19 ก.ค. เวลา 08:05 • ปรัชญา
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

The Da Vinci Code : ถอดรหัสความศรัทธาในโลกที่เปลี่ยนไป

หลายคนมองว่า The Da Vinci Code เป็นแค่หนังลึกลับแนวไขปริศนา แต่จริง ๆ แล้ว ตัวเอกอย่าง Robert Langdon ไม่ใช่สายลับ แต่เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มีอาวุธเพียงอย่างเดียวคือ "คำถาม"
คำถามที่ใครหลายคนไม่กล้าถาม คำถามที่อาจไปแตะหัวใจของศรัทธา ประวัติศาสตร์ และสิ่งที่เรายึดถือกันมานาน Langdon ไม่ได้ตั้งใจล้มล้างความเชื่อ เขาแค่กล้าถามในสิ่งที่ถูกห้ามถาม
จากคดีฆาตกรรม สู่ปริศนาทางศรัทธา
เรื่องราวใน The Da Vinci Code (2006) เริ่มจากคดีฆาตกรรมในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ซ่อนคำใบ้เกี่ยวกับความลับระดับโลกผ่านงานศิลปะของ Leonardo da Vinci
เมื่อ Langdon เริ่มถอดรหัสเขากลับพบว่า สิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในประวัติศาสตร์อาจเป็นข้อมูลที่เปลี่ยนภาพของศาสนาไปโดยสิ้นเชิง หนังไม่ได้มาบอกว่าอย่าเชื่อ แต่มาชวนให้เรากล้าถามว่าเรื่องที่เราเชื่อมาตลอดจริงแค่ไหนกันแน่? และถ้าเชื่อเพราะถูกบอกมาเฉย ๆ แล้วมันคือศรัทธาได้อย่างไร
จากศิลปะถึงศรัทธาของ Leonardo da Vinci
Langdon ไขความลับจากผลงานของ Leonardo da Vinci ที่ไม่ได้เป็นแค่ “ภาพวาดสวย ๆ” แต่คือ "โค้ด หรือ รหัส" ที่ซ่อนคำถามไว้ในแต่ละเส้นสายของศิลปะ
The Last Supper - Leonardo da Vinci (1498)
ถ้าเราดูภาพ The Last Supper ให้ดี จะะเห็นว่า “สาวกที่นั่งข้างพระเยซู” อาจไม่ใช่ผู้ชาย แต่มีโครงหน้าและท่าทางแบบผู้หญิง บางทฤษฎีเชื่อว่า... เธอคือ Mary Magdalene ไม่ใช่สาวกลำดับที่ 13 แต่คือสัญลักษณ์ของพลังหญิงที่ถูกลบออกจากเรื่องเล่า
การจัดองค์ประกอบศิลป์ รูปสามเหลี่ยม, การจัดวางมือ, แววตา, แสงเงา ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม แต่มันถูกใช้ “เพื่อสื่อสัญลักษณ์บางอย่าง” ที่ไม่เคยถูกพูดในบทสอนศาสนาใด ๆ
นี่ไม่ใช่เรื่องของ “ถูกหรือผิด” แต่มันคือการตั้งคำถาม สิ่งที่เราเชื่อว่า “ศักดิ์สิทธิ์” มาจากไหน? ใครเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์? และใครเป็นคน “ลบ” บางส่วนออกไป?
หนังที่ไม่แค่สั่นคลอนศรัทธา... แต่สั่นสะเทือนความคิด
สิ่งที่ The Da Vinci Code ทำได้ดีมาก คือการทำให้ศรัทธากลับมาเป็นเรื่องที่ คนอยากถก อยากคิด อยากรู้
Langdon พาเราเดินผ่านหอศิลป์ โบสถ์ ห้องลับ และตำนาน ไปเจอกับความรู้ที่ถูกซ่อนหลังภาพวาด เบื้องหลังความเชื่อและในช่องว่างของประวัติศาสตร์
เขาไม่ได้ชวนให้เราทิ้งศาสนา แต่เขาชวนเราถามตัวเองว่า…
❝ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเชื่อเพราะอะไร แล้วเราจะเรียกมันว่าศรัทธาได้จริงหรือ? ❞
The Da Vinci Code
The Da Vinci Code กับความไม่สมจริงที่เรายอมรับได้
แม้ The Da Vinci Code จะเต็มไปด้วยปริศนาอิงศิลปะและศาสนา แต่ถ้ามองในแง่ความสมจริง หลายอย่างกลับขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ทั้งเส้นทางที่ตัวละครใช้ไขรหัสข้ามประเทศในเวลาไม่ถึงวัน, ลำดับของสถานที่ซ่อนปริศนาที่สร้างคนละยุค บ้างเกิดก่อนภาพวาดที่ใช้เป็นรหัส บ้างเกิดหลังเป็นร้อยปี
แม้แต่สถานที่เฉลยอย่าง Rosslyn Chapel ก็เพิ่งสร้างในศตวรรษที่ 15 ขณะที่รหัสถูกซ่อนไว้ในภาพวาดก่อนหน้านั้นนานมาก
Rosslyn Chapel - The Da Vinci Code scene
แต่เพราะเรื่องร้อยเรียงด้วย ความจริงบางส่วน + จินตนาการที่สมเหตุผล + ความระทึกแบบ Thriller มันจึงกลายเป็นเรื่องที่เราพร้อม “เชื่อตาม” เพราะลึก ๆ แล้ว มันแตะความรู้สึกคาใจของคนยุคใหม่ว่า ศรัทธาที่เราเชื่อมาจากการรู้จริง หรือแค่ถูกสอนให้เชื่อ
เมื่อ The Da Vinci Code เข้าฉาย มันถูกแบนในหลายประเทศ ขณะที่วาติกันได้ออกมาแถลงโต้แย้งเนื้อหา อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถหยุดคลื่นคำถามจากผู้ชมได้ สะท้อนถึงสัญญาของความเชื่อที่เริ่มถูกท้าทาย
ศรัทธาในปี 2025: โลกเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
เมื่อก่อนคำถามคือ “คุณนับถือศาสนาอะไร?” แต่วันนี้... คำถามที่ได้ยินบ่อยขึ้นคือ “คุณไม่มีศาสนา แล้วคุณเชื่อในอะไร?”
ข้อมูลจาก Pew Research Center และ Gallup International (2024–2025) ยืนยันว่า “ศรัทธาแบบดั้งเดิม” กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน:
> แหล่งที่มา: Pew Research Center, Gallup International, NIDA Poll
หมายเหตุ: “ไม่มีศาสนา” ≠ “ไม่มีศรัทธา”
กลุ่ม “ไม่มีศาสนา” หรือ Religiously Unaffiliated (Nones) ไม่ใช่คนที่ไม่เชื่ออะไรเลย แต่หมายถึงเชื่อในความดีแบบไม่ต้องมีศาสนา หรือแค่รู้สึกว่าระบบศาสนาเดิมไม่ตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไป
การไม่มีศาสนา ไม่ใช่การไม่เชื่ออะไรเลย แต่มักเป็นการเลือกไม่ยึดติดกับกรอบแบบเดิม
เพราะชีวิตยุคใหม่ ชวนตั้งคำถาม และนี่คือเหตุผลที่หลายคนค่อย ๆ เดินออกมาจากศาสนาแบบเดิม :
  • ​เราเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น คำอธิบายทางศาสนาไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป หลายคนตั้งคำถาม และอยากหาคำตอบด้วยตัวเอง
  • ​เมืองใหญ่ทำให้เราอยู่คนเดียวมากขึ้น เมื่อชุมชนลดลง ความเป็นปัจเจกเพิ่มขึ้น “ศรัทธา” จึงกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ต้องอยู่ภายใต้สถาบัน
  • ​ศาสนาไม่ได้ตอบโจทย์ทุกคน บางศาสนายังมีท่าทีที่ไม่เปิดรับความหลากหลาย เช่น LGBTQ+หรือยังผูกกับบทบาททางเพศที่ไม่เท่าเทียม คนรุ่นใหม่บางส่วนจึงเลือก “ไม่เลือก”
  • ​การแสวงหาความหมายแบบใหม่ Mindfulness, yoga, จิตวิทยาเชิงบวก กลายเป็นทางเลือกใหม่ทางจิตวิญญาณโดยไม่ต้องมีศาสดา หรือพิธีกรรม
  • ​ประสบการณ์ตรงที่ทำให้หมดศรัทธา ข่าวอื้อฉาว ความรุนแรง หรือการเมืองในศาสนาทำให้คนแยกแยะระหว่าง “องค์กรศาสนา” กับ “ความดีงาม”
แล้วเราล่ะ ยอมให้ “ตั้งคำถาม” ได้มากแค่ไหน?
Langdon ใช้มหาวิทยาลัยเป็นที่ตั้งคำถาม แต่โรงเรียนหลายแห่งยังมองว่า "ถาม = เถียง” แม้แต่วิชาศาสนาก็ยังเน้นท่องบทสวดมากกว่าชวนคิดว่า
ทำไมต้องทำบุญ?
ความดีคืออะไร?
เราจะอยู่ดีได้ไหม..ถ้าเราไม่มีคำว่า ‘ศาสนา’ นำหน้า?
ทิ้งท้าย :
ศรัทธาไม่ได้หายไป แต่มันเปลี่ยน “รูปแบบ” และ “ภาษา” จึงไม่แปลกที่เด็กยุคใหม่ที่เติบโตมากับวิธีการหาข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วไม่ได้ต้องการให้เรายัดความเชื่อใส่ พวกเขาแค่ต้องการพื้นที่ในการค้นหาความเชื่อของตัวเอง
เหมือนที่ Langdon ถอดรหัสในวิหาร เด็กยุคนี้ก็อยากถอดรหัสศรัทธาของตัวเองเหมือนกัน
สิ่งที่บทภาพยนตร์สะท้อนออกมา อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่อาจเป็นคำถามที่ชวนเรากลับมาทบทวนว่า เราเชื่อในสิ่งนั้นเพราะเรารู้จักมันดีพอ หรือแค่เพราะถูกสอนให้เชื่อ
ศรัทธาที่จะอยู่รอดต่อไป อาจไม่ใช่ศรัทธาที่ไม่มีใครแตะต้อง แต่คือ ศรัทธาที่ถูกถามแล้วยังอยู่ได้อย่างมีความหมาย
โฆษณา