เมื่อวาน เวลา 08:40 • ประวัติศาสตร์

西遊記 Journey to the West #ใครเขียนนิยายซีโหยวจี้ ตอนที่ 1

นิยาย “ซีโหยวจี้”《西遊記 แต้จิ๋ว: “ไซอิ๋วกี่”》(Journey to the West) ที่ถูกจัดไว้ในรายการหนังสือ “1001 เรื่องที่คุณต้องอ่านให้ได้ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป” (“1001 Books You Must Read Before You Die” by Peter Boxall, Quintessence Edition Limited) เป็นหนึ่งในสี่วรรณกรรมเอกของจีนยุคโบราณ อันประกอบด้วย:
(1) นิยายสามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้《三國演義》ของ หลัวก้วนจง《羅貫中》(มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1823-1903 แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่าเป็น พ.ศ. 1873-1953) คนไทยรู้จักกันในชื่อ พงศาวดารสามก๊ก
(2) บันทึกชายน้ำ หรือ สุ่ยหู่ฉวน《水滸傳》ของ ซือไน่อัน《施耐庵》(มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1839-1915) คนไทยรู้จักกันในชื่อ ซ้องกั๋ง
(3) บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก หรือ ซีโหยวจี้《西遊記 แต้จิ๋ว: ไซอิ๋วกี่》ของ อู๋เฉิงเอิน《吳承恩》(มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2043-2126 แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่าเป็น พ.ศ. 2048-2124) คนไทยรู้จักกันในชื่อ ไซอิ๋ว
(4) ความฝันในหอแดง หรือ หงโหลวเมิ่ง《紅樓夢》ของ เฉาเสฺว่ฉิน《曹雪芹》(มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2258 หรือ 2259 ถึง พ.ศ. 2306 หรือ 2307) คนไทยรู้จักกันในชื่อ ความรักในหอแดง
นิยายซีโหยวจี้ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมายหลายภาษา และยังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป็อบ (Pop Culture) ซึ่งหากจะนับเฉพาะในรูปแบบภาพยนตร์ ก็ถูกสร้างขึ้นมารวมกันไม่น้อยกว่า 30 ภาคในช่วงเวลา 90 ปีระหว่างปี พ.ศ. 2471-2561 ไม่รวมถึงภาพยนตร์ชุดทางทีวี ภาพยนตร์การ์ตูน หนังสือการ์ตูน รวมทั้งเกมส์คอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก นิยายเรื่องนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยอ้างอิงบันทึกการจาริกสู่ชมพูทวีประหว่างปี พ.ศ. 1172-1188 ของท่านเสฺวียนจั้ง《玄奘》พระภิกษุในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานของอาณาจักรต้าถัง (จีน)
ท่านเสฺวียนจั้งสืบเชื้อสายมาจากเฉินสือ《陳寔》(พ.ศ. 647-729) มหาเสนาบดีผู้เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ท่านเกิดในปีรัชศกเหรินโซ่วที่ 2 สมัยราชวงศ์สุย (วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 1145) ที่อำเภอโกวซื่อ《緱氏縣》เมืองลั่วโจว《洛州 ปัจจุบันคือ นครลั่วหยางในมณฑลเหอหนาน》 ท่านมีนามเดิมว่า เฉินอี《陳禕》เป็นคนสุดท้องจากพี่น้องสี่คน เฉินหุ่ย《陳惠》(พ.ศ. ?-1152) ผู้เป็นบิดาของท่าน เคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเจียงหลิงในสมัยราชวงศ์สุยก่อนจะลาออกจากราชการเพื่อหนีความวุ่นวายทางการเมืองตอนปลายราชวงศ์
เฉินอีเริ่มเรียนหนังสือกับบิดาจนแตกฉานในคัมภีร์โบราณรวมทั้งคำสอนของขงจื้อ ต่อมาออกบวชเป็นสามเณรในพุทธศาสนาเมื่ออายุได้สิบสามปี ขณะที่อยู่ในนครฉางอัน สามปีต่อมาเมื่อราชวงศ์สุยล่มสลาย ท่านลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่นครเฉิงตู มณฑลสื้อชวน (เสฉวน) และออกบวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุยี่สิบปีโดยได้รับฉายาว่า “เสฺวียนจั้ง”
ท่านพบปัญหามากมายในการศึกษาพระธรรม อันเกิดจากความสับสนและขัดแย้งกันของพระสูตร (พุทธธรรมปริยายสูตรหรือพระไตรปิฎก) ฉบับภาษาจีนที่เกิดจากสำนวนแปลที่มีอย่างหลากหลายในเวลานั้น ท่านจึงออกจาริกไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อศึกษาค้นคว้าหาข้อสรุป ทว่า ไม่อาจพบอาจารย์ท่านใดที่จะไขความกระจ่างได้ จึงกลับมาจำพรรษาอยู่ในนครฉางอันในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จงในปี พ.ศ. 1169 พร้อมกับเริ่มศึกษาภาษาสันสกฤต
ในเวลานั้นเอง ท่านเสวียนจั้งได้รับทราบเรื่องราวของพระภิกษุฝาเซี่ยน《法顯 เอกสารภาษาไทยหลายฉบับออกเสียงว่า ฟาเหียน》ผู้รับรู้ถึงความสับสนของเนื้อหาในเนื้อความของพระธรรมฉบับภาษาจีนจนตัดสินใจไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีปเมื่อ พ.ศ. 942 เรื่องราวของท่านฝาเซี่ยนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านเสฺวียนจั้งตัดสินใจที่จะออกจาริกไปอินเดียเฉกเช่นกัน
ท่านเสฺวียนจั้งตัดสินใจออกจาริกไปชมพูทวีปในปี พ.ศ. 1172 แม้ว่าขณะนั้นต้าถัง (จีน) กำลังทำศึกสงครามกับอาณาจักรทูเจฺว๋《突厥 อังกฤษ: Gokturks โก๊กเติร์ก》และมีคำสั่งห้ามคนเดินทางออกนอกอาณาจักรต้าถัง ท่านอาศัยเส้นทางเหลียงโจว (มณฑลกานสูในปัจจุบัน) เลียบผ่านชิงไห่ไปทางตะวันตกจนถึงด่านอวี้เหมิน《玉門關》 ณ ที่นั้น ท่านเสฺวียนจั้งเกลี้ยกล่อมทหารรักษาการณ์ชาวพุทธที่ด่านอวี้เหมินจนสามารถเล็ดลอดออกนอกด่านไปได้
ท่านเดินทางผ่านตอนเหนือของทะเลทรายทากฺลามากัน《塔克拉瑪干沙漠》ไปถึงอาณาจักรเกาชาง《高昌 ปัจจุบันคือ 吐魯番 ถู่ลู่ฝาน อังกฤษ: Turfan/Turpan》 กษัตริย์เกาชาง ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนพระองค์หนึ่ง พยายามรั้งท่านให้จำพรรษาอยู่ในเกาชาง แต่ท่านเสฺวียนจั้งปฏิเสธและขัดขืนด้วยการอดอาหารเพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะเดินทางต่อไป
กษัตริย์เกาชางทรงทอดพระเนตรเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของท่านเสฺวียนจั้ง จึงขอสาบานเป็นพี่น้องกับท่านและทรงยินยอมให้ท่านเดินทางต่อ โดยขอคำมั่นว่าจะกลับมาจำพรรษาและเทศนาโปรดพระองค์และพุทธศาสนิกชนในเกาชางเป็นเวลาสามปี
กษัตริย์เกาชางทรงพระราชทานหนังสือรับรอง 24 ฉบับเพื่อใช้ในการเดินทางผ่านดินแดนมิตรประเทศของพระองค์ พร้อมกับทรัพย์สินเงินทองเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งยังมอบหมายให้ข้าราชบริพารของพระองค์จำนวนหนึ่งเป็นอุปัฏฐากร่วมเดินทางไปกับท่านอีกด้วย
ท่านเสฺวียนจั้งเดินทางต่อไปบนเส้นทาง เอียนฉี《焉耆 อังกฤษ: Karashar》ผ่านชิวฉือ《龜茲 อังกฤษ: Kucha อินเดียโบราณ: คูซาน》และอาเค่อซู《阿克蘇 อังกฤษ: Aksu》แล้วขึ้นเหนือข้ามเทือกเขาเทียนซานทางช่องเขาเบเดล (Bedel Pass จีน: 別迭里山口) เข้าสู่ดินแดนที่ในอนาคตจะกลายเป็นประเทศคีร์กีซถานและอุซเบกีซถาน เลียบทะเลสาปอิสไสค์คุล (Issyk-kul) ผ่านเมืองโทคมาค (Tokmak) ทัชแคนต์ (Tashkent) ซามารกันด์ (Samarkand) ข้ามเทือกเขาปาร์มีร์ทางช่องผาประตูเหล็ก《鐵門關 อังกฤษ: Iron Gate) เข้าสู่อาณาจักรแบคเตรีย
ท่านเสฺวียนจั้งข้ามแม่น้ำอามูร์ ดารฺยา (Amu Darya) เข้าสู่แคว้นคันธาระ (จีน: เจี้ยนถัวหลัว《健馱邏國》ปัจจุบันนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอัฟกานิสถาน) ผ่านเมืองเทอร์เมซ (Termez) คุนดุซ (Kunduz) และแวะเยือน นววิหาร (Nava Vihara) ในเมืองบัลค์ (Balkh) จากนั้น ท่านเปลี่ยนเส้นทางตามคำแนะนำของท่านปรัชญการ (Prajnakara จีน: 般若羯羅 ปอเร่อเจี๋ยหลัว หรือ 慧性 ฮุ่ยซิ่ง) ไปสักการะพระพุทธรูปปางประทับยืนสององค์แห่งเมืองบามิยัน (Bamyan) ที่ต่อมาถูกกลุ่มตาลีบันวางระเบิดทำลายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544
ท่านเสฺวียนจั้งเดินทางจากเมืองบามิยันผ่านช่องเขาชีบาร์ (Shibar Pass) มุ่งหน้าไปเมืองคาปิซี (Kapiśi/Kapisa จีน: 迦畢試 เจียปี้สื้อ ปัจจุบันอยู่ห่างกรุงคาบูลในปัจจุบันไปทางเหนือราว 60 กม.) เดินทางผ่านช่องเขาไคเบอร์ (Khyber Pass) ถึงเมืองปุรุษะปุระ (Purushapura) เมืองหลวงของอาณาจักรคันธาระ (ปัจจุบันคือ เมืองเปชะวาร์ Peshawar ในประเทศอัฟกานิสถาน) ในปี พ.ศ. 1173
ท่านเดินทางช่วงสุดท้ายผ่านแคว้นกัษมีร์ (Kashmir) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ข้ามแม่น้ำคงคามุ่งหน้าไปเมืองมธุรา (Mathura) แล้วเข้าสู่พุทธภูมิในปี พ.ศ. 1176 ท่านเสฺวียนจั้งใช้เวลารวม 4 ปีในการเดินทางจากนครฉางอันถึงชมพูทวีป
ท่านเสฺวียนจั้งไปเยือนปูชนียสถานและสังเวชนียสถานต่างๆ ของพุทธศาสนาในชมพูทวีปและจำพรรษาเพื่อศึกษาพระธรรมที่นาลันทา (Nalanda) แล้วจึงจาริกแสวงบุญไปทั่วชมพูทวีป ก่อนจะอัญเชิญพระสูตรทั้งฝ่ายมหายานและหีนยานรวม 657 เล่ม พระพุทธรูปเจ็ดองค์และพระบรมสารีริกธาตุกว่าร้อยชิ้นกลับต้าถัง (จีน)
เมื่อท่านได้ทราบข่าวระหว่างเดินทางกลับว่า กษัตริย์เกาชางทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และอาณาจักรเกาชางถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรต้าถัง ท่านจึงเปลี่ยนเส้นทางมาเลียบเลาะด้านใต้ของทะเลทรายทากฺลามากันเข้าสู่อาณาจักรอวี๋เถียน《于闐 จีน: Godan/Khotan โกตาน》และหยุดพักรอเป็นเวลาหนึ่งเดือนจนกระทั่งมีพระบรมราชานุญาตจากจักรพรรดิถังไท่จงให้เข้าต้าถังได้ ท่านจึงเดินทางกลับสู่นครฉางอันในปี พ.ศ. 1188
ท่านเสฺวียนจั้งใช้เวลาในการจาริกรวมสิบหกปีนับตั้งแต่ออกจากด่านอวี้เหมินไปชมพูทวีปจนกระทั่งกลับถึงต้าถัง เมื่อถึงฉางอัน ท่านได้เข้าเฝ้าถวายรายงานแก่จักรพรรดิถังไท่จง ทว่า ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งทุกตำแหน่งในราชสำนักตามพระราชดำริของจักรพรรดิถังไท่จง หากยินยอมจัดทำบันทึกประสบการณ์การเดินทางของท่านถวายต่อจักรพรรดิถังไท่จงจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1189
นั่นคือ “บันทึกต้าถังว่าด้วยดินแดนตะวันตก”《大唐西域記 ต้าถังซีอฺวี้จี้》ซึ่งเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียกลางและอินเดียในยุคกลาง อันทรงคุณค่าชิ้นหนึ่งของโลก และเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่นำทางให้เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham 23 มกราคม พ.ศ. 2357 – 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ค้นพบโบราณสถานหลายแห่งในอินเดีย อาทิ
โอร์โนส (Aornos ป้อมปราการสุดท้ายที่ตั้งขวางเส้นทางเดินทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชก่อนจะเข้าสู่ภาคเหนือของอินเดีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน)
ตักสิลา
สากาละ (Sākala สันสกฤต: साकला เมืองหลวงแห่งอาณาจักรอินโด-กรีกของพระเจ้ามิลินทร์ หรือ เมนันเดอร์ แม่ทัพชาวกรีกมาซีโดเนียผู้ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมอบหมายให้เฝ้าช่องเขาไคเบอร์อันเป็นปากทางจากเอเชียกลางเข้าสู่ภาคเหนือของอินเดีย)
ศฤฆนา (Shrughna นครโบราณที่มีวิหารและมหาสถูปของพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช)
อหิเกษตร (Ahi-Kshetra นครหลวงของแคว้นปัญจาละในปลายยุคพระเวท)
ไพรัต (Bairat หรือ วิรัตนคร เมืองหลวงแห่งแคว้นมัสยาสในยุคพระเวท)
สังกิสสะ (Sankissa เมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับสู่โลกหลังจากเทศนาพระอภิธรรมปิฎกบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์)
สาวัตถี
โกสัมพี
ปัทมาวตี (Padmavati ปัจจุบันคือ เมืองปวายะ รัฐมัธยประเทศ)
ไพศาลี และ นาลันทา
ท่านเสฺวียนจั้งอุทิศสิบเก้าปีของช่วงบั้นปลายชีวิตในการผลักดันงานแปลพระสูตรทั้งฝ่ายมหายานและหีนยานที่อัญเชิญมาจากชมพูทวีปเป็นภาษาจีน โดยเป็นผลงานการแปลของท่านเพียงลำพังถึง 1,330 ชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น แนวความคิดของท่านซึ่งเห็นว่า “ความเป็นจริงทั้งปวงล้วนเกิดจากจิต” ที่ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนานิกายโยคาจาร (योगचार Yogacara) ก็กลายมาเป็นหัวใจของนิกายฝ่าเซียง《法相宗》ที่ท่านก่อตั้งขึ้น
แม้นิกายฝ่าเซียงจะสืบทอดต่อมาไม่นาน แต่แนวความคิดของท่านเสฺวียนจั้งยังปรากฎร่องรอยในคำสอนของพุทธศาสนานิกายต่างๆ ในยุคหลังอย่างกว้างขวาง
เค้าโครงเรื่องของนิยาย “ซีโหยวจี้” อ้างอิงจากเรื่องราวการเดินทางท่านเสฺวียนจั้ง แต่ใช้ชื่อตัวละครเอกเป็น “ถังซานจั้ง”《唐三藏 แต้จิ๋ว: ถังซำจั๋ง》ที่มาจากคำว่า “ซานจั้ง” ซึ่งมีความหมายว่า “ตรีปิฏกาจารย์” อันเป็นสมญานามที่ท่านเสฺวียนจั้งได้รับจากการแสดงภูมิธรรมอันล้ำเลิศในการวิสัชนาธรรมระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในอินเดีย
ในนิยายซีโหยวจี้ พระถังซานจั้งออกจาริกไปชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก โดยได้รับความช่วยเหลือจากพระกวนอิมโพธิสัตว์ในการรับศิษย์ร่วมเดินทาง 4 รูปคือ ซุนอู้คง (ปีศาจลิง แต้จิ๋ว: ซึงหงอคง) จูปาเจี้ย (ปีศาจหมู แต้จิ๋ว: ตือโป๊ยก่าย) ซาเซิง (ปีศาจปลา แต้จิ๋ว: ซัวเจ๋ง) และม้ามังกรขาว (ร่างแปลงของอ๋าวเลี่ย มังกรไฟ) เป็นพาหนะสัตว์ต่าง
ระหว่างการเดินทาง คณะธรรมจาริกต้องต่อสู้กับเหล่าปิศาจมากมายที่พยายามจับตัวพระถังซานจั้งกินด้วยหวังจะบรรลุอมตภาพ แต่ศิษย์อาจารย์ทั้งห้าก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการจนเดินทางไปถึงวัดเหลยอิน《雷音寺》และอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับต้าถัง (จีน)ได้สำเร็จในที่สุด
ชมเส้นทางสู่ชมพูทวีปของท่านเสฺวียนจั้ง
GoogleArtandCulture
ArcGISOnline
ยังมีต่อ
#ซีโหยวจี้ #ไซอิ๋ว
โฆษณา