10 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

Patch Adams เมื่อเสียงหัวเราะ คือยาขนานเอก

วันนี้อยากจะพาทุกคนย้อนกลับไปดูภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่อยู่ในใจใครหลายคนอย่าง "Patch Adams" (1998) ที่นำแสดงโดยนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง Robin Williams
หลายคนคงจำภาพของคุณหมอแพทช์ที่สวมจมูกตัวตลกสีแดง พร้อมกับแนวคิดการรักษาที่ "แปลก" ในสายตาของวงการแพทย์ยุคนั้นได้เป็นอย่างดี นั่นคือการใช้เสียงหัวเราะและความสัมพันธ์ฉันมิตรเป็นเครื่องมือในการเยียวยาผู้ป่วย
คำถามที่ผมในฐานะเภสัชกรตั้งขึ้นในใจเสมอเมื่อดูหนังเรื่องนี้คือ... แล้วยาที่จับต้องได้ในขวดล่ะ ไม่สำคัญแล้วหรือ? และ สิ่งที่แพทช์ทำ มันเป็นแค่เรื่องสวยงามในหนัง หรือมีหลักการทางวิทยาศาสตร์มารองรับจริงๆ?
บทความนี้ ผมจะพาทุกท่านไปถอดรหัสปรัชญาของแพทช์ อดัมส์ มาดูกันครับว่ายาใจที่แพทช์มอบให้กับผู้ป่วยนั้น ทรงพลังขนาดไหน และมันทำงานร่วมกับยาจริงที่เราได้รับจากโรงพยาบาลได้อย่างไร
เครดิตภาพจากภาพยนตร์ Patch Adams (1998)
มีฉากหนึ่งที่ผมจำได้ขึ้นใจ คือตอนที่แพทช์ อดัมส์ ในฐานะนักศึกษาแพทย์ แอบเข้าไปในหอผู้ป่วยและพยายามทำความรู้จักกับคนไข้ เขาไม่ได้ถามว่า "คุณเป็นโรคอะไร" แต่เขาถามว่า "คุณชื่ออะไร" ในขณะที่คณบดีและแพทย์ท่านอื่นๆ มองว่านี่คือการทำผิดกฎ เพราะนักศึกษาแพทย์ปีแรกๆ ยังไม่มีสิทธิ์พบผู้ป่วย
ฉากนี้สะท้อนหัวใจสำคัญที่วงการแพทย์ยุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม หรือ การดูแลโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
ในมุมของเภสัชกร เรื่องนี้สำคัญมากครับ การจ่ายยาไม่ใช่แค่การหยิบยาตามใบสั่งแพทย์แล้วบอกว่า "ทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร" แต่เบื้องหลังนั้น เราต้องเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้าเรา
🤔 เขาใช้ชีวิตอย่างไร? (คนไข้ที่ทำงานเป็นกะ อาจลืมทานยาตรงเวลา)
🤔 เขามีความเชื่ออะไร? (บางคนอาจกลัวผลข้างเคียงจากคำบอกเล่า จนไม่กล้าทานยา)
🤔 เขามีความกังวลอะไรซ่อนอยู่? (ผู้ป่วยซึมเศร้าอาจไม่มีแรงใจที่จะทานยาให้ครบ)
การที่แพทช์พยายามทำความเข้าใจชื่อและความเป็นตัวตนของผู้ป่วย ก็เหมือนกับการที่เภสัชกรซักประวัติและพูดคุยกับคนไข้นั่นแหละครับ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราสามารถให้คำแนะนำการใช้ยาที่เหมาะสมกับคนคนนั้นได้จริงๆ ไม่ใช่แค่รักษาโรคตามตำราเพียงอย่างเดียว
เครดิตภาพจากภาพยนตร์ Patch Adams (1998)
มาถึงประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่อง เสียงหัวเราะรักษาโรคได้จริงหรือ?
คำตอบทางวิทยาศาสตร์คือ "ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด" ครับ
เสียงหัวเราะไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือกำจัดเซลล์มะเร็งได้โดยตรงเหมือนยาปฏิชีวนะหรือยาเคมีบำบัด แต่สิ่งที่แพทช์ทำโดยไม่รู้ตัว (ในหนัง) คือการกระตุ้นกลไกทางชีวเคมีที่ทรงพลังในร่างกายของผู้ป่วย
เมื่อเราหัวเราะอย่างมีความสุข ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ครับ
⭐️ หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) เป็นสารสื่อประสาทที่ถูกขนานนามว่า "สารแห่งความสุข" มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนอ่อนๆ ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้รู้สึกดีขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการหัวเราะถึงช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังบางชนิดได้
⭐️ ลดฮอร์โมนความเครียด ระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) จะลดลง ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้เมื่อมีมากเกินไปจะกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
1
⭐️ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการหัวเราะสามารถเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด เช่น T-cells และ Natural Killer (NK) cells ซึ่งเป็นทหารด่านหน้าในการต่อสู้กับเชื้อโรคและเซลล์ที่ผิดปกติ
พูดง่ายๆ ก็คือ เสียงหัวเราะเป็นเหมือนยาเสริมที่ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้พร้อมต่อสู้กับโรค และตอบสนองต่อการรักษาหลักได้ดีขึ้น มันคือการทำงานร่วมกันระหว่าง "ยาใจ" และ "ยาจริง" นั่นเองครับ
ปรากฏการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo Effect) ซึ่งพลังของความเชื่อและความคาดหวังในแง่บวก สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทำให้อาการดีขึ้นได้จริงๆ การที่แพทช์สร้างบรรยากาศเชิงบวก ก็เหมือนการสร้าง Placebo ที่ทรงพลังที่สุดให้กับคนไข้ของเขา
เครดิตภาพจากภาพยนตร์ Patch Adams (1998)
อีกฉากที่น่าประทับใจคือตอนที่แพทช์ทำตามความฝันสุดท้ายของผู้ป่วยหญิงชราคนหนึ่งที่อยากจะลงไปว่ายในสระที่เต็มไปด้วยเส้นบะหมี่... แม้มันจะดูไร้สาระในสายตาคนอื่น แต่มันคือการเติมเต็มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย
ในทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Palliative Care) หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป้าหมายสูงสุดอาจไม่ใช่การรักษาให้หายขาดเสมอไป แต่เป็นการทำให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่มีคุณภาพมากที่สุด
ยาหลายชนิดที่เภสัชกรจ่ายไปในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ ก็มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอาการ บรรเทาความเจ็บปวด ลดผลข้างเคียง เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด การกระทำของแพทช์จึงสอดคล้องกับหลักการนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เขามองว่าความสุขทางใจก็เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการไม่มีอาการเจ็บปวดทางกาย
เครดิตภาพจากภาพยนตร์ Patch Adams (1998)
ในฐานะเภสัชกร ผมขอยืนยันว่ายาที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างยาวนานยังคงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและขาดไม่ได้ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ เราไม่สามารถใช้เสียงหัวเราะรักษาอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือใช้ความเห็นใจเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
แต่ภาพยนตร์เรื่อง Patch Adams ก็ได้ย้ำเตือนบทเรียนที่สำคัญแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รวมถึงตัวผู้ป่วยและญาติเองด้วยว่าการรักษานั้นมีความหมายกว้างกว่าแค่การให้ยา
มันคือการมองลึกลงไปในความเป็นมนุษย์ คือการสื่อสาร คือการรับฟัง คือการสร้างความหวัง และการมอบรอยยิ้ม สิ่งเหล่านี้อาจไม่มีระบุในฉลากยา แต่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ยาจริงออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
เพราะบางที การรักษาที่ดีที่สุดอาจเริ่มต้นขึ้นจากบทสนทนาเล็กๆ และความเข้าอกเข้าใจ เหมือนที่คุณหมอแพทช์ อดัมส์ ได้แสดงให้เราเห็นมาแล้วตลอดทั้งเรื่องนั่นเองครับ
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าอะไรคือ "ยา" ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ?
แหล่งอ้างอิง:
1. ภาพยนตร์ Patch Adams (1998), Directed by Tom Shadyac.
2. Bennett, M. P., & Lengacher, C. (2008). Humor and Laughter May Influence Health: III. Laughter and Health Outcomes. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 5(1), 37–40.
1
3. Mayo Clinic Staff. (2021). Stress relief from laughter? It's no joke. Mayo Clinic.
โฆษณา