☦️Philosophy of Mu☦️

(ปรัชญาแห่งมู)
⭕ บันทึกที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับปรัชญาแห่งมู (หรือศาสนาตามที่เราเรียกในปัจจุบัน) มีอายุมากกว่า 70,000 ปี บันทึกเหล่านี้เปิดเผยว่าอาจารย์ผู้ฝึกฝนจากทวีปมู ที่เรียกว่า #นาอาคาล #ได้นำปรัชญาจากมาตุภูมิของพวกเขาไปยัง_อาณานิคม_ต่างๆ นาอาคาลได้ก่อตั้งวิทยาลัยในแต่ละประเทศ ซึ่งนักบวช-ครูสามารถได้รับการสอนเกี่ยวกับปรัชญาแห่งมูและวิทยาศาสตร์ บัณฑิตผู้จบการศึกษาจากวิทยาลัยเหล่านี้ได้รับมอบหมายให้จัดตั้งโรงเรียนและสอนผู้คน ⭕
🕎 หลักการของปรัชญาแห่งมูถูกสอนอย่างเป็นขั้นตอน :
1.) มนุษย์ได้รับการสอนว่ามีพระผู้เป็นสูงสุด (Supreme Being) พระผู้สร้างที่ไร้ขอบเขตและทรงฤทธานุภาพ ผู้ซึ่งสร้างทุกสิ่งทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง รวมถึงมนุษย์ มนุษย์ที่ถูกสร้างโดยผู้ทรงฤทธานุภาพนี้จึงเป็นบุตรของผู้ทรงฤทธานุภาพ และผู้ทรงฤทธานุภาพคือพระบิดาแห่งจักรวาลของมนุษย์
2.) เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้น - พระผู้สร้างได้วางจิตวิญญาณหรือวิญญาณไว้ในร่างของมนุษย์ซึ่งไม่มีวันตายแต่จะดำเนินต่อไปตลอดกาล
3.) เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้น มีพระลิขิต★ว่าร่างกายทางวัตถุของเขาควรกลับคืนสู่โลกซึ่งมันถูกนำมา เมื่อร่างกายทางวัตถุนี้ตายลง มันจะปล่อยจิตวิญญาณซึ่งจะไปยังโลกเบื้องหน้าเพื่อรอจนกว่าจะถูกเรียกให้กลับเข้าครอบครองร่างกายทางวัตถุอีกครั้ง
ทันทีที่จิตใจของมนุษย์สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้ เขาจะได้รับการสอนว่าจิตวิญญาณของเขาได้รับภารกิจ และภารกิจนี้คือการให้จิตวิญญาณปกครองร่างกายทางวัตถุโดยการเอาชนะความปรารถนาทางด้านวัตถุ เมื่อสิ่งนี้สำเร็จลุล่วง จิตวิญญาณของเขาจะถูกเรียกกลับไปยังแหล่งที่มาอันยิ่งใหญ่ (the Great Source) และมีชีวิตอยู่ในความสุขและความยินดีอย่างสมบูรณ์ตลอดไป - โดยปราศจากร่างกายทางกายภาพ
เขาได้รับการสอนเพิ่มเติมว่าชีวิตในโลกวัตถุเพียงครั้งเดียวนั้นสั้นเกินไปสำหรับจิตวิญญาณที่จะเอาชนะความปรารถนาทางวัตถุได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีพระลิขิต (ordained)★ว่าจิตวิญญาณของเขาควรอาศัยอยู่ในร่างกายหลายร่างจนกว่าภารกิจนี้จะสำเร็จ เขาได้รับการสอนว่าการเวียนว่ายตายเกิดเหล่านี้เป็นเส้นทางสู่การหลุดพ้นขั้นสุดท้ายของจิตวิญญาณของเขา
[★พระลิขิต จากความหมายในข้อ 3 นี้ ทำให้ผมนึกถึงคำว่า “พรหมลิขิต” ขึ้นมาเลยครับ ซึ่งพรหมในที่นี้ก็คือ พระผู้สร้างสูงสุด นี่แหละ แต่พวกเรารับสืบทอดความหมายของคำว่า พรหมลิขิต เพี้ยนไปไกลเลย แต่❗ถ้ามองในแง่มุมที่ว่า เราเองก็คือพระพรหมนั้นเองที่มามีประสบการณ์ในโลกทางกายภาพ เราจึงลิขิต (วางแผน) ชีวิตของเราเองเพื่อการวิวัฒนาการ ถ้าเข้าใจเช่นนี้ พรหมเป็นผู้ลิขิต ก็ถูกต้องที่สุดแล้ว
ไหนๆได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็ขอพูดถึงคำว่า “ชะตากรรม” ด้วยเลย จริงๆมันก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยครับคำนี้ มันก็คือ การกระทำ (กรรม) ที่เป็นตัวกำหนด ชะตา ของเรา
ส่วนคำว่า “โชคชะตา” ก็คือ มันเป็นโชคหรือพรอันประเสริฐของเราแล้วที่ได้เป็นคนกำหนดและปั้นแต่ง (สร้างสรรค์) ชะตาของตนด้วยน้ำมือของตนเอง คนอื่น สิ่งอื่น (พระเจ้า, เทพ, ปีศาจ, รูปธรรมชีวิตอื่นๆ มนุษย์คนอื่นๆ ฯลฯ) ไม่ได้เป็นคนกำหนดชะตาของเรา เราเองต่างหากที่เป็นคนกำหนดชะตาของเราด้วย ความคิด คำพูด และการกระทำ ที่เราตอบสนองต่อทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา พวกคุณเห็นด้วยไหมครับ❓ 😄 –ผู้แปล]
4.) มีการปลูกฝังลงในจิตใจของเขาอย่างสมบูรณ์ว่าพระบิดาแห่งจักรวาลคือความรักอันยิ่งใหญ่ และความรักอันยิ่งใหญ่นี้ปกครองจักรวาลและไม่มีวันตาย เขาได้รับการสอนว่าความรักของพระบิดาแห่งจักรวาลนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักของบิดาทางโลกของเขา ผู้ซึ่งเป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนของพระบิดาแห่งจักรวาลของเขา
ดังนั้นเขาควรเข้าหาพระบิดาแห่งจักรวาลโดยปราศจากความกลัวหรือความหวาดหวั่น แต่จงเข้าหาด้วยความมั่นใจและความรักอย่างสมบูรณ์ โดยรู้ว่าพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักพร้อมที่จะต้อนรับเขา
5.) เขาได้รับการสอนว่ามนุษยชาติทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยพระบิดาแห่งจักรวาลเดียวกัน ดังนั้นมนุษยชาติทั้งหมดจึงเป็นพี่น้องชายหญิงของเขา และควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นในการติดต่อกับพวกเขาทั้งหมด
6.) ในที่สุดเขาก็ได้รับการสอนถึงหน้าที่ของเขาบนโลก วิธีที่เขาควรใช้ชีวิตเพื่อเตรียมตัวให้เหมาะสมที่จะผ่านไปสู่โลกเบื้องหน้า - เมื่อเขาถูกเรียก (เมื่อถึงเวลา) เขาได้รับการเตือนเป็นพิเศษว่าเขาต้องเดินตามเส้นทางแห่งความจริง ความรัก การกุศล และความบริสุทธิ์ (อ้างถึงภาคส่วนทางจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกมากกว่าภาคส่วนทางกายภาพของมนุษย์) ด้วยความรักและความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ในพระบิดาแห่งจักรวาลของเขา
มันไม่ใช่เพียงคำถามเกี่ยวกับการกระทำเพื่อการกุศลทางวัตถุ เช่น การให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและการให้เสื้อผ้าแก่ผู้เปลือยเปล่า แต่แนวคิดนี้ยังรวมถึงความคิดที่ดีและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เราไม่ควรคิดไม่ดีกับใคร แต่ควรพยายามช่วยให้พวกเขาเอาชนะข้อบกพร่องของตนเอง
***
จากข้อความข้างต้น เห็นได้ชัดว่าหลักการพื้นฐานของปรัชญาแห่งมูคือ :
The Fatherhood of God
and the Brotherhood of Man.
ความเป็นบิดาของพระเจ้า
และความเป็นพี่น้องกันของมนุษยชาติ
***
#ผู้คนได้รับการเตือนอย่างสม่ำเสมอว่าไม่มีสัญลักษณ์ใด #แม้จะศักดิ์สิทธิ์เพียงใด_ที่ควรถูกบูชาในลักษณะใดๆ สัญลักษณ์ถูกใช้เพียงเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถมุ่งความคิดของพวกเขาไปที่พระผู้ทรงฤทธานุภาพและเรื่องเฉพาะของการวิงวอนของพวกเขาเท่านั้น เพราะการจดจ่อสายตาที่สัญลักษณ์ทำให้วัตถุอื่นๆถูกกีดกันออกจากการมองเห็นและความสนใจ อาจกล่าวได้ว่าสัญลักษณ์ของมูทำหน้าที่คล้ายกับการทำหน้าที่ของมนตราระหว่างการทำสมาธิ
#ปรัชญาแห่งมูไม่มีหลักเทววิทยาหรือคำสอนที่ต้องเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย ทุกอย่างถูกสอนในภาษาที่เรียบง่ายที่สุด เข้าใจได้ง่ายที่สุด เป็นภาษาที่แม้แต่จิตใจที่ไม่ได้รับการศึกษาก็สามารถเข้าใจได้
💟#เนื่องจากผู้คนของมูใช้ชีวิตตามปรัชญานี้จริงๆ #จึงไม่มีสงครามหรือความขัดแย้งบนทวีปมูตลอดประวัติศาสตร์ที่มีผู้อาศัยอยู่ ประมาณ 250,000 ปี
เมื่อทวีปมูจมลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อประมาณ 14,500 ปีที่แล้ว “#อิทธิพลควบคุมของมู” ก็หายไป ความสับสนเริ่มขึ้นและความบ้าคลั่งในรูปแบบของความคลั่งศาสนา หลักเทววิทยาที่เป็นไปไม่ได้ และความผิดพลาดอื่นๆได้ถูกนำเข้ามา
🚫 ในช่วงเวลาต่างๆในประวัติศาสตร์ #นักบวชที่ไร้จริยธรรมได้ทำให้ปรัชญาแห่งมูล่มสลาย #โดยการแนะนำระบบเทววิทยาที่เลวร้ายซึ่งประกอบด้วย #สิ่งประดิษฐ์_เรื่องแต่ง_การละเว้น_และการแปลที่มุ่งร้าย
🚫 #การบิดเบือนเหล่านี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยนักบวช #เพื่อวัตถุประสงค์ในการปลูกฝังความกลัวเกี่ยวกับความเชื่องมงายในหัวใจของผู้คน #เพื่อดักจับพวกเขาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณให้ตกเป็นทาสของนักบวช เมื่อทำสำเร็จแล้ว ไม่นานนักนักบวชเหล่านั้น (และระบบที่พวกเขาสนับสนุน) #ก็ได้รับความมั่งคั่งและควบคุมมนุษยชาติทั้งหมด
ทวีปมูทอดยาวจากโยนากุนิใกล้ญี่ปุ่นไปจนถึงเกาะอีสเตอร์ใกล้ชิลีและมีการเชื่อมต่อทางบกกับอเมริกาเหนือ “ปิรามิด” ใต้น้ำของโยนากุนิและรูปปั้นขนาดใหญ่ของเกาะอีสเตอร์คือซากทางวัตถุของทวีปมู ทั้งโยนากุนิและเกาะอีสเตอร์เป็นเหมืองหิน (แหล่งหิน) เหมืองหินของเกาะอีสเตอร์มีขนาดใหญ่กว่าตัวเกาะมาก แต่นักโบราณคดียังไม่สามารถจินตนาการถึงแนวคิดในการสำรวจบริเวณใต้น้ำรอบๆเกาะอีสเตอร์…
เมื่อเปรียบเทียบปรัชญาแห่งมูกับข้อมูลและคำแนะนำที่ให้ไว้ในหนังสือ “คำพยากรณ์จากเทียร์อูบาห์” (ตีพิมพ์ครั้งแรกในชื่อ "การลักพาตัวไปยังดาวเคราะห์ดวงที่ 9") พบว่ามีความคล้ายคลึงกันหลายประการ :
1. ทั้งสองแหล่งเน้นย้ำเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติและการมีพระผู้สร้างสูงสุดองค์เดียว ในปรัชญาของมู นี่คือแนวคิดเรื่อง "ความเป็นบิดาของพระเจ้าและความเป็นพี่น้องของมนุษยชาติ" ในขณะที่ในหนังสือเทียร์อูบาห์ ก็มีแนวคิดเรื่องพระวิญญาณสูงสุดและความเชื่อมโยงกันของจิตวิญญาณทั้งหมด
2. ทั้งสองแหล่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตวิญญาณมากกว่าวัตถุ ปรัชญาแห่งมูกล่าวถึงการที่จิตวิญญาณต้องเอาชนะความปรารถนาทางวัตถุ ในขณะที่หนังสือเทียร์อูบาห์เตือนเกี่ยวกับอันตรายของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มากเกินไปโดยไม่มีการพัฒนาทางจิตวิญญาณที่สอดคล้องกัน
3. ทั้งสองแหล่งกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดและการพัฒนาทางจิตวิญญาณผ่านหลายชีวิต ปรัชญาแห่งมูสอนว่าจิตวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่จนกว่าจะบรรลุการหลุดพ้น ในขณะที่หนังสือเทียร์อูบาห์อธิบายกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
4. ทั้งสองแหล่งวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาที่มีหลักเทววิทยาที่ซับซ้อนและการบิดเบือนความจริง ปรัชญาของมูถูกอธิบายว่า "ไม่มีหลักเทววิทยาหรือคำสอนที่ต้องเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย" ในขณะที่หนังสือเทียร์อูบาห์วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาที่ถูกบิดเบือนและการใช้ศาสนาเพื่อควบคุมผู้คน
5. ทั้งสองแหล่งเน้นย้ำความสำคัญของความรัก ความเมตตา และการช่วยเหลือผู้อื่น ในปรัชญาแห่งมู นี่คือแนวคิดเรื่อง "ความจริง ความรัก การกุศล และความบริสุทธิ์" ในขณะที่หนังสือเทียร์อูบาห์เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักและการช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณ
6. ทั้งสองแหล่งมีการกล่าวถึงอารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าซึ่งสูญหายไปเนื่องจากภัยพิบัติ ปรัชญาแห่ง มู อธิบายว่าทวีปมูจมลงสู่มหาสมุทร ในขณะที่หนังสือเทียร์อูบาห์กล่าวถึงอารยธรรมที่มีความก้าวหน้าซึ่งถูกทำลายเนื่องจากภัยพิบัติต่างๆ
ความแตกต่างที่สำคัญคือหนังสือเทียร์อูบาห์กล่าวถึงการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวที่มีการพัฒนาที่สูงกว่า ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนในปรัชญาแห่งมูตามที่อธิบายไว้ในข้อความข้างต้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแหล่งมีหลักการพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ ความเมตตา และการมีพระผู้สร้างสูงสุดองค์เดียว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา