ใน In Time เวลาคือเครื่องมือควบคุมชีวิต ใครถือไว้มาก… มีอำนาจ ใครมีน้อย… ตายเร็วขึ้น สกุลเงินที่เป็นเวลาจึงสามารถควบคุมคนได้ทุกคนเพราะหมายถึงชีวิตของคนเราทุกคน
เมื่อ “เวลา” ในสองโลกมีความหมายที่ดูต่างกันสุดขั้ว แต่ทั้ง In Time และ The Pursuit of Happyness แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือต่างพูดถึง “เวลา” ว่าเป็นสิ่งมีค่า
●
เวลา ใน In Time = เงิน = อำนาจ .... ยิ่งมีมาก ยิ่งช้าลง ยิ่งใช้ชีวิตแบบคนมีสิทธิ์เลือก
●
เวลา ใน The Pursuit of Happyness = ความรัก = ความหมาย .... ยิ่งให้ออกไป ยิ่งได้สิ่งล้ำค่ากลับมา
ในโลกจริงล่ะ …
เราอยู่ในโลกจริงที่เรา “ต้องแลกเวลาเป็นเงิน” ชีวิตทำงานก็ไม่ต่างจาก In Time เท่าไหร่ เช้าออกจากบ้าน หัวค่ำกลับถึงบ้าน ใช้เวลากับงานมากกว่าใช้เวลากับคนที่เรารัก แต่ก็เหมือน The Pursuit of Happyness ได้อีกเช่นกัน ถ้าเรา “เลือก” ที่จะให้คุณค่ากับเวลา โดยไม่ปล่อยให้เงินมาชี้ว่าอะไรสำคัญที่สุด
บางครั้ง “สิ่งที่ให้ไป” กลับมีค่ากว่า “สิ่งที่เก็บไว้” เวลาใน In Time คือสิ่งที่ “ต้องหาเพิ่ม” แต่ เวลาใน The Pursuit of Happyness กลับเป็นสิ่งที่ “ต้องให้เพิ่ม”
Credit : www.freepik.com
ลองถามตัวเอง…
คุณกำลังใช้เวลานี้… กับงาน หรือกับลูก?
กับเป้าหมายทางการเงิน หรือเป้าหมายในชีวิต?
กับการอยู่รอด… หรือการมีอยู่ร่วมกัน?
บทสรุปจากภาพยนตร์
In Time บอกเราว่า ใครควบคุมเวลาได้ คือผู้ชนะ
แต่ The Pursuit of Happyness สอนเราว่า ใครใช้เวลากับคนที่เขารัก คือผู้ไม่เคยแพ้เลย
ใน In Time ขณะที่ “คนรวย” คือคนที่มีเวลาใช้ไม่หมด “คนจน” กลับต้องทำงานทุกวันแลกเวลาเพื่อแข่งกับนาฬิกาในร่างกายที่ลดลงตลอดเวลา เปรียบได้กับลักษณะของรายได้แบบ Passive Income ที่เราให้เงินทำงานแทนเรา และ รายได้แบบ Active Income ที่เราต้องทำงาน(ด้วยเวลา) แลกเงิน
คนที่ไม่มีรายได้แบบ Passive Income ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต จำเป็นต้องทำงานแลกเงินรับรายได้แบบ Active Income โดยไม่สามารถหยุดทำงานได้ เปรียบได้กับคนจนใน In Time ขณะที่คนรวยใน In Time อาจเปรียบได้กับคนที่มีอิสรภาพทางการเงินจากการที่มี Passive Income มากเพียงพอสำหรับใช้จ่าย จนไม่ต้องกังวลการขาดหายไปของ Active Income นั่นเอง