15 ก.ค. เวลา 03:17 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

สองโลก สองความหมายของ “เวลา” : In Time v.s. The Pursuit of Happyness

ภาพยนตร์สองเรื่อง ที่เกี่ยวกับเวลาเหมือนกัน แต่ต่างความหมายกัน
1
... ระหว่างการ “สะสมเวลา” เพื่อรอดชีวิต
... กับการ “ให้เวลา” เพื่อรักษาความหมายของชีวิต
เรากำลังอยู่ในโลกแบบไหนกันแน่?
" Time is Money, Time is Power"
ภาพยนตร์เรื่องแรก In Time (2011)
เรื่องราวของโลกดิสโทเปียที่ เวลาคือสกุลเงิน เมื่ออายุครบ 25 ปี ทุกคนจะมีเวลาเหลือเพียง 1 ปีบนข้อมือ เวลาจะนับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนหมด เมื่อเวลาบนข้อมือหมดลง คนนั้นก็จะตายไป อยากมีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อมีชีวิตต่อไปก็ต้องทำงานแลกเวลา ทุกอย่างต้องใช้เวลาแลกมา ไม่ว่าจะกินข้าว นั่งรถ หรือหายใจต่อก็ต้องจ่ายเป็นนาที
ขณะที่ “คนรวย” คือคนที่มีเวลาใช้ไม่หมด “คนจน” กลับต้องทำงานทุกวันแลกเวลาเพื่อแข่งกับนาฬิกาในร่างกายที่ลดลงตลอดเวลา
ใน In Time เวลาคือเครื่องมือควบคุมชีวิต ใครถือไว้มาก… มีอำนาจ ใครมีน้อย… ตายเร็วขึ้น สกุลเงินที่เป็นเวลาจึงสามารถควบคุมคนได้ทุกคนเพราะหมายถึงชีวิตของคนเราทุกคน
ขณะที่สกุลเงินแบบเงินตรา ไม่สามารถควบคุมคนทุกคนได้ เพราะเงินอาจไม่ได้มีความหมายเสมอไปสำหรับทุกคน ในหลายเหตุการณ์เรามักเลือกให้ค่ากับบางสิ่งมากกว่าค่าของเวลา เช่นเดียวกับภาพยนตร์อีกเรื่องต่อไปนี้
เครดิต IN TIME movie
"Time is Love"
ภาพยนตร์อีกเรื่อง The Pursuit of Happyness (2006)
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับโหวดให้เป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจตลอดกาล
เรื่องจริงของ Chris Gardner ชายที่กลายเป็นคนไร้บ้านพร้อมลูกชายวัย 5 ขวบ ชายผู้ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ทั้งปัญหาการเงินและความสัมพันธ์ แต่เขาก็ยังคงมีความหวังและพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อให้ตัวเองและลูกชายมีชีวิตที่ดีขึ้น
สาระหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และการมุ่งมั่นตามความฝันของตัวเอง การดิ้นรนเพื่อความสุขและความสำเร็จ แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคมากมายในชีวิต
เครดิต The Pursuit of Happyness movie
แต่แก่นของเรื่องที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความรักและความผูกพันระหว่างพ่อและลูก คริสพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อ คริส จูเนียร์ ลูกชายของเขา ฉากต่างๆ ในเรื่องทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงความเสียสละและความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อที่มีต่อลูก พ่อที่ไม่เคยปล่อยให้ “ความจน” พรากเวลาจากความเป็นพ่อ แม้ว่ากลางวันเขาเดินเร่ขายเครื่องมือแพทย์ และกลางคืนเขาต้องนอนในห้องน้ำสาธารณะ แต่เขาไม่เคยหายไปจากสายตาของลูก
แม้ไม่มีเงิน แต่ “เวลา” ที่เขาให้ลูกเต็มร้อยทุกนาที กลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงใจ และสร้างอนาคตได้จริง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การชมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่อะไร ๆ ก็ยากขึ้น
เครดิตตามภาพ
เมื่อ “เวลา” ในสองโลกมีความหมายที่ดูต่างกันสุดขั้ว แต่ทั้ง In Time และ The Pursuit of Happyness แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือต่างพูดถึง “เวลา” ว่าเป็นสิ่งมีค่า
  • ​เวลา ใน In Time = เงิน = อำนาจ .... ยิ่งมีมาก ยิ่งช้าลง ยิ่งใช้ชีวิตแบบคนมีสิทธิ์เลือก
  • ​เวลา ใน The Pursuit of Happyness = ความรัก = ความหมาย .... ยิ่งให้ออกไป ยิ่งได้สิ่งล้ำค่ากลับมา
ในโลกจริงล่ะ …
เราอยู่ในโลกจริงที่เรา “ต้องแลกเวลาเป็นเงิน” ชีวิตทำงานก็ไม่ต่างจาก In Time เท่าไหร่ เช้าออกจากบ้าน หัวค่ำกลับถึงบ้าน ใช้เวลากับงานมากกว่าใช้เวลากับคนที่เรารัก แต่ก็เหมือน The Pursuit of Happyness ได้อีกเช่นกัน ถ้าเรา “เลือก” ที่จะให้คุณค่ากับเวลา โดยไม่ปล่อยให้เงินมาชี้ว่าอะไรสำคัญที่สุด
แล้วเราแบ่งเวลาของเราอย่างไร? เราเคยถามตัวเองไหมว่า...
เราตื่นมาทำงานทุกวัน… เพื่อยืดเวลาชีวิต หรือเพื่อสร้างชีวิตให้มีความหมาย?
บางคนสะสม “เวลา” จนล้นมือ แต่ไม่มีใครให้แบ่งใช้ด้วย บางคนมีแค่นาที แต่ใช้มันกอดลูกแน่นที่สุด
บางครั้ง “สิ่งที่ให้ไป” กลับมีค่ากว่า “สิ่งที่เก็บไว้” เวลาใน In Time คือสิ่งที่ “ต้องหาเพิ่ม” แต่ เวลาใน The Pursuit of Happyness กลับเป็นสิ่งที่ “ต้องให้เพิ่ม”
Credit : www.freepik.com
ลองถามตัวเอง…
คุณกำลังใช้เวลานี้… กับงาน หรือกับลูก?
กับเป้าหมายทางการเงิน หรือเป้าหมายในชีวิต?
กับการอยู่รอด… หรือการมีอยู่ร่วมกัน?
บทสรุปจากภาพยนตร์
In Time บอกเราว่า ใครควบคุมเวลาได้ คือผู้ชนะ
แต่ The Pursuit of Happyness สอนเราว่า ใครใช้เวลากับคนที่เขารัก คือผู้ไม่เคยแพ้เลย
อย่าปล่อยให้ความสำเร็จ “ขโมย” เวลาที่ดีที่สุดของชีวิตไป เพราะสุดท้าย… ชีวิตไม่ได้วัดกันที่ “มีเวลาเหลืออีกกี่ปี แต่วัดกันที่ว่า... วันนี้คุณใช้เวลานั้น… เพื่ออยู่กับใคร?
"คุณค่าของเวลา" คือ การตระหนักรู้ถึงความสำคัญของเวลาที่มีในชีวิตของเรา เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต และการสร้างความสุขของเราและคนที่เรารัก
มุมมองที่เชื่อมโยงกับการเงิน
ใน In Time ขณะที่ “คนรวย” คือคนที่มีเวลาใช้ไม่หมด “คนจน” กลับต้องทำงานทุกวันแลกเวลาเพื่อแข่งกับนาฬิกาในร่างกายที่ลดลงตลอดเวลา เปรียบได้กับลักษณะของรายได้แบบ Passive Income ที่เราให้เงินทำงานแทนเรา และ รายได้แบบ Active Income ที่เราต้องทำงาน(ด้วยเวลา) แลกเงิน
คนที่ไม่มีรายได้แบบ Passive Income ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต จำเป็นต้องทำงานแลกเงินรับรายได้แบบ Active Income โดยไม่สามารถหยุดทำงานได้ เปรียบได้กับคนจนใน In Time ขณะที่คนรวยใน In Time อาจเปรียบได้กับคนที่มีอิสรภาพทางการเงินจากการที่มี Passive Income มากเพียงพอสำหรับใช้จ่าย จนไม่ต้องกังวลการขาดหายไปของ Active Income นั่นเอง
หากเราต้องการเวลาเพื่อใครบางคน การเลือกงานที่ให้เรามีเวลา และการสร้างอิสรภาพทางการเงิน จึงเป็นวิธีที่จะให้เราบริหารและใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรา
หมายเหตุท้ายบทความ ... เกร็ดเล็กๆ จากคำว่า Happyness
หลายคนอาจสังเกตเห็นว่า คำว่า "Happyness หรือความสุข" ในเรื่องนี้ สะกดด้วย "y" ไม่ใช่ "i" การสะกดในชื่อเรื่องเป็นการจงใจสะกดผิด เหมือนที่คริสเห็นตัวอักษรเดียวกันที่สะกดผิดบนกำแพงของศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่ คริส จูเนียร์ ลูกชายตัวน้อยของเขาที่ต้องเข้ารับการดูแลจากศูนย์ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา
ตอนนั้นเขาไม่พอใจว่าจะเป็นการทำให้เด็กถูกสอนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คริสต้องการให้แน่ใจว่าลูกชายของเขาได้รับการสอนสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เติบโตขึ้นเป็นคนมีการศึกษาและสร้างสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง
1
แต่ท้ายที่สุดคำๆ นี้กลับกลายเป็นการบ่งบอกถึงการแสวงหาความสุขของคริสเอง
โฆษณา