7 มิ.ย. เวลา 09:30 • การตลาด

กลยุทธ์การตลาดจาก ‘สันติ’ ที่ทำให้เขาเหนือกว่าคู่แข่ง!

ในหนังเรื่อง สงครามส่งด่วน เราได้เห็น “สันติ” นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ต้องการสู้ในตลาดขนส่ง ใช้กลยุทธ์การตลาดหลากหลายเพื่อเอาชนะคู่แข่ง
1. การเข้าใจลูกค้า (Customer Insight)

สันติเริ่มจากความตั้งใจจะส่งคุกกี้ไปให้แม่ที่ต่างจังหวัด แต่กลับเจอปัญหา ค่าขนส่งแพง และ ไม่มีเงิน จึงส่งไม่ได้ นั่นทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่เจอปัญหานี้ แต่คนอื่น ๆ ก็คงรู้สึกเหมือนกัน

👉 นี่คือตัวอย่างของ Pain Point ที่นักการตลาดต้องหาให้เจอ เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด
2. การเลือกตลาดเป้าหมาย (Targeting)

เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว สันติไม่พยายามขายให้ทุกคน แต่โฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการส่งของบ่อย ๆ และต้องการความสะดวก เช่น แม่ค้าออนไลน์ แทนที่จะพยายามจับทุกตลาด

👉 ตามหลัก STP (Segmentation – Targeting – Positioning) คือการแบ่งตลาด เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ และวางตำแหน่งให้แตกต่าง
3. การสร้างความแตกต่าง (Differentiation & Positioning)

สันติสร้างบริการที่แตกต่าง เช่น รับพัสดุถึงหน้าบ้าน และตั้งราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าสะดวกและคุ้มค่า

👉 นี่คือหลัก Differentiation & Positioning ที่ทำให้แบรนด์ดูแตกต่างและโดดเด่นในตลาด
4. กลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy)

ในหนัง สันติใช้กลยุทธ์ราคาต่ำ เริ่มต้นที่ 19 บาท เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้นและทำให้แบรนด์ของเขาติดตลาดได้ไว

👉 กลยุทธ์นี้เรียกว่า Penetration Pricing คือการตั้งราคาต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ให้ลองใช้บริการ และแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งได้เร็ว
แต่😱ในเรื่องเราจะเห็นว่าสันติต้องเผชิญกับปัญหาการเงินที่บีบรัด เพราะราคาที่ถูกลงทำให้กำไรเหลือน้อยจนธุรกิจแทบอยู่ไม่ได้ แม้เขาจะได้ลูกค้ามากขึ้น แต่ธุรกิจก็เสี่ยงล้มละลายเพราะต้นทุนยังคงสูง

👉 นี่คือข้อเตือนใจที่ดีในธุรกิจ: การทำ สงครามราคา (Price War) อาจทำให้แบรนด์เสียหายได้ถ้าสายป่านไม่ยาวพอ และกำไรไม่เพียงพอจะต่อสู้ในระยะยาว
👉 ตามหลักการตลาด (4P – Product, Price, Place, Promotion) การตั้งราคาถูกเป็นดาบสองคม ถ้าไม่มีแผนเพิ่มมูลค่า (เช่น การเพิ่มบริการเสริม, Loyalty Program) หรือทำให้ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำได้ ก็อาจพาธุรกิจไปไม่รอดในที่สุด
5. การโปรโมทที่เข้าถึงกลุ่มคน (Localized Marketing Communication)

สันติแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เขารู้ว่าลูกค้าแต่ละคนมีวิถีชีวิตและความต้องการต่างกัน เช่น บางคนขายของหน้าร้าน บางคนขายออนไลน์ หรือส่งของบ่อย ๆ เขาจึงเลือกโปรโมทธุรกิจด้วยวิธีที่เข้าถึงง่าย เช่น การพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้า การแจกใบปลิว หรือการบอกปากต่อปาก เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของเขามากขึ้น

👉 นี่คือตัวอย่างของ Local Marketing ที่ใช้วิธีสื่อสารที่เหมาะกับพฤติกรรมและความเชื่อใจของคนในแต่ละพื้นที่
6. การใช้เทคโนโลยี (Technology & Innovation)

สันติลงทุนในระบบติดตามพัสดุออนไลน์และแอปพลิเคชัน ทำให้ลูกค้าตรวจสอบสถานะพัสดุได้เอง เพิ่มความมั่นใจและความสะดวกให้ลูกค้า

👉 ตรงกับหลัก Value Proposition ที่บอกว่าแบรนด์ควรมอบ “คุณค่า” ที่ลูกค้าอยากได้
7. การวิเคราะห์และปรับปรุง (Data-driven Decision)

ในหนัง สันติชอบดูรายงานยอดส่งพัสดุและฟังเสียงลูกค้า เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา เส้นทางจัดส่ง หรือโปรโมชั่น

👉 ตรงกับหลัก Marketing Analytics หรือ Data-driven Decision Making ที่ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้นและลดความเสี่ยง
8. การสร้างเพลงโปรโมทธุรกิจ (Jingle Marketing)

สันติยังแต่งเพลงโปรโมทแบรนด์ของเขาเอง ให้คนจำได้ง่ายและติดหู จนฮัมตามได้แม้ไม่ได้เห็นโฆษณา

👉 นี่คือตัวอย่างของ Jingle Marketing หรือการใช้เพลงและเนื้อเพลงสร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall) ทำให้ลูกค้าจำได้แม้ไม่ได้เห็นโฆษณาบ่อย ๆ และยังช่วยสร้างอารมณ์บวกกับแบรนด์

ทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์การตลาดที่เราสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของเราเองได้ทันที! 🚀
โฆษณา