4 ก.ค. เวลา 04:48 • ข่าวรอบโลก

💥 บิล "สุดสวย" ของทรัมป์ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์: ใครได้ ใครเสีย แรงสะเทือนที่โลกต้องจับตา

Trump’s $4.5 Trillion ‘Big Beautiful Bill’: Winners, Losers, and the Shockwaves to Come
📌 เปิดฉาก: บิลพลิกโลกของทรัมป์
เมื่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมาย “Big Beautiful Bill” มูลค่า $4.5 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลกระทบที่ตามมาไม่ได้หยุดแค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่แรงสะเทือนจากนโยบายนี้ส่งต่อถึงนักลงทุนทั่วโลก – รวมถึงในไทยด้วย
นี่คือกฎหมายที่อาจเปลี่ยนสมการภาษี แรงจูงใจการลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง ทั้งผู้ชนะและผู้พ่ายจะปรากฏชัดในทุกมิติ
💼 📈 ใครคือผู้ชนะ? – ชัดเจนและมั่นคง
✨ นักธุรกิจรายใหญ่และรายย่อยในสหรัฐฯ
กฎหมายนี้ทำให้มาตรการลดภาษีถาวรจากปี 2017 กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ:
— 📌 ลดภาษีนิติบุคคลแบบถาวร
— 📌 คืนสิทธิ์หักค่าใช้จ่าย R&D เต็มจำนวนในปีที่เกิดขึ้น
— 📌 ให้เครดิตภาษีพิเศษแก่ธุรกิจผลิตชิปภายในประเทศ
💡 สะเทือนหุ้นไทยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่างไร?
แม้ดูเหมือนเป็นการกระตุ้นในฝั่งสหรัฐฯ แต่ “การแข่งขันรุนแรงขึ้น” คือสิ่งที่ผู้เล่นไทยต้องเผชิญ
▶️ หุ้นที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบ เช่น
— ⚙️ HANA (ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส) และ KCE (เคซีอี อีเลคโทรนิคส์) ซึ่งมีฐานการผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ อาจเผชิญแรงกดดันด้านราคาและนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตท้องถิ่นของสหรัฐฯ
📍 นักลงทุนต้องจับตาว่าภาคอุตสาหกรรมชิปไทยจะเร่งนวัตกรรมหรือโยกย้ายฐานการผลิตอย่างไรเพื่อปรับตัว
🏠 💰 ผู้มีรายได้สูงในสหรัฐฯ และเจ้าของบ้านในรัฐภาษีสูง
กลุ่มคนรวยและเจ้าของบ้านจะได้ประโยชน์ชัดเจนจากการเพิ่มเพดานหักค่าใช้จ่ายภาษีท้องถิ่น (SALT)
— ครัวเรือนรายได้ < $500,000 สามารถหักได้ถึง $40,000
🔎 สัญญาณบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ – และหุ้นไทยที่เกี่ยวข้อง
— 🏗️ หุ้น AMATA (อมตะ คอร์ปอเรชัน) และ WHART (ทรัสต์ฯ ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท) ที่มี exposure ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ อาจได้รับแรงบวกจากการฟื้นตัวของดีมานด์ในสหรัฐฯ
🏢 ขณะที่ TPIPL (ทีพีไอ โพลีน) และ SCC (ปูนซิเมนต์ไทย) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ อาจได้รับอานิสงส์ทางอ้อม หากโครงการลงทุนภายในสหรัฐฯ กลับมาบูม รวมถึง TOA (ทีโอเอ เพ้นท์) ที่อาจได้แรงหนุนจากความต้องการวัสดุตกแต่งอาคารในตลาดส่งออก
👥 💸 แรงงานรับทิป-โอที และผู้สูงอายุ
ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในสหรัฐฯ อาจได้สิทธิหักลดหย่อนรายได้สูงสุด $25,000 สำหรับทิป และ $12,500 สำหรับโอที
— ผู้สูงวัยยังได้หักลดหย่อน Social Security เพิ่มอีก $6,000
🎯 แม้ไม่กระทบตรงกับไทย แต่ส่งสัญญาณว่า “การบริโภคในกลุ่มแรงงานบริการ” ของสหรัฐฯ อาจฟื้นตัวได้ไว ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดส่งออกของไทย
▶️ หุ้นที่อาจได้แรงบวก เช่น
— 🍤 TU (ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป) และ CPF (เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) ที่ส่งออกอาหารทะเลและเนื้อสัตว์
— 🥤 OSP (โอสถสภา) และ ICHI (อิชิตัน กรุ๊ป) ที่มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในกลุ่มตลาดเอเชีย-อเมริกา
🌏 📉 แล้ว NRI (ชาวอินเดียที่อยู่ต่างประเทศ) และต่างชาติในสหรัฐฯ ล่ะ?
🔻 สำหรับชาวต่างชาติรวมถึงผู้ถือวีซ่า H-1B, H-2A,หรือ Green Card – รัฐบาลทรัมป์เตรียมเก็บ “ภาษีโอนเงินกลับประเทศ” 1%
— แต่หากโอนผ่านบัญชีธนาคาร/บัตรเครดิตยังรอดจากภาษีนี้
🇹🇭 ไทยอาจได้รับผลกระทบเชิงพฤติกรรมจากกลุ่มแรงงานในสหรัฐฯ ที่อาจระวังการโอนเงินกลับไทยมากขึ้น
▶️ หุ้นที่ควรจับตา ได้แก่
— 🏦 SCB (เอสซีบี เอกซ์), KTB (ธนาคารกรุงไทย) และ TISCO (ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป) ที่มีผลิตภัณฑ์รองรับการโอนเงินข้ามประเทศ
— 📲 WSOL (ดับบลิว เอส โอ แอล) ที่มีแพลตฟอร์ม fintech และระบบการโอนเงินดิจิทัล
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่แพลตฟอร์มการเงินไทยอาจต้องเข้าถึง “NRI remittance solutions” อย่างเร่งด่วน
🚫 ใครบ้างที่เป็นผู้แพ้? – ผลข้างเคียงของ "ความสวยงาม"
🔻 กลุ่มรายได้น้อยในสหรัฐฯ
การตัดงบ Medicaid และ SNAP อาจทำให้คนกว่า 12 ล้านคนตกหล่นจากระบบประกันสุขภาพ
— รายได้ต่ำกว่า $18,000 จะหายไปเฉลี่ย $165/ปี
🏥 โรงพยาบาลและระบบสุขภาพสหรัฐฯ
หลายแห่งโดยเฉพาะโรงพยาบาลชนบทและผู้ดูแลผู้มีรายได้น้อย จะต้องรับภาระ "คนไข้ไม่มีประกัน" มากขึ้นจากงบ Medicaid ที่ลดลง
🔎 หุ้นไทยกลุ่มโรงพยาบาลมีสิทธิได้แรงบวกหรือไม่?
แม้เป็นปัจจัยนอกภูมิภาค แต่การลดคุณภาพบริการในสหรัฐฯ อาจทำให้ผู้ป่วยในเอเชียมองหาทางเลือกในภูมิภาค
▶️ หุ้นที่อาจได้แรงซื้อจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ได้แก่
— 🏥 BDMS (กรุงเทพดุสิตเวชการ), BH (โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์) และ PR9 (โรงพยาบาลพระรามเก้า) ที่มีสัดส่วนรายได้ต่างชาติสูง
🌱 พลังงานสะอาด และ EV เสียเปรียบ
แม้จะไม่มีภาษีใหม่ แต่เครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาดและ EV จะสิ้นสุดในปี 2025
— ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีสิทธิ์รับเครดิต $7,500 หลังเดือนกันยายนปีหน้า
⚠️ สำหรับหุ้นไทย
▶️ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก Demand ที่อาจชะลอในตลาดโลก เช่น
— 🔋 EA (พลังงานบริสุทธิ์) และ GPSC (โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่)
— 🚙 NEX (เน็กซ์ พอยท์) และ KCE (ที่ผลิตชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ EV)
ต้องจับตาการวางกลยุทธ์ “ไม่ขึ้นอยู่กับอเมริกา” และหาตลาดใหม่ เช่น ASEAN และจีน
📊 หนี้สาธารณะพุ่งแรง – เสี่ยงดอกเบี้ยสูง
การเพิ่มหนี้ $3.2–$3.4 ล้านล้านใน 10 ปีข้างหน้า อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้น
— ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก รวมถึงไทย อาจสูงขึ้นตาม
▶️ หุ้นที่มีภาระหนี้สูง เช่น
— 🏗️ STECON (สเตคอน กรุ๊ป) และ CK (ช.การช่าง)
— 📦 SJWD (เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์) ที่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาจเจอแรงกดดันจากต้นทุนดอกเบี้ย
💬 บทสรุป: โลกหลังบิลทรัมป์ – ไทยพร้อมรับมือหรือยัง?
"Big Beautiful Bill" อาจฟังดูไกลตัว แต่แรงกระเพื่อมของมันส่งถึงไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่การเปลี่ยนพฤติกรรมการโอนเงินของแรงงานไทยในสหรัฐฯ ไปจนถึงอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวตามการแข่งขันของโลกใหม่ที่สร้างโดยนโยบายการเงินสหรัฐฯ
💡 คุณคิดว่าผลกระทบที่ไทยจะได้รับจากบิลนี้คืออะไร?
💬 หุ้นไทยตัวไหนจะรุ่ง หรือร่วง?
🇺🇸 และโลกที่ทรัมป์ออกแบบใหม่นั้น มีที่ยืนของไทยหรือไม่?
📣 แชร์ความคิดเห็นของคุณกับเราได้เลยในคอมเมนต์นะคะ!
🏷️ Hashtags ที่เกี่ยวข้อง:
#BigBeautifulBill #TrumpEconomy #USPolicyImpact #RemittanceTax #EVcredits #TaxCutsAndJobs #หุ้นไทย #SET #เศรษฐกิจโลก #BattleOfEconomies #ซีรีส์ศึกโลกเศรษฐกิจ #WorldScopeAnalysis #ลงทุนให้รอบโลก
📚 Reference:
Financial Express – NRIs to big business – Gainers and losers of Trump’s $4.5 trillion Big Beautiful Bill

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา