27 ก.ค. เวลา 07:13 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ลองไอแลนด์

Leave the World Behind: อยากทิ้งโลก แต่กลับถูกโลกทิ้ง

คุณเคยรู้สึกอยาก “ทิ้งทุกอย่าง” ไหม? อยากปิดมือถือ ลืมความวุ่นวายของชีวิตในเมืองใหญ่ แล้วไปซ่อนตัวที่บ้านหลังหนึ่งในป่า ขอแค่ได้พัก ขอแค่ได้หายใจเงียบ ๆ
Leave the World Behind เริ่มต้นด้วยภาพฝันแบบนั้นของครอบครัวของอาแมนด้าและเคลย์ที่พาลูกสองคนหนีชีวิตเมืองที่แสนวุ่นวายไปพักที่บ้านตากอากาศหรูบนเกาะลองไอส์แลนด์ รัฐนิวยอร์ก
บ้านเช่าตากอากาศริมหาดที่มีคำอธิบายในเว็บไว้ว่า ‘ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง’ ที่หมายถึงสถานที่พักผ่อนหนีจากความวุ่นวายทั้งหมด อาแมนด้าเลือกที่นี่เพราะเธอกำลังเบื่อสภาพความวุ่นวานในการทำงานและผู้คนที่พบเจอมาตลอดปี จนถึงกับบ่นว่าเธอ ‘เกลียดมนุษย์’
แต่บ้านตากอากาศที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างสำหรับชีวิตคนเมืองยุคปัจจุบัน กลับเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น
จู่ๆ สัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์มือถือก็ดับหายไป ไม่มีสัญญาณสื่อสารใดใดให้สามารถใช้งานได้บนเกาะและบ้านหลังโดดเดี่ยวนี้ ทีวีก็ไม่มีสัญญาณกลายเป็นสภาพว่างเปล่า ข้อมูลข่าวสารขาดหายโดยสิ้นเชิง
โลกที่แสนวุ่นวายที่เธออยากหลีกหนี จู่ ๆ กลับหนีหายไปจริงๆ ทั้งหมดถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เป็น leave the world behind ที่เกินกว่าที่เธอคาดไว้ให้อยู่กลางผืนป่าธรรมชาติไม่มีบ้านหลังอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียง
แต่เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น...
วันต่อมามีพ่อลูกแปลกหน้าคู่หนึ่งมากดกริ่งบ้านและบอกว่าพวกเขาคือพ่อลูกสก็อตต์ที่เป็นเจ้าของบ้านที่ให้เช่าหลังนี้ ทั้งคู่ไม่สามารถกลับไปบ้านที่อยู่ในเมืองได้เพราะไฟดับ จึงจำใจขับรถมาเพื่อขอค้างคืนที่บ้านเช่าของพวกเขาเอง
แต่เพราะบ้านพักตากอากาศนี้จองผ่านเว็บออนไลน์ ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นแปลกหน้าไม่เคยแม้จะติดต่อโดยตรงถึงกัน การต้องมาอยู่ร่วมกันจึงเกิดความรู้สึกอึดอัดไม่เชื่อใจกัน
ภายนอกบ้านก็มีเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝูงกวางที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้านโดยไม่มีท่าทางเกรงกลัว และเสียงประหลาดที่ดังก้องไปทั่วฟ้า ทั้งหมดไม่สามารถหาข้อมูลข่าวสารหรือคำอธิบายได้เลย
และเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือ ลูกของเธอเกิดฟันหลุดร่วงจากปากโดยหาสาเหตุไม่ได้ จนทำให้อาแมนด้าและเคลย์ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
Leave the World Behind
High Tech, High Touch
ยิ่งเทคโนโลยีสูงเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งโหยหาสิ่งที่จับต้องได้จริง
John Naisbitt นักคิดผู้เขียน Megatrends
หนังตั้งคำถามว่าเมื่อสิ่งที่เราเชื่อว่าสำคัญอย่างมือถือ, อินเทอร์เน็ต, ทีวี และรถอัจฉริยะพังพร้อมกัน มนุษย์จะรับมือยังไง
เทคโนโลยีทำให้เราติดตามข่าวสารได้ทันที แต่ก็ค่อย ๆ ลบ “ความสัมพันธ์ที่ไว้ใจกันได้” ออกจากชีวิต เมื่อระบบที่เราคิดว่าแน่นอนหยุดทำงาน สิ่งที่เหลืออยู่คือ “ความไม่ไว้ใจ” ทั้งในคนรอบตัว และบางทีกับตัวเอง
มองย้อนจากอดีตถึงปัจจุบัน: เราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?
อดีต
  • ​บ้านอยู่ติดกัน เดินไปเคาะประตูขอยืมข้าวสาร
  • ​ไฟดับ ทุกคนออกมาคุยกันหน้าบ้าน
  • ​การสื่อสารเน้นแบบพบหน้ากัน การติดต่อรับบริการหรือทำธุรกรรมต้องไปยังจุดบริการต่างๆ ทำให้ได้เชื่อมโยงกับบุคคลจริงๆ ไม่ต้องรู้จักกันก็ยิ้มให้กันได้
  • เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง โทรหากัน นัดเจอกัน
ปัจจุบัน
  • บ้านหรูหลังใหญ่ หรือห้องเดี่ยวคอนโด แต่ไม่รู้จักข้างบ้านสักคน
  • ทุกคนอยู่ในโลกส่วนตัว ปิดประตู ปิดใจ
  • ทุกคนคุยกับผ่านแชตกลุ่ม
  • ทุกการสื่อสารผ่านจอมือถือ ทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบอัตโนมัติ สะดวกขึ้น แต่โดดเดี่ยวขึ้นเช่นกัน เพื่อนที่คุยถูกคออยู่กันคนละฝั่งทวีป
ตัวอย่างที่เห็นในด้านการเงิน เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว รองรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกแห่งการแข่งขันในยุคนี้ การเปิดบัญชีการเงิน การรับจ่ายเงิน การสมัครประกัน การประชุมนำเสนอ ทำได้โดยไม่ต้องเจอหน้ากันอีกต่อไป
โลกที่เชื่อมถึงกันแต่เรากลับห่างกันมากขึ้น เราเคยวิ่งตามเทคโนโลยี ด้วยความหวังว่าชีวิตจะสบายขึ้น แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง “คน” กลับค่อย ๆ ห่างเหินลง โดยไม่ทันรู้ตัว คำว่า Introvert และ Extrovert กลายเป็นกระแสในช่วง 20 ปีมานี้ ทั้งที่เมื่อก่อน แค่ได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกันตรง ๆ ก็พอ
วันนี้ เราอยู่ท่ามกลาง AI, Metaverse, Robot Companion เราสามารถใช้ชีวิตโดย “ไม่ต้องพึ่งพาใคร” ได้มากกว่าที่เคย แค่ใส่แว่น VR ก็หลบไปอยู่ในโลกที่รู้สึกปลอดภัย มี AI ที่ฟังเราทุกคำ มีผู้ช่วยที่อาจเข้าใจเรามากกว่าเพื่อนจริง ๆ ดูเหมือนว่าเราจะเชื่อมต่อกับโลกได้ตลอดเวลา แต่กลับมีคนจำนวนมาก…ที่รู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าที่เคย
ในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า เราจะ “ห่างกัน” ไปถึงไหน? หรือเราจะ “Leave the world behind” กันจริง ๆ เหมือนในหนัง? บางที…สิ่งที่เราต้องถามไม่ใช่ว่า “เทคโนโลยีจะไปได้ไกลแค่ไหน” แต่คือ…ระหว่างทาง เราจะยังเข้าใจกันได้เหมือนเดิมไหม เพราะในโลกที่เชื่อมต่อกันตลอดเวลา สิ่งที่ขาดหายไป อาจเป็นแค่ “ความใส่ใจ” จากใครสักคนก็ได้
Leave the World Behind: หนีโลกวุ่นวาย หรือทิ้งความสัมพันธ์ไว้ข้างหลัง?
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ น่าจะตีความหมายของชื่อหนังเรื่องนี้ถึง “การหนีออกจากโลกที่วุ่นวาย” แต่หากชมแล้วอาจกลายเป็นคำถามในใจว่าความจริงแล้ว โลกหนีเรา หรือ เราหนีโลก กันแน่
Leave the World Behind
เมื่อเราทิ้ง “ความสัมพันธ์” ที่เป็นรากฐานความปลอดภัย หวังจะใช้หน้าจอและระบบเป็นสิ่งพึ่งพา หากวันหนึ่งเมื่อทุกระบบดับสนิทลง แล้วคุณจะไว้ใจใคร และคุณจะทำอย่างไร?
Leave the World Behind จบลงโดยไม่ให้คำตอบใดใด ไม่มีคำเฉลยว่าตกลงโลกข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่ฝากคำถามไว้ให้ทุกคน ชวนให้เราถามตัวเองในวันที่ทุกอย่างเงียบว่า
  • ถ้าระบบดับ คุณจะไว้ใจใครก่อน?
  • ถ้าไม่มีใครให้ถาม คุณจะยอมเดินออกจาก “โลกส่วนตัว” ไปหาคนอื่นไหม?
  • ถ้า “บ้านป่า” คือความสงบ แล้วใจคุณสงบแค่ไหนในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ?
บางที “ความสัมพันธ์” ที่ดูเหมือนล้าสมัย การรู้จักคนข้างบ้าน การช่วยเหลือกัน อาจกลายเป็นระบบที่ดีที่สุดในวันที่โลกไม่แน่นอนที่เราจะสามารถออกจากโลกหรือสังคมที่เราถูกกำหนดให้เป็นไปตามเทคโนโลยีหรือวิถีอย่างที่เป็นอยู่ กลับสู่โลกสังคมที่แสนสงบและเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติจริงของคนเรา
Leave the World Behind
โดยรวม Leave the World Behind เป็นหนัง thriller สไตล์ apocalyptic (แนวหายนะโลกาวินาศ) ที่เล่าเรื่องโลกที่เปลี่ยนไปแบบสุดขั้วเพราะวิกฤตบางอย่าง เป็นหนังที่สร้างความประทับใจทางอารมณ์และภาพ แต่ไม่ใช่หนังระเบิดฉากตระการตาอย่างที่หลายคนคาดหวัง อาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน
ตัวเรื่องต้องการสะกดให้ผู้ชม “คิดต่อ” มากกว่าให้คำตอบ ตลอดเรื่องมีการนำเสนอประเด็นต่างๆ ที่ร้อยเรียงให้คิดตาม ในตีความหลักๆ ได้ 2-3 ทางให้คนดูหาคำตอบตามความคิดของตัวเอง แต่สุดท้ายไม่ได้มีการเฉลยอะไร เนื่องจากตัวหนังเองต้องการเน้นประเด็นหากโลกขาดหายไปจากเทคโนโลยีแล้วเราจะตัดสินใจหรือเลือกทำอย่างไร หากคุณชอบหนังที่เน้นการตีความ ท่ามกลางความเงียบและความไม่แน่นอน หนังเรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
นักวิจารณ์หลายคนมีความเห็นถึงการเดินเรื่องที่ช้าและเหมือนขาดๆ เกินๆ ทำให้การสื่อเรื่องราวไม่ชัดเจน สำหรับผมที่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ผมชอบในสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอ
โฆษณา