10 มิ.ย. เวลา 12:16 • หนังสือ

Pyotr Kirillovich Bezukhov เจตจำนงเสรีที่อาจไม่มีอยู่จริง

นวนิยาย War and Peace ของลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) ไม่เพียงเป็นงานวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ หากยังเป็นผลงานที่ซ้อนชั้นแนวคิดปรัชญา ศาสนา และความจริงทางจิตวิญญาณเอาไว้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “เจตจำนงเสรี” (Free Will) ซึ่งถูกท้าทายตลอดเรื่อง ผ่านชะตาชีวิตของตัวละครเอกอย่าง “ปิแอร์ เบซูคอฟ” (Pierre Bezukhov) ชายหนุ่มผู้มั่งคั่ง สับสน และแสวงหาความหมายในโลกที่สั่นคลอนจากสงครามระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศส
คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ ปิแอร์ เบซูคอฟ ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะชายหนุ่มอ้วนงุ่มง่าม ลูกนอกสมรสของขุนนางผู้มั่งคั่ง แม้เขาจะได้รับมรดกมหาศาล และกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในรัสเซีย แต่จิตใจของเขากลับว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าตนเองควรเป็นใครหรือจะใช้ชีวิตอย่างไร ความมั่งคั่งไม่ได้ให้คำตอบ มีเพียงคำถามที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขาได้ตัดสินใจแต่งงานกับเฮเลน สตรีที่งดงามแต่ไร้จิตวิญญาณ ปิแอร์รู้สึกเหมือนชีวิตหลุดจากการควบคุมจากตัวเขาเอง เขาไม่ได้ “เลือก” ความรักครั้งนี้ด้วยหัวใจ หากแต่ถูกผลักดันด้วยแรงกดดันทางสังคม และความงงงวยในตัวตน จุดนี้เป็นเหมือนการเริ่มต้นของการตั้งคำถามต่อเสรีภาพในชีวิตของเขา
สุดท้ายชีวิตการแต่งงานของเขาล้มเหลว ปิแอร์เริ่มออกตามหาเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงให้แก่ตนเอง จนได้ไปเข้ากับ ฟรีเมสัน (Freemasonry) ที่ให้คำสัญญาว่าจะมอบ “แสงสว่างแห่งสัจธรรม” และ “อิสรภาพจากความไม่รู้” ทว่าแม้เขาจะดำรงตำแหน่งในลำดับชั้นขององค์กรนี้ได้อย่างรวดเร็ว ปิแอร์ก็ยังไม่พบคำตอบที่เขาตามหา เขาคิดว่าตัวเองเป็นอิสระ แต่แท้จริงแล้วการกระทำต่างๆ ของเขาถูกบงการเอาไว้แล้วต่างหาก
ในสงครามรัสเซียกับนโปเลียน ตอลสตอยเสนอภาพของโลกที่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วย “ผู้นำ” หรือ “ความตั้งใจ” ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เกิดจากกระแสของเหตุปัจจัยนับไม่ถ้วน ผู้นำอย่างนโปเลียนจึงไม่ใช่ “ผู้กำหนดชะตา” แต่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดานที่ชื่อว่า ประวัติศาสตร์ เท่านั้น
ปิแอร์ได้พยายามจะมีบทบาทในสงคราม พยายามลอบสังหารนโปเลียนในช่วงยึดกรุงมอสโก แสดงถึงความเชื่อที่ว่าสามารถ “เลือก” และ “เปลี่ยน” ทิศทางของประวัติศาสตร์ได้ ทว่าสุดท้ายเขากลับถูกจับโดยทหารฝรั่งเศส และใช้ชีวิตเป็นเชลยอยู่ระยะหนึ่ง ในช่วงนี้เอง ที่ปิแอร์ได้เรียนรู้ชีวิตที่ปราศจากสิทธิ เสรีภาพ และความสะดวกสบาย แต่เขากลับพบความสงบทางใจเป็นครั้งแรกในชีวิต
การถูกจับเป็นเชลย และการถูกบังคับให้เดินทัพไปพร้อมกับทหารฝรั่งเศส ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและเป็นบททดสอบชีวิตครั้งยิ่งใหญ่สำหรับปิแอร์ เขาต้องทนทุกข์จากความหิวโหย ความเหน็บหนาว และความสิ้นหวัง ต้องเห็นความโหดร้ายของสงคราม การตายของผู้คนรอบข้าง สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมี ทั้งสถานะทางสังคม ความมั่งคั่ง และความเชื่อมั่นในอุดมคติที่เคยยึดถือ แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้เองที่เขาได้พบกับ พลาตอน คาราตาเยฟ (Platon Karataev)
พลาตอน คาราตาเยฟ ชายผู้เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยปัญญาและความสงบ เขาเป็นภาพสะท้อนของการยอมจำนนต่อกฎแห่งธรรมชาติและการใช้ชีวิตตามครรลอง พลาตอนสอนให้ปิแอร์เห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน การยอมรับสิ่งที่เป็นโดยไม่มีข้อแม้ การปล่อยวางจากการควบคุมทุกสิ่ง และการหาความสุขจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว
ประสบการณ์นี้ทำให้ปิแอร์ตระหนักว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการพยายามควบคุมหรือกำหนดชะตาชีวิต หรือการพยายามทำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในโลก แต่มาจากการยอมรับความเป็นไปของชีวิต และการตระหนักว่าชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งดำเนินไปตามกลไกที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ปัจเจกบุคคลจะควบคุมได้ เขายอมรับว่าตนเองเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ในจักรกลอันยิ่งใหญ่ของชีวิตและประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของจักรกลนั้นได้ แต่สามารถหาความสงบสุขได้จากการปรับตัวและยอมรับบทบาทของตนเอง
หลังสงครามจบลง ปิแอร์ได้เปลี่ยนไป เขาสงบมากขึ้น พูดน้อยลง และเริ่มเข้าใจว่าชีวิตไม่ต้อง “ควบคุม” ทุกสิ่ง เขาได้แต่งงานใหม่กับนาตาชา หญิงที่เขารู้สึกรักจริงๆ และเขาได้หยุดตั้งคำถามว่า “ฉันจะเปลี่ยนโลกอย่างไร” และหันมามีชีวิตในปัจจุบัน ด้วยความถ่อมตน
เรื่องราวต่างๆ ของปิแอร์อาจชวนให้ตั้งถามได้ว่า "เจตจำนงเสรี" มีอยู่จริงหรือไม่ สิ่งที่เราเรียกว่า “การเลือก” นั้นเกิดจากเจตจำนงเสรีจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการเดินตามเส้นทางที่เงื่อนไขภายในและภายนอกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยธรรมชาติ สังคม สถานการณ์ หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ ก็ล้วนมีผลต่อการเลือกของเราทั้งสิ้น
แม้มนุษย์จะรู้สึกว่าตนเองมีเจตจำนงเสรีและสามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ แต่แท้จริงแล้วเราต่างถูกขับเคลื่อนด้วยพลังที่เหนือกว่าซึ่งทำงานร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปิแอร์ได้เรียนรู้ว่าการแสวงหาความหมายไม่ได้อยู่ที่การยืนหยัดในเจตจำนงของตนเองอย่างโดดเดี่ยว หรือการต่อสู้กับโชคชะตา แต่คือการค้นพบความสงบสุขในการเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และการยอมรับข้อจำกัดของตนเองในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่
หากเสรีภาพคือการเข้าใจว่าเราไม่อาจควบคุมทุกอย่าง บางที ปิแอร์ เบซูคอฟ อาจไม่ใช่ชายผู้ไร้เจตจำนง แต่เป็นผู้พบเจตจำนงรูปแบบใหม่ ที่ตั้งบนความเรียบง่ายและการปล่อยวาง
แนวคิดเรื่อง “เจตจำนงเสรี” ใน War and Peace ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางวรรณกรรมหรือปรัชญาในศตวรรษที่ 19 หากยังสอดคล้องและมีนัยยะร่วมกับความเป็นจริงในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่มนุษย์ถูกครอบงำโดยโครงสร้างทางสังคม เทคโนโลยี และอัลกอริทึมมากกว่าที่เรามักตระหนัก
เราแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ คือสิ่งที่เราเลือกจริงๆ ไม่ใช่การถูกโครงสร้างอื่นกำหนดทิศทางมาให้ ตั้งแต่สิ่งที่เราซื้อ สิ่งที่เราดู ไปจนถึงสิ่งที่เราคิดว่าเราเชื่อ เบื้องหลังการเลือกเหล่านี้ มักมีอัลกอริทึมที่เลือกมาให้เรา เราเสพข่าวที่สะท้อนมุมมองของตัวเอง ดูวิดีโอที่แพลตฟอร์มคาดว่าเราจะชอบ และซื้อสินค้าเพราะถูก “แนะนำ” โดยอินฟลูเอนเซอร์
ซึ่งคล้ายกับที่ปิแอร์เชื่อว่าตนเลือกเส้นทางชีวิตเอง แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นผลผลิตของวัฒนธรรม ชนชั้น และแรงกระตุ้นภายในที่ไม่รู้ตัว เสรีภาพแบบปิแอร์คือเสรีภาพที่อาจไม่เคยมีอยู่จริง เพราะแม้แต่เจตจำนงของเขาก็เกิดจากความไม่รู้ สับสน และการหลอกตัวเอง
หรือจริงๆ แล้วการที่จะมีเสรีภาพที่แท้จริง อาจจะเริ่มจากการปล่อยวางภาพลวงตาของคำว่าเสรีภาพเอาไว้ ในยุคที่ทุกคนถูกกระตุ้นให้ “ควบคุมชีวิตตนเอง” หรือ “กำหนดโชคชะตาตัวเอง” แนวคิดของตอลสตอย ที่แสดงออกผ่านตัวละครอย่างปิแอร์ อาจกำลังเสนออีกมุมหนึ่ง คือการยอมรับว่า การที่เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่อาจเป็นการปลดปล่อยตนเองจากภาระของการคาดหวังสูงเกินจริง
บางทีเจตจำนงเสรีอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้อง “มี” แต่เป็นสิ่งที่เราต้อง “เข้าใจ” และ “ยอมรับ” ว่าบางครั้งมันไม่มีอยู่จริง
เสรีภาพอาจไม่ใช่การเลือกได้มากขึ้น หากคือการตระหนักรู้ว่า เรากำลังถูกครอบงำด้วยสิ่งใดอยู่บ้าง
ภาพ : source unknown

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา