Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หมอใกล้คุณ
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 01:20 • สุขภาพ
ไข้เลือดออก (Dengue infection) : รู้ทันอาการ สังเกตสัญญาณอันตราย และวิธีรับมือที่ถูกต้อง
เข้าสู่ช่วงฤดูฝนทีไร โรคที่มาพร้อมกับยุงลายและสร้างความกังวลใจให้ทุกครอบครัวคงหนีไม่พ้น "ไข้เลือดออก" ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โรคนี้ไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิตได้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราและคนที่เรารัก
บทความนี้จะนำท่านไปทำความรู้จักไข้เลือดออกในทุกแง่มุม ตั้งแต่การสังเกตอาการในแต่ละระยะ ไปจนถึงวิธีปฏิบัติตัวเมื่อสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก
🤒 อาการของไข้เลือดออก: 3 ระยะที่ต้องจับตา
โรคไข้เลือดออกไม่ได้มีอาการเหมือนกันตลอดการป่วย แต่จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะที่ชัดเจน การเข้าใจอาการในแต่ละช่วงจะช่วยให้เราสังเกตความผิดปกติและไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที
3 stage of Dengue infection
🥵 ระยะที่ 1: ระยะไข้สูง (Febrile Phase)
ช่วง 2-7 วันแรก เป็นระยะที่เชื้อไวรัสกำลังแบ่งตัวในร่างกาย อาการจะคล้ายไข้ไวรัสทั่วไป แต่มีความรุนแรงกว่า
●
ไข้สูงลอย: มีไข้สูงเฉียบพลัน อุณหภูมิอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส กินยาลดไข้แล้วไข้มักไม่ลง หรือลงชั่วคราวแล้วกลับมาสูงอีก
●
มักจะไม่ค่อยมีอาการของทางเดินหายใจส่วนบน เนื่องจากไม่ได้มีการติดเชื้อในระบบนี้
●
ปวดเมื่อยรุนแรง: ปวดศีรษะมาก โดยเฉพาะบริเวณกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ จนมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า "Breakbone Fever"
●
หน้าแดง ตัวแดง: ผู้ป่วยมักมีหน้าแดงกว่าปกติ อาจพบจุดเลือดออกเล็กๆ ตามผิวหนัง
●
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
●
บางรายอาจมีผื่นขึ้นในช่วงท้ายของระยะนี้
😨 ระยะที่ 2: ระยะวิกฤต (Critical Phase)
ช่วง 24-48 ชั่วโมงอันตราย ระยะนี้เป็นช่วงที่ อันตรายที่สุด และต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มักเกิดขึ้น หลังจากไข้เริ่มลดลง ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่ากำลังจะหายดี แต่แท้จริงแล้วเป็นช่วงที่เกล็ดเลือดต่ำและมีการรั่วของพลาสมา (น้ำเลือด) ออกนอกหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกได้ ต้องสังเกตสัญญาณอันตราย (Warning Signs) ต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
●
ปวดท้องรุนแรง บริเวณลิ้นปี่หรือชายโครงขวา
●
อาเจียนไม่หยุด หรืออาเจียนเป็นเลือด
●
เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือมีจุดจ้ำเลือดตามตัวเพิ่มขึ้น
●
กระสับกระส่าย หรือซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
●
ตัวเย็น มือเท้าเย็น ร่วมกับเหงื่อออก
●
ปัสสาวะออกน้อยลง
หากพบสัญญาณอันตรายแม้เพียงข้อเดียว ต้องรีบกลับไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรรอดูอาการ
🩻 ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) หากผู้ป่วยผ่านระยะวิกฤตมาได้ อาการจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
●
ร่างกายเริ่มดูดกลับน้ำเลือดที่รั่วซึมกลับเข้าหลอดเลือด
●
ความอยากอาหารกลับมาเป็นปกติ
●
ความดันโลหิตและชีพจรคงที่
●
อาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวและฝ่ามือฝ่าเท้า ซึ่งมีลักษณะเป็นวงขาวๆ บนพื้นแดง (islands of white in a sea of red) และอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว
💉 การตรวจวินิจฉัย: ตรวจตอนไหนให้ผลแม่นยำ?
ปัจจุบันการวินิจฉัยไข้เลือดออกทำได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น โดยมีการตรวจหลักๆ 2 วิธี ซึ่งเหมาะกับช่วงเวลาของโรคที่แตกต่างกัน
🩸1. การตรวจหาแอนติเจน (Dengue NS1 Antigen)
✓
หลักการ: เป็นการตรวจหาโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อไวรัสเดงกีโดยตรง (NS1) เปรียบเสมือนการ "ตรวจหาตัวผู้ร้าย"
✓
ช่วงเวลาที่เหมาะสม: วันที่ 1-5 ของการมีไข้ เพราะเป็นช่วงที่ไวรัสกำลังแบ่งตัวจำนวนมาก ทำให้ตรวจพบได้ง่าย
ข้อดี: ให้ผลเร็ว รู้ผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ข้อจำกัด: หากตรวจหลังวันที่ 5 ไปแล้ว โอกาสตรวจพบจะลดลงอย่างมาก
🩸 2. การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Dengue Antibody Titer: IgM, IgG)
✓
หลักการ: เป็นการตรวจหาร่องรอยการต่อสู้ของร่างกาย คือ "ภูมิคุ้มกัน" หรือแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส
✓
ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ตั้งแต่วันที่ 5 ของการมีไข้เป็นต้นไป
✓
IgM (Immunoglobulin M): บ่งบอกถึงการติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน หรือเพิ่งติดเชื้อมาไม่นาน
✓
IgG (Immunoglobulin G): บ่งบอกถึงการเคยติดเชื้อในอดีต หรือเป็นภูมิคุ้มกันระยะยาว หากพบ IgM ร่วมกับ IgG ที่สูงขึ้น อาจหมายถึงการติดเชื้อครั้งที่สองซึ่งมีความเสี่ยงรุนแรงกว่า
ข้อดี: ยืนยันการวินิจฉัยได้ดีในระยะท้ายของโรค
ข้อจำกัด: ไม่ช่วยในการวินิจฉัยระยะแรก
📝 สรุปง่ายๆ
●
มีไข้ตั้งแต่วันแรกจนถึงไม่เกิน 5 วัน: ควรตรวจ Dengue NS1 Antigen
●
มีไข้มาแล้ว 5 วันขึ้นไป: ควรตรวจ Dengue Antibody (IgM/IgG) ร่วมด้วย
●
ถ้าคาบเกี่ยวเนื่องกัน ก็ตรวจทั้ง 2 อย่างได้
📢 ข้อควรทำ และ "ห้ามทำเด็ดขาด" เมื่อสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก
การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
👍 สิ่งที่ควรทำ (Do's)
1. ไปพบแพทย์: เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อย่าซื้อยาทานเอง
2. พักผ่อนให้เพียงพอ: ให้ร่างกายได้ต่อสู้กับเชื้อโรคอย่างเต็มที่
3. เช็ดตัวลดไข้: เพื่อบรรเทาอาการไม่สบายตัว
4. ดื่มน้ำมากๆ: ดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
5. ทานยาพาราเซตามอล: ใช้เฉพาะยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวด ตามขนาดที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ และต้องระวังเรื่องการใช้ยาเกินขนาด
6. สังเกตสัญญาณอันตราย: โดยเฉพาะช่วงที่ไข้ลดลง หากมีอาการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ให้รีบกลับไปพบแพทย์ทันที
7. ป้องกันยุงกัด: เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่น
👎 สิ่งที่ "ห้ามทำ" เด็ดขาด (Don'ts)
1. ห้ามรับประทานยาในกลุ่ม NSAIDs: (สำคัญมาก) เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) เพราะยาเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เสี่ยงต่อภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
2. ห้ามฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ: เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกในบริเวณที่ฉีดได้ง่าย
3. ห้ามชะล่าใจเมื่อไข้ลด: ย้ำอีกครั้งว่าช่วงที่ไข้ลงคือช่วงที่อาจเข้าสู่ระยะวิกฤตได้ ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดที่สุด
4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มสีเข้ม: เช่น น้ำแดง น้ำอัดลมสีดำ ช็อกโกแลต หรือเฉาก๊วย เพราะหากผู้ป่วยมีอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด จะทำให้แยกสีได้ยาก
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด แต่หากเรามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง รู้จักสังเกตอาการในแต่ละระยะ เลือกการตรวจวินิจฉัยได้เหมาะสม และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างปลอดภัย อย่าลืมว่า "การป้องกัน" ดีกว่าการรักษาเสมอ ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชนของเรา
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
การแพทย์
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย