🇺🇸 นิวยอร์ก–วอชิงตันเฝ้าระวังขั้นสูง! อิหร่านลั่นเป้าหมายคือพลเรือน–ทหารอเมริกัน
📰 US Cities on High Alert After Iran's Threat: NYPD & MPD Deploy Extra Forces Amid Rising Tensions
📍 สถานการณ์ล่าสุด
หลังการโจมตีของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน สถานการณ์ระหว่างประเทศได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กและวอชิงตัน ดี.ซี. ประกาศเข้าสู่ภาวะเฝ้าระวังขั้นสูงสุด พร้อมทั้งเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังพื้นที่เสี่ยง เช่น สถานที่ทางศาสนา จุดสำคัญทางวัฒนธรรม และเขตการทูต
🔹 NYPD (กรมตำรวจแห่งนครนิวยอร์ก) ประกาศผ่าน X ว่า “เรากำลังติดตามสถานการณ์ในอิหร่านอย่างใกล้ชิด” และยืนยันการประสานกับหน่วยงานกลาง
🔹 MPD (กรมตำรวจแห่งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) ก็เช่นกัน ระบุว่าแม้ยังไม่มีภัยคุกคามตรงต่อเมืองหลวง แต่ได้เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
💣 อิหร่านขู่ตอบโต้หนัก – ชาวอเมริกันทุกคนคือ ‘เป้าหมาย’
โทรทัศน์ของรัฐอิหร่านเผยแพร่คำเตือนถึง “พลเรือนและทหารอเมริกันทุกคนในตะวันออกกลาง” ว่าขณะนี้ได้กลายเป็นเป้าหมายโดยชอบธรรม พร้อมเผยแพร่วิดีโอที่ผู้ประกาศข่าวกล่าวหาว่า สหรัฐฯ ละเมิดน่านฟ้าอิหร่านและจะต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่ก่อไว้
🗣️ “ประธานาธิบดีทรัมป์ คุณเป็นผู้เริ่มต้น เราจะเป็นผู้จบมัน” — ผู้ประกาศ IRNA กล่าวอย่างท้าทาย
🌍 วิเคราะห์ผลกระทบต่อสถานการณ์โลกและภูมิรัฐศาสตร์
⚠️ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจปะทุเป็นสงครามตัวแทนระลอกใหม่ และลากพันธมิตรในภูมิภาคอย่างซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล หรือแม้แต่ตุรกี เข้าสู่ความขัดแย้ง
🛑 นอกจากนี้ การเตือนภัยจากสหรัฐฯ ยังสะท้อนความเสี่ยงที่อาจกระทบการเดินทาง การลงทุน และความมั่นคงในระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อมีคำขู่พุ่งตรงไปยังบุคคลทั่วไป ไม่ใช่แค่ทางการ
🇹🇭 วิเคราะห์ผลกระทบต่อประเทศไทย
🌐 ในระยะสั้น ประเทศไทยอาจเผชิญกับ 3 ด้านหลัก
📉 ความผันผวนในราคาน้ำมันดิบโลก ส่งผลต่อต้นทุนขนส่ง
🛫 ความกังวลต่อเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางที่ผ่านตะวันออกกลาง
🏦 การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ที่อาจหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย
📊 ผลกระทบต่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET และ mai)
🔻 หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของน้ำมันและค่าเงินบาท
→ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มผลักดันราคาน้ำมันดิบให้ผันผวนรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นที่มีต้นทุนด้านพลังงานและค่าขนส่งสูง ดังนี้:
– 🛢️ AAV (เอเชีย เอวิเอชั่น)
→ สายการบินต้นทุนต่ำที่มีต้นทุนหลักจากน้ำมันเชื้อเพลิง หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน จะกระทบต้นทุนการดำเนินงานโดยตรง อีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าจะทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันแพงขึ้นอีกเท่าตัว เพราะเป็นธุรกรรมที่ซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐ
– 🛢️ BA (บางกอกแอร์เวย์ส)
→ แม้จะเน้นเส้นทางบินภูมิภาค แต่ลักษณะต้นทุนไม่ต่างจาก AAV มากนัก โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวหลังโควิด ทำให้ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนยังคงสูง
– 🚚 SJWD (เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์)
→ ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรที่ใช้พลังงานในการขนส่งทางรถและคลังสินค้า หากราคาน้ำมันขึ้นต่อเนื่องจะกระทบต้นทุนขนส่งโดยตรง อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเพิ่มต้นทุนในสายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าอุปกรณ์และระบบคลังสินค้า
– 🚛 WICE (ไวส์ โลจิสติกส์)
→ ให้บริการโลจิสติกส์ระดับสากลทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ โดยเฉพาะขนส่งระหว่างประเทศ หากราคาน้ำมันและค่าระวางเรือพุ่ง จะกระทบต้นทุนบริการและอัตรากำไรทันที
– 🚛 SONIC (โซนิค อินเตอร์เฟรท)
→ เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ข้ามแดนและขนส่งระหว่างประเทศผ่านทางทะเล–ทางบกเช่นกัน หากค่าเงินบาทอ่อนและต้นทุนน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง SONIC จะเผชิญแรงกดดันด้านมาร์จิ้นโดยเฉพาะในตลาดส่งออก
📉 ภาพรวม: กลุ่มสายการบินและโลจิสติกส์ล้วนอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบางต่อความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางยืดเยื้อ อาจฉุดกำไรในไตรมาสถัดไปและกดดันราคาหุ้นในระยะสั้นถึงกลางได้อย่างมีนัยสำคัญ
🔻 หุ้นท่องเที่ยวที่อาจถูกกระทบจากความหวาดกลัวทั่วโลก
→ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ–อิหร่านที่ทวีความตึงเครียด อาจจุดชนวนความหวาดกลัวระดับโลก โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแผนเดินทางข้ามทวีป ซึ่งอาจชะลอการเดินทาง ส่งผลกระทบต่อหุ้นท่องเที่ยวที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศ ดังนี้:
– 🏨 MINT (ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล)
→ ดำเนินธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์แบรนด์ระดับโลก โดยมีพอร์ตโรงแรมอยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย หากนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเหล่านี้ชะลอการเดินทางเพราะกังวลสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) และอัตราการเข้าพักในบางภูมิภาคอาจลดลง อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางที่นิยมเดินทางมาไทย อาจหายไปช่วงหนึ่ง
– 🏨 ERW (ดิ เอราวัณ กรุ๊ป)
→ โฟกัสตลาดโรงแรมในประเทศไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลาง–ล่าง หากกระแสข่าวความไม่ปลอดภัยทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลังเล จะกระทบ occupancy rate ของโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 3–4
– 🛫 AOT (ท่าอากาศยานไทย)
→ รายได้หลักของ AOT มาจากค่าธรรมเนียมสนามบิน และธุรกิจเชิงพาณิชย์ในสนามบิน หากปริมาณนักท่องเที่ยวและเที่ยวบินระหว่างประเทศลดลงจากความกังวลภัยคุกคามทางความมั่นคง รายได้ต่อผู้โดยสาร (PAX Revenue) จะถูกกดดันโดยตรง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากหรือผ่านตะวันออกกลางและยุโรป
📉 สรุปภาพรวม: หากความหวาดกลัวต่อภัยก่อการร้ายหรือสงครามลุกลาม นักลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวควรจับตาว่าความไม่แน่นอนนี้จะกระทบแผนเดินทางในระดับโลกมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้ไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวปะทะโดยตรง แต่การเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมก็ทำให้เสี่ยงต่อการชะลอการเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
🟦 หุ้นกลุ่มทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัย
– 💰 YLG Bullion (ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีบทบาท)
→ เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการค้าทองคำแท่งในไทย มีอิทธิพลในการกำหนดราคาขาย–รับซื้อทองคำ หากราคาทองคำโลกปรับตัวสูงขึ้น บริษัทประเภทนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางอุตสาหกรรม
– 💰 THGOLD (บริษัท ไทย โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) (แม้ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีอิทธิพลในตลาดทอง)
→ ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองในประเทศ ซึ่งหากราคาทองคำโลกปรับตัวสูงขึ้นในช่วงความเสี่ยงพุ่งสูง บริษัทในกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
– 💰 MTC (เมืองไทย แคปปิตอล)
→ แม้จะไม่เกี่ยวกับทองคำโดยตรง แต่ดำเนินธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถและจำนำทรัพย์ ซึ่งรวมถึงทองคำในบางกรณีในเชิงหลักประกัน ทำให้ถูกมองเป็นหนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนบางกลุ่มจัดให้อยู่ในกลุ่ม "ปลอดภัยกว่า" เมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงสูง
– 💰 SAWAD (ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น)
→ บริษัทสินเชื่อแบบมีทรัพย์ค้ำประกันคล้าย MTC โดยลูกค้าบางกลุ่มใช้ทองคำหรือทรัพย์สินมีค่าอื่นเป็นหลักค้ำ อาจได้ประโยชน์จากความต้องการเงินสดในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน และสินทรัพย์อย่างทองคำมีมูลค่าสูงขึ้น จึงเพิ่มโอกาสในการปล่อยกู้มากขึ้น
🟠 กลุ่มความมั่นคงปลอดภัยและไอทีอัจฉริยะ
→ ความไม่มั่นคงระหว่างประเทศที่ปะทุขึ้นจากกรณีอิหร่าน–สหรัฐฯ อาจเร่งให้ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกลงทุนในระบบป้องกันภัย ระบบตรวจจับ และโซลูชันอัจฉริยะมากขึ้น ซึ่งหุ้นไทยบางตัวในกลุ่มนี้อาจได้อานิสงส์ในระยะกลาง–ยาว โดยเฉพาะหากมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมความปลอดภัยในสนามบิน ห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่สาธารณะ:
– 🛡️ HARN (หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์)
→ บริษัทดำเนินธุรกิจระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ระบบควบคุมอาคารอัจฉริยะ (Building Automation), ระบบทำความเย็นในอุตสาหกรรม และเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย หากองค์กรรัฐหรือเอกชนในไทยเร่งอัปเกรดระบบความปลอดภัย เช่น กล้องตรวจจับอัจฉริยะ ระบบแจ้งเตือน หรือควบคุมการเข้า–ออกในอาคารสำคัญ HARN จะมีโอกาสรับงานโครงการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอาคารราชการ ท่าอากาศยาน และโครงสร้างพื้นฐาน
– 🤖 SVT (สมาร์ทแวลู เทคโนโลยี)
→ แม้ธุรกิจหลักคือเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) แต่บริษัทได้ขยายขอบเขตไปยังโซลูชัน IoT และระบบ Smart Surveillance บางส่วน หากเกิดความต้องการติดตั้งระบบอัตโนมัติ–อัจฉริยะในพื้นที่เสี่ยง เช่น สถานีขนส่ง ห้าง หรือสนามบิน อาจเปิดทางให้บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มร่วมกับพาร์ตเนอร์ใน ecosystem ได้ โดยเฉพาะด้าน AI และอุปกรณ์อัจฉริยะที่ควบคุมผ่าน cloud หรือ edge computing
🔎 หมายเหตุ: SVT ยังอยู่ในช่วงปรับโมเดลธุรกิจให้ครอบคลุมเทคโนโลยีอัจฉริยะมากขึ้น หากสามารถ reposition จาก vending ไปสู่ platform automation ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็มีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทรนด์ความมั่นคงระยะยาว
📈 บทสรุป: แม้จะยังไม่ใช่ “ดาวเด่น” ในช่วงวิกฤต แต่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี–ความปลอดภัยที่มีรากฐานทางวิศวกรรมแข็งแรงและพร้อมปรับตัวกับโจทย์ยุคใหม่ อาจกลายเป็นผู้รับประโยชน์จากนโยบายลงทุนเพื่อความมั่นคงทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคตอันใกล้
🔮 มิติอื่นที่ควรจับตาเพิ่มเติม
→ แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศโดยตรง แต่ก็สั่นสะเทือนในหลายมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งควรจับตาอย่างรอบด้าน ดังนี้:
📌 แรงกดดันต่อสหรัฐฯ จากพันธมิตร NATO และองค์กรสิทธิมนุษยชน
→ การโจมตีหรือปะทะข้ามพรมแดนของสหรัฐฯ มักเผชิญแรงวิจารณ์จากพันธมิตรที่ต้องการหลีกเลี่ยงสงครามเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ที่เน้นเสถียรภาพและการเจรจามากกว่าการใช้กำลัง นอกจากนี้ องค์กรอย่าง Amnesty International หรือ Human Rights Watch อาจออกแถลงการณ์หรือกดดันทางจริยธรรมเพิ่มเติม หากเกิดความสูญเสียต่อพลเรือนหรือมีหลักฐานการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
📌 การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในสหรัฐฯ อาจกลายเป็นสนามความขัดแย้งเชิงนโยบายระหว่างพรรค
→ เหตุการณ์นี้อาจถูกนำไปขยายผลเป็น “ประเด็นการหาเสียง” โดยเฉพาะจากพรรครีพับลิกันที่เน้นความแข็งกร้าวด้านนโยบายต่างประเทศ ขณะที่พรรคเดโมแครตอาจชูเรื่องสิทธิมนุษยชนและการป้องกันสงคราม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและประชาชนสายกลาง การเมืองภายในจึงยิ่งตึงเครียดและอาจทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ เข้มข้นหรือแปรผันมากขึ้น
📌 การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะในสินค้านำเข้า
→ ผู้บริโภคทั่วโลกอาจระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นในภาวะที่เกิดสงครามหรือความเสี่ยงจากการเดินทาง ส่งผลให้สินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องสำอาง แฟชั่น หรือสินค้าไฮเทคจากต่างประเทศ อาจมียอดขายลดลง โดยเฉพาะในตลาดที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน
ในประเทศไทยเอง ผู้ประกอบการที่พึ่งพาสินค้านำเข้า เช่น วัตถุดิบอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาและต้นทุนอย่างเร่งด่วน
📍 สรุป:
เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการเผชิญหน้าเชิงทหารเท่านั้น แต่เป็นเสมือน “โดมิโน” ที่สะเทือนทุกด้านของโลกยุคปัจจุบัน — จากการทูต เศรษฐกิจ นโยบาย ไปจนถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนธรรมดาทั่วไป ทั้งในประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงและประเทศที่อ่อนไหวทางเศรษฐกิจอย่างไทยด้วยเช่นกัน
💬 แล้วคุณล่ะ คิดว่าความตึงเครียดนี้จะจบลงอย่างไร?
หรือจะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ?
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณด้านล่าง — เพราะทุกมุมมองของคุณสำคัญในการเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวันค่ะ!
📌 Hashtags ที่เกี่ยวข้อง:
#USvsIran #SuperpowerStage #GeopoliticalTensions #NYPDAlert #TrumpIran #ภัยความมั่นคงโลก #หุ้นไทยระส่ำ #WorldScopeNews
📰 Reference: News9Live
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
