26 มิ.ย. เวลา 06:24 • การเมือง
มหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์

ปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในโลกที่เล็กลง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนกลับไทย ผมได้มีโอกาสไปแข่ง MUN รายการ SMUN (Singapore Model United Nations) ที่จัดโดยคณะรัฐศาสตร์ของ NUS
โดยทางผู้จัดก็ได้เชิญ Dr. Kishore Mahbubani ที่เป็นนักการทูตชาวสิงคโปร์ที่เคยก้าวไปสู่จุดสูงสุดของเส้นทางอาชีพองค์กรระหว่างประเทศ ด้วยการเป็นประธาน UNSC หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี 2001-2002
แต่แทนที่จะอวดอ้างผลงานที่ท่านทำมา ท่านกลับเริ่มเข้าประเด็นโดยการเปรียบเทียบว่าโลกเรานั้นต่างจากหลายสิบปีก่อนเป็นอย่างมาก
ถ้าเปรียบโลกเป็นทะเลอันแสนกว้างใหญ่ เมื่อก่อนโลกเราก็เต็มไปด้วยเรือหลากหลายลำ ที่ถึงแม้บางทีอาจจะแล่นมาชนกันหรือจอดเพื่อค้าขายกันบ้าง แต่ก็ยังคงแยกจากกันเป็นเอกเทศ เมื่อเรือลำหนึ่งล่ม เรือส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับผลกระทบหนัก
แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์ ลมแห่งความก้าวหน้าเหล่านี้ได้พัดพาให้เรือทั้งใหญ่และเล็กมาใกล้ๆ กัน และก็เริ่มผสานรวมกันกลายเป็นเรือขนาดมหึมา
193 เรือลำกลับหลอมรวมมาเป็นเรือที่มี 193 ห้องผู้โดยสารขนาดแตกต่างกันไป ทะเลแห่งโลกาที่เมื่อก่อนแต่ละประเทศเคยมีเรือเป็นของตัวเองนั้นได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
ทุกห้องมีกัปตันของแต่ละห้องคอยควบคุมและดูแลสภาพห้องของตัวเอง ดีหรือแย่ขึ้นอยู่กับความสามารถ แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องหนึ่งก็จะทำให้ทั้งลำได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย
เพื่อที่จะเห็นภาพให้ชัดขึ้นอีก ตอนที่ห้องหนึ่งติดโควิด สุดท้ายทั้งลำก็ติดตามไปด้วย
แต่ท่านพูดว่าสิ่งที่พิเศษของเรือลำนี้คือ ถึงแม้เรือนี้จะมีกัปตันประจำห้องมากมาย แต่กลับไม่มีกัปตันประจำเรือที่ดูแลทั้งลำให้เคลื่อนไปทิศทางที่ถูกต้อง
และนี่คือเหตุผลว่าทำไม สถาบันการปกครองโลก เช่น สหประชาชาติ (UN) จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในวันที่โลกต้องการ UN มากที่สุด มันกลับกลายเป็นสถาบันที่อ่อนแอลงทั้งในเชิงอำนาจและความสามารถ
โดยเฉพาะในวันนี้ เมื่อกัปตันของบางห้องเริ่มอยากทำลายเรือนี้ ทั้งที่มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษยชาติยังไม่จมลงไปใต้สมุทร ท่านบอกว่าสาเหตุมันเกิดมาจากปัจจัยหนึ่งที่เคียงคู่กับมนุษยชาติมานานไม่แพ้กัน ซึ่งก็คือ ภูมิรัฐศาสตร์
โลกยุคใหม่ของภูมิรัฐศาสตร์:
หลายคนชอบบอกว่าสหรัฐอเมริกาหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ลงจากตำแหน่ง อเมริกาและโลกก็จะกลับไปค้าขายและมีความสัมพันธ์ที่เป็นเหมือนเดิม แต่ท่านไม่คิดเช่นนั้น
การเมืองโลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างไม่มีทางหวนกลับ และทรัมป์แค่เป็นคนที่ส่องไฟขึ้นไปบนเวทีเพื่อให้คนทั้งโลกได้เห็นความจริงนี้
ดอกเตอร์ท่านเน้นย้ำว่า ตั้งแต่หลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้ UN อ่อนแอลง เริ่มจากสมัยประธานาธิบดีเรแกนที่ถอนตัวจาก UNESCO และในสมัยประธานาธิบดีบุชที่พยายามลดบทบาทของ UN ในเวทีโลกช่วงสงครามอิรัก
เหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านี้ที่ท่านได้รับฟังมาจากปากของผู้แทนสหรัฐก็คือ เพราะ UN เป็นเวทีที่ประเทศเล็กมีเสียง และมีการจำกัดอำนาจของประเทศใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ
นี้คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังจ้องจะลดบทบาทของ UN ยิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าอธิบายผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์ โลกตอนนี้มีอุปสงค์ต่อ UN ที่มีประสิทธิภาพอยู่สูงมาก แต่อุปทานนั้นกลับน้อยลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ท่านจบประเด็นนี้โดยเสนอว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ตอนนี้ยังเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุด ถูกควบคุมโดย 5 ชาติมหาอำนาจยุคเก่า (US, China, Russia, UK, France) Great Powers of yesterday และควรหลีกทางให้ Great Powers of tomorrow อย่าง อินเดีย และ บราซิล ให้ได้รับบทบาทมากขึ้น
การเเข่งขันของสองชาติมหาอํานาจที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์:
คำพูดที่ตราตรึงผมที่สุดจากการพูดครั้งนี้คือการที่ท่านอยากอยู่ต่ออีกสัก 20 ปี เพื่อที่จะเห็นการแข่งขันขึ้นเป็นเจ้าโลกของสองมหาอำนาจที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
จากมุมของท่านที่ทำงานกับ UN ถึงแม้สหรัฐจะยังคงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มหันหลังให้องค์กรระหว่างประเทศ สิ่งที่น่าสนใจคือ จีน กำลังเสริมบทบาทในองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้จีนคือประเทศที่ส่งกำลังทหารให้ UN มากที่สุดในโลก แต่พฤติกรรมของจีนอาจจะเปลี่ยนไปหากในอนาคตพวกเขาขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ส่วนโลกตะวันตกนอกจากสหรัฐ ก็ต้องเริ่มปรับนโยบายของตัวเอง
ยุโรปที่ผู้นำส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นใน พหุภาคีนิยม (Multilateralism) อาจมีบทบาทสำคัญในอนาคตเพื่อช่วยถ่วงดุลความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐ
บทบาทของ ASEAN และองค์กรระหว่างภูมิภาคในอนาคต:
และสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคือ เมื่อท่านกล่าวว่า อาเซียน นั้นทำหน้าที่ได้ดีกว่า EU เสียอีก
จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะนอกจากสิงคโปร์ก็แทบไม่มีประเทศไหนในอาเซียนที่จะ GDP ต่อหัวเทียบเท่าประเทศใน EU ได้เลย แต่ก่อนที่จะคิดเช่นนั้น ลองมาดูเหตุผลกันหน่อย
ในวันที่โลกกำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง องค์กรระดับภูมิภาคหลายแห่งต่างประสบปัญหาทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
European Union (EU) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกเป็นแบบอย่างของความร่วมมือทางภูมิภาค ก็ยังไม่อาจป้องกันสงครามในยูเครนได้
แต่อาเซียนกลับยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งในองค์กรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ด้วยการรักษาสันติภาพระหว่างประเทศสมาชิกได้ยาวนานถึง 48 ปี และยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางขาลงของโลกาภิวัตน์ ASEAN กลับเลือกเดินหมากสวนทาง ด้วยการเดินหน้าเจรจาลดภาษีในเวทีประชุมอาเซียนล่าสุดที่กัวลาลัมเปอร์ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและเปิดโอกาสให้การค้า การลงทุนยังดำเนินต่อไปได้อย่างเสรี
นี่คือการแสดงให้เห็นถึง วุฒิภาวะทางการทูต และความเข้าใจใน ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ลึกซึ้งขององค์กรระหว่างประเทศแห่งนี้ ซึ่งหาได้ยากในเวทีโลกปัจจุบัน
นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของดอกเตอร์ ท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็สุดเเล้วเเต่ท่าน ส่วนตัวผมก็มีคําตอบในใจเหมือนกันเเต่สิ่งที่สําคัญที่สุดคือเราจะพัฒนาไทยเเละอาเซียนต่อไปได้อย่างไร
มองโลกมองไทย:
ประเทศไทยเองได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจาก ASEAN ทั้งในแง่ การค้า การลงทุน และ ความมั่นคงทางการเมือง อาเซียนคือเวทีที่เปิดโอกาสให้ไทยได้เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านอย่างลึกซึ้ง และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
แต่น่าเศร้าใจที่ถึงแม้องค์กรนี้จะถูกก่อตั้งที่กรุงเทพฯ ผ่าน Bangkok Declaration ในปี ค.ศ. 1967 แต่กลับพบว่าคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ยังมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนค่อนข้างน้อย เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ศึกษาอาเซียนอย่างจริงจัง และใช้ประโยชน์จากเวทีนี้อย่างเต็มที่
ในโลกยุคใหม่ที่องค์กรระดับโลกอย่าง UN กำลังอ่อนแอลง ยิ่งจะทำให้บทบาทขององค์กรภูมิภาคยิ่งสำคัญขึ้น ในบริบทนี้ อาเซียน จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติไทย หากคนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจ โครงสร้าง กลไก และ ความสามารถ ของอาเซียน ไทยอาจถูกเบียดบังผลประโยชน์ได้ง่ายๆ บนโต๊ะเจรจาระดับภูมิภาค จากการทำงานของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพที่ได้รับเลือกเข้าไป
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่คนไทยรุ่นใหม่ควรลุกขึ้นมา ทำความเข้าใจอาเซียนอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปลือก ไม่ใช่เพียงเพื่อความรู้ แต่เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนผลประโยชน์ของชาติไทยในอนาคต ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
เพราะอาเซียนคือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ไทยมีในการรักษาเสถียรภาพและสร้างความมั่งคั่ง และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราตระหนักถึงความสำคัญ และพร้อมจะลงมือเรียนรู้
โณ่สนโณ่เเคร์ รายงาน
วันที่ 26 มิถุนายน 2568
ฉบับเเก้ไขจากบทความต้นฉบับวันที่ 11 มิถุนายน
โฆษณา