวมทั้งมีน้ำหนักบรรทุกที่มากขึ้น จึงบินได้ไกลขึ้นและยาวนานขึ้น บรรทุกอาวุธภายในได้มากขึ้นด้วย
.
ในตลาดอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ จีนตั้งเป้าขยายการขายอาวุธในต่างประเทศ โดยอาศัยนโยบายปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น โดยปัจจุบันจีนสามารถผลิตอุปกรณ์ทางทหารส่วนใหญ่ได้ภายในประเทศ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากรัสเซียและที่อื่นๆ ส่งผลให้กลยุทธ์ดังกล่าวประสบความสำเร็จ ทำให้จีนกลายเป็นซัพพลายเออร์อาวุธทั่วไปรายใหญ่เป็นอันดับสี่ รองจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และรัสเซีย
Chengdu J-20 เป็นเครื่องบินรบสเตลท์ที่นั่งเดียวหลายบทบาทที่ผลิตโดย Chengdu Aircraft Industry Group (CAIG) ของจีน
ปักกิ่งส่งออกอุปกรณ์ทางทหารทั่วไปเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ยานบินไร้คนขับ (UAV) และระบบขีปนาวุธ ไปจนถึงเรือดำน้ำ เรือรบ และเครื่องบินขับไล่ แต่ปักกิ่งไม่อนุญาตให้ส่งออกรุ่นที่ล้ำหน้าที่สุดของจีน ทั้งนี้ เพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางทหารไว้ จนถึงขณะนี้ แพลตฟอร์ม เช่น เครื่องบินขับไล่ J-20 รุ่นที่ 5 ของจีนยังคงมีไว้สำหรับการใช้งานของ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน เท่านั้น
.
จีนเป็นผู้ทำการตลาดอาวุธที่ชาญฉลาด โดยเข้าใจว่าหลายประเทศเลือกที่จะไม่ซื้ออาวุธจำนวนมากจากจีนด้วยเหตุผลทางการเมือง ดังนั้นปักกิ่งจึงเสนอเงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่น โดยมักจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าและมีข้อจำกัดน้อยกว่าซัพพลายเออร์จากชาติตะวันตกรายอื่นๆ
.
บริษัทจีนค้าขายแบบไม่เลือกปฏิบัติ พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะขายอุปกรณ์ให้กับรัฐบาลและระบอบการปกครองทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงประวัติสิทธิมนุษยชน ระดับความมั่นคง หรือความตั้งใจที่จะใช้อาวุธเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น จีนยังคงขายอาวุธให้กับเมียนมาร์ตลอดช่วงสงครามกลางเมืองที่ยังคงดำเนินต่อไป และมีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าโดรนที่จีนผลิตขึ้นซึ่งขายให้กับประเทศใกล้เคียงในตอนแรกนั้นถูกใช้ระหว่างสงครามในเยเมน
.
มีรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตของจีนนั้น ไม่เรียกร้องใบรับรองจากผู้ใช้ปลายทาง ซึ่งมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้การขายอาวุธถูกเบี่ยงเบนไปยังผู้ดำเนินการอื่น และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตจะใช้อาวุธเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
.
แนวทางการขายแบบไม่เลือกปฏิบัติของผู้ผลิตอาวุธจีนเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตอาวุธจีนส่วนใหญ่ปรากฏอยู่ในรายชื่อการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ส่วนสหภาพยุโรปก็มีมาตรการห้ามขายอาวุธให้กับจีนตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา
.
ขณะนี้จีนกำลังกลายเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่แซงหน้ารัสเซีย สัดส่วนการส่งออกอาวุธของจีนไปยังเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มทำสงครามเต็มรูปแบบกับยูเครน
.
หลายประเทศซื้ออาวุธส่วนใหญ่จากจีนหรือจากพันธมิตรนาโต รวมถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่มีข้อยกเว้นที่น่าสังเกตอยู่ไม่กี่ประเทศเช่น ปากีสถานและไทย ยังคงซื้ออาวุธจากทั้งจีนและซัพพลายเออร์ตะวันตก โดยหวังใช้ประโยชน์จากสถานะของตนในฐานะพันธมิตรนาโตและพันธมิตรของสหรัฐฯ
.
อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนประสบความสำเร็จเพียงบางส่วนในการขยายฐานลูกค้าทั่วโลกเนื่องมาจากข้อจำกัดของข้อเสนอ อาวุธของจีนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการทดสอบในการรบและยังประสบปัญหาด้านคุณภาพและประสิทธิภาพอีกด้วย ประเทศผู้นำเข้าอาจขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น หรือประสบปัญหาในการหาชิ้นส่วนทดแทน ในขณะที่ซัพพลายเออร์ของจีนมักแสดงความรับผิดชอบน้อยมากในกรณีดังกล่าว.
โฆษณา