5 มิ.ย. เวลา 12:33 • ไลฟ์สไตล์
Bangkok Thailand

Work-Life Balance หรือ Burnout Culture? ชีวิตทำงานในสายตา Gen Z

“ทำไมต้องทน? ถ้างานทำให้เรารู้สึกเหมือนหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์”
— เสียงสะท้อนหนึ่งจาก Gen Z วัย 25 ปี ที่เพิ่งลาออกจากงานแรกในชีวิต
ยุคนี้คำว่า “เหนื่อยแต่ต้องทน” ไม่ใช่ค่านิยมที่ Gen Z จะยอมรับง่าย ๆ อีกต่อไป
พวกเขาเติบโตมาในยุคที่พูดถึง สุขภาพจิต การสร้างสมดุลชีวิต และการทำงานที่ "มีความหมาย" มากกว่าแค่ "มั่นคง" หรือ "ได้เงินเยอะ"
แต่ในโลกความจริง…
ทำไม Gen Z ถึงลาออกจากงานบ่อย?
พวกเขาต้องการ Work-Life Balance จริง หรือไม่อยากทำงานหนัก?
หรือองค์กรยังติดอยู่ใน Burnout Culture โดยไม่รู้ตัว?
🧠 อินไซต์จากมุมมอง Gen Z:
🔸 1. "Balance" ของพวกเขา = มากกว่าวันหยุด
Gen Z ต้องการเวลาส่วนตัวที่ “ใช้งานได้จริง” ไม่ใช่แค่เลิกงานตรงเวลาแต่ยังถูกเรียกประชุมผ่านแชท 3 ทุ่ม
> “เราไม่ได้อยากขี้เกียจ แต่ไม่อยากถูกควบคุม 24/7”
— ผู้ตอบแบบสอบถามวัย 23
🔸 2. Burn out ไม่ใช่แค่ความเหนื่อย แต่คือความรู้สึกว่า “ตัวเองไม่มีค่า”
องค์กรที่ไม่ฟัง ไม่ให้ Feedback หรือไม่ชัดเจนเรื่องเป้าหมาย คือปัจจัย Burnout แบบใหม่
งานวิจัยของ Deloitte (2023) พบว่า 42% ของ Gen Z
รู้สึกว่าองค์กรไม่เข้าใจความคาดหวังของพวกเขา
🔸 3. วัฒนธรรม “ทำก่อนพักทีหลัง” กำลังล้าสมัย
Gen Z ถามกลับว่า “ทำไมเราต้องป่วยก่อนถึงจะได้พัก?”
พวกเขาเริ่มตั้งคำถามถึงคุณค่าของการทำงานแบบ ‘Overcommit’ หรือ ‘Toxic Productivity’
📊 ข้อมูลน่าสนใจ:
ประเด็น สัดส่วน Gen Z
เคย Burnout จากงานในปีแรกของชีวิตการทำงาน 65%
อยากทำงานที่มีความหมายมากกว่าค่าตอบแทนสูง 59%
เห็นว่า Work-Life Balance สำคัญกว่าเงินเดือน
เพิ่ม 10% 71%
(อ้างอิงจาก LinkedIn & Deloitte Survey, 2023)
💬 เสียงจาก Gen Z (Quote Box):
“เราไม่ได้กลัวความลำบาก แต่กลัวว่าจะไม่มีเวลาใช้ชีวิตในแบบของตัวเองเลย”
“งานที่ดีไม่ควรทำให้เรารู้สึกผิดเวลาลาพักร้อน”
Gen Z ไม่ใช่เจนที่ "ขี้เกียจ" อย่างที่หลายคนมอง
พวกเขาแค่ไม่อยากวิ่งตามค่านิยมที่ทำให้คนรุ่นก่อนล้มลงเพราะ Burnout
คำถามคือ...
“องค์กรพร้อมหรือยัง ที่จะเปลี่ยนจาก Burnout Culture มาเป็น Culture ที่คนอยากอยู่จริง ๆ?
#GenZWorkLife #BurnoutCulture #WorkLifeBalance #โลกการทำงานยุคใหม่ #ทำงานไม่พังใจ #เข้าใจGenZ
โฆษณา