1 ส.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
กัมพูชา

กัมพูชา ตอนที่ 4 เชื้อชาติ อำนาจ และการฆ่า

ถ้ายังดื้อขืนอยู่ต่อ.. ก็ตายลูกเดียว แต่ถ้าจะหนี.. ก็ต้องคิดว่า จะไปไหนกัน?? แน่นอนการหลบหนีออกจากกรุงพนมเปญ ควรไปทางทิศตะวันออกของกัมพูชาน่าจะดีกว่า เพราะเป็นบริเวณที่เวียดกงเคยใช้เป็นฐานยุทธศาสตร์ต่อสู้กับเวียดนามใต้ และถึงแม้ว่า สาฬต สอ(Pol Pot) จะไม่พอใจที่ฝ่ายซ้ายกัมพูชายังต้องพึ่งพาเวียดนามเหนืออยู่ก็ตาม แต่ในสถานะการณ์ที่จำเป็นเช่นนี้.. ต้องทำเพื่อความอยู่รอด
ในปี ค.ศ.1965(พ.ศ.2508) เขาได้เดินทางไปยังฮานอย และเข้าพบกับประธานาธิบดีโฮ จิ มินห์ (Ho Chi Minh) รวมถึงผู้นำของเวียดนามเหนืออีกหลายคน เพื่อขออาวุธโดยไม่ได้ต้องการกำลังพล ซึ่งทางเวียดนามเหนือต้องการที่จะรวมพรรคคอมมิวนิสต์ของสามประเทศในอินโดจีนเข้าไว้ด้วยกัน
แต่ สาฬต สอ(Pol Pot) มีความต้องการให้พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเป็นอิสระจากอิทธิพลของเวียดนามเหนือ เขาไม่ได้ต้องการกำลังพล เขาอยากได้เพียงแค่อาวุธเท่านั้น และด้วยทัศนคติที่คิดเห็นต่างกันในแนวทางนี้ จึงทำให้เขาต้องออกหาแนวร่วมกลุ่มใหม่
3
โฮ จิ มินห์ (Ho Chi Minh)
นั่นคือ โซเวียต หรือรัสเซีย ซึ่งหนุนหลังเวียดนามเหนืออยู่นั้น ภายใต้นิกิตา ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev) ผู้นำโซเวียต ยืดแนวทาง "อยู่ร่วมอย่างสันติ" (peaceful coexistence) และมองว่า.. กัมพูชายังไม่พร้อมสำหรับการปฏิวัติทางชนชั้นแบบรุนแรง เนื่องจากยังเป็นสังคมเกษตรกรรมอยู่มาก เพราะแนวความคิดของพวกโซเวียต คือ สังคมจะต้องพัฒนาเป็นทุนนิยมก่อน
จากนั้นค่อยเริ่มต้นปฎิวัติเขตเมืองและเขตอุตสหกรรม แต่สำหรับ สาฬต สอ(Pol Pot) ไม่ได้คิดแบบนั้น เขายังเชื่อว่า.. แม้กัมพูชาจะเป็นสังคมเกษตรกรรม แต่ก็สามารถเดินสู่การเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ได้เหมือนกัน และด้วยอุดมการณ์ที่ไม่เหมือนกันของทั้งสองกลุ่มนี้ ไม่อาจสนับสนุนความต้องการของเขาได้
ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev)
ดังนั้นกลุ่มของ สาฬต สอ(Pol Pot) จึงเอนเอียงไปทางจีน และเขาได้เดินทางไปปักกิ่งในช่วงปลายปี ค.ศ.1965(พ.ศ.2508) ถึงต้นปี ค.ศ.1966(พ.ศ.2509) เพื่อพบกับ เติ้ง เสี่ยวผิง, เฉิน โปตา (Chen Boda), คังเชิง (Kang Sheng) และ จาง ฉุนเฉียว (Zhang Chunqiao) ซึ่งเป็นหนึ่งใน "Gang of Four" ของจีน และเรียนรู้แนวคิด มาร์กซ์–เลนิน–เหมาอย่างเข้มข้น เพื่อวันข้างหน้าเมื่อกัมพูชาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว พวกเขาจะได้ปกครองประเทศในแบบที่ต้องการ
ในปี ค.ศ.1966(พ.ศ.2509) สาฬต สอ(Pol Pot) เดินทางกลับมายังบริเวณชายแดนกัมพูชา~เวียดนาม ที่มินห์เฟือก” (Minh Phước) จังหวัดบิ่ญเฟื๋อก ซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดรัตนคีรี เขาและกลุ่มสหายได้ร่วมมือกันเปลี่ยนชื่อขบวนการเป็น “พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา” อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งเริ่มขยายอิทธิพลไปยังชนบทโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนในจังหวัดรัตนคีรี ถึงกระนั้นชื่อ "เขมรแดง" (Khmer Rouge)
1
ซึ่งเป็นคำที่ตั้งโดยฝ่ายตรงข้ามอย่าง เจ้านโรดม สีหนุ ได้กลับกลายเป็นชื่อที่ใช้ในวงกว้างทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทั้งๆ ที่สาฬต สอ(Pol Pot) ก็คือ ตัวเจ้าของขบวนการและพรรคพวก ยังไม่เคยใช้ชื่อนี้ในการเรียกขานตัวเองเลย แต่ทั่วโลกก็เรียกกลุ่มของเขาและพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาว่า.. “ขแมร์ฮู้” อันเป็นชื่อที่ศัตรูทางการเมืองของพวกเขาเป็นผู้ตั้งให้
เติ้ง เสี่ยวผิง, เฉิน โปตา (Chen Boda), คังเชิง (Kang Sheng) และ จาง ฉุนเฉียว (Zhang Chunqiao) ตามลำดับ
อาจจะฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากพระองค์ก็เป็นเจ้าแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทำไมถึงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่ก็คงไม่น่าประหลาดใจมากนัก เพราะว่าบางทีเราเองเป็นคนไทย ก็ยังพูดไทยคำฝรั่งคำกันเลย ดังนั้นพระองค์อาจจะรับสั่งภาษาขแมร์บ้าง และมีการผสมผสานภาษาฝรั่งเศสเข้าไปด้วยเหมือนกัน
คราวนี้เรากลับมาที่การเมืองในกรุงพนมเปญ รวมถึงการเมืองระหว่างประเทศของกัมพูชากันบ้าง ในช่วงประมาณปลายทศวรรษ 60 จำได้ไหมว่า.. เป็นช่วงที่เจ้านโรดม สีหนุ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมาก พระองค์มีนายกรัฐมนตรีนับ 10คนเลยทีเดียว
หนึ่งในนั้นก็คือ นายพล ลอน นอน(Lon Nol) ซึ่งถือว่าเป็นคนที่มีความเป็นนักอนุรักษ์นิยมเหมือนเจ้านโรดม สีหนุ แต่แตกต่างกันตรงที่ว่า มีความเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามากกว่า เดี๋ยวเราค่อยพูดถึงนายพล ลอน นอน ต่อไป
และในกรอบเวลานั้น ก็คือประมาณปี ค.ศ.1970(พ.ศ.2513) ถึงแม้ว่า เจ้านโรดม สีหนุ จะค่อยๆ เปิดพื้นที่ให้กับสหรัฐอเมริกามากขึ้น แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ดูเหมือนจะยังคงไม่ค่อยสบายใจกับท่าทีของพระองค์ ที่ยังคงมีความใกล้ชิดกับเวียดนามเหนือและเวียดกงด้วย
เฮนรี คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger)
ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐอเมริกา ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีนิกสัน และมีที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศคือ เฮนรี คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) มีแนวคิดสนับสนุนให้อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็คือ นายพล ลอน นอล ทำการยึดอำนาจรัฐประหารเจ้านโรดม สีหนุในปี ค.ศ.1970(พ.ศ.2513)ไปเลย ซึ่งในระหว่างนั้น เจ้านโรดม สีหนุ เสด็จไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ และปฏิบัติการในครั้งนั้นก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่เป็นการปลดเจ้านโรดม สีหนุออกจากตำแหน่งพระประมุข และผู้มีอำนาจที่แท้จริงของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกเลิกระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาอีกด้วย ได้มีการสถาปนา “สาธารณรัฐกัมพูชา” ขึ้นในปีเดียวกันนั้น โดยมีตัวนายพล ลอน นอล เป็นประธานาธิบดีคนแรก และขอวงเล็บว่า.. คนเดียวของสาธารณรัฐกัมพูชา ภายใต้รัฐบาลของนายพล ลอน นอล
1
นั่นจึงทำให้สหรัฐอเมริกา สามารถเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ของกัมพูชาในฐานะที่เป็น หนึ่งในพื้นที่สำคัญในสงครามอินโดจีนได้อย่างมีอิสระ มากกว่ายุคของเจ้านโรดม สีหนุ และปฏิบัติการของสหรัฐอเมริกา ก็คือการตัดเส้นทางลำเลียงพลและยุทธภัณฑ์ของเวียดนามเหนือ และเวียดกงต่อจากโอเปอเรชั่นที่แล้วจำได้ไหม “ปฏิบัติการโอเปอเรชั่นเมนู” ต่อมาคือ การเปิด “ปฏิบัติการโอเปอเรชั่นฟรีดอม ดีล” (Operation Freedom Deal) มีลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ เป็นปฏิบัติการทิ้งระเบิดนั่นเอง
2
นายพล ลอน นอล
แต่ครั้งนี้.. จำนวนของระเบิด มีมากมหาศาลกว่าครั้งก่อน โดยมี “ปฏิบัติการโอเปอเรชั่นฟรีดอม ดีล”(Operation Freedom Deal) อยู่ถึง 3 ปีได้ทิ้งระเบิดลงไป 250,000 ตัน ซึ่งถือว่า มีจำนวนมาก กว่าการทิ้งระเบิดที่ญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซะอีก ในตอนนั้นมีทั้งหมดแค่ 180,000 ตัน และด้วยทั้ง 2 ปฏิบัติการนี้คือ โอเปอเรชั่น เมนู กับฟรีด้อม ดีลนั้น ผลปรากฎว่า.. สหรัฐได้ทิ้งระเบิดลงบนแผ่นดินของกัมพูชาถึง 500,000 ตัน ชาวกัมพูชาจำนวนหลายแสนคน อาจถึงหลักล้านคนก็เป็นได้ ต้องอพยพจากชนบทสู่พื้นที่ปลอดภัยกว่า
อีกทั้งผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอพยพมาจากพื้นที่แถบชายแดนด้านตะวันออก เป็นเขตที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก แถมยังมีกลุ่มคนของฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายที่มีความขัดแย้งกันมาตลอด ก็อยู่ในพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นเขตทิ้งระเบิดเช่นเดียวกัน จึงทำให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงพนมเปญนครหลวงของกัมพูชา ที่อยู่ตอนกลางของประเทศ
และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เอง กลับส่งผลดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถขยายอิทธิพลได้มากนัก แต่ตอนนี้เริ่มที่จะดึงคนในชนบทที่เข้ามาเหล่านั้นให้เป็นสมาชิกพรรคได้มากขึ้น รวมถึงมีคนเข้ามาสมัครเป็นทหารในกองกำลังของเขมรแดงมากขึ้นเรื่อยๆ
3
ประเทศกัมพูชาในช่วงสงครามเวียดนาม
นั้นหมายความว่า.. รัฐบาลของนายพลลอน นอล ได้หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมือง ความนิยมถดถอยลงอย่างมาก หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือ จังหวัดที่มีการทิ้งระเบิด หลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า.. ในช่วงปี คือ.ศ.1970(พ.ศ.2513) นี้เองที่ สาฬต สอ ผู้นำของเขมรแดง ซึ่งตอนนั้นอายุ 45 ปี ได้เปลี่ยนชื่อเรียกของ ตนเองจาก สาฬต สอ เป็นชื่อว่า “สหายพล” ที่ต่อมาเรียกกันว่า “พล พต”
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เขมรแดงเติบโตรวดเร็วหลังการรัฐประหารคือ พันธมิตรใหม่(แต่หน้าเก่านะ)ของเขมรแดง กับอีกหนึ่งคู่การเมืองที่เสีย อำนาจไปนั่นก็คือ “เจ้านโรดม สีหนุ” นี่มันคืออะไรล่ะ!! ตอนแรกบาดหมางกันถึงขั้น “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” ท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ ในเกมการเมืองนั้น ”ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ“ วาทะกรรมที่กลายเป็นจริงอย่างชัดเจน
1
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมรอยร้าวนี้คือ “รัฐบาลจีน” โดยเฉพาะโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีนในขณะนั้น ซึ่งให้การสนับสนุนเจ้านโรดม สีหนุ มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้เกิดการจับมือร่วมกันระหว่างเจ้านโรดม สีหนุ กับกลุ่มเขมรแดง เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของลอน นอล ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาคอยหนุนหลังอยู่ ถึงแม้ความร่วมมือกันในครั้งนี้ ออกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง ในมิติของอุดมการณ์ เมื่อฝ่ายหนึ่งคือกษัตริย์นิยม และอีกฝ่ายหนึ่งคือคอมมิวนิสต์สุดโต่ง แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้.. เพราะประโยชน์ร่วมกัน
3
โจว เอินไหล
ประกอบกับกลุ่มเขมรแดงตระหนักดีว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในเขตชนบทยังคงศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ การที่มีเจ้านโรดม สีหนุ อยู่ฝั่งเดียวกัน จึงจะช่วยให้ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนที่ยังยึดมั่นต่อราชวงศ์ ในขณะเดียวกัน เจ้านโรดม สีหนุ ก็เล็งเห็นว่า.. นี่อาจเป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้พระองค์กลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง
ในปี ค.ศ. 1971(พ.ศ.2514) กลุ่มเขมรแดงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเริ่มนำแนวทางปฏิวัติคอมมิวนิสต์สุดโต่งมาใช้ในพื้นที่ที่ตนควบคุม เช่น การยกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดิน การห้ามใช้เงินตรา การยกเลิกการนับถือศาสนา และการบังคับให้ทุกคนแต่งกายเหมือนกันด้วยเสื้อผ้าสีดำ และใช้รองเท้าจากเศษยางรถยนต์
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเขมรแดงในเวลานั้น ยังคงได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่างต่อเนื่อง แต่ความสัมพันธ์กับรัฐบาลเวียดนามเหนือ รวมถึงโซเวียตนั้นเริ่มแปรเปลี่ยน และเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในประเด็นที่เขมรแดงยืนยันว่า.. จะรับเพียงอาวุธจากเวียดนาม ไม่ใช่กำลังพล
เขมรแดงเข้ายึดครองกรุงพนมเปญได้เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 1975 และครองอำนาจจนถึง 1979
เมื่อถึงปี ค.ศ.1974(พ.ศ.2517) อำนาจของรัฐบาลลอน นอล เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่กลุ่มเขมรแดงกลับขยายอิทธิพลได้มากขึ้นยิ่งขึ้น และนำกำลังทหารล้อมกรุงพนมเปญได้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 เมษายน ปีเดียวกันนั้นเอง กลุ่มเขมรแดงก็สามารถเข้ายึดครองกรุงพนมเปญได้อย่างสมบูรณ์ นับเป็นการสิ้นสุดยุคของสาธารณรัฐกัมพูชา และเปิดศักราชใหม่ที่เขมรแดงเรียกว่า "ปีศูนย์" หรือจุดเริ่มต้นของกัมพูชาประชาธิปไตย
ทันทีหลังจากยึดครองกรุงพนมเปญแล้ว เขมรแดงสั่งอพยพประชาชนในเมืองทั้งหมดให้ออกจากเมืองไปสู่ชนบท โดยอ้างว่า.. สหรัฐอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด และเป็นการอพยพชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นการโยกย้ายประชากรกว่า 2.5 ล้านคนออกจากนครหลวงไปสู่ความตายต่างหาก ในท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนจัด ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และเด็กจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง
2
การอพยพในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือ ต้องการโยกย้ายประชากรออกไปอยู่ชนบทซึ่งง่ายต่อการควบคุม และแก้ปัญหาคนในเมืองที่คุ้นชินต่อระบบทุนนิยม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมหน้ากัมพูชาอย่างสิ้นเชิง เขมรแดงยกเลิกระบบเศรษฐกิจแบบเดิม ห้ามใช้เงินตรา ปิดโรงเรียน ยกเลิกศาสนา และเริ่มกระบวนการสร้าง "สังคมใหม่" ภายใต้การนำของ "องค์การ" หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา” โดยมีสหายหมายเลขหนึ่งคือ โปล ปต หรือ พรพจน์ หรือ พล พต เป็นผู้นำสูงสุดนั่นเอง
1
คุก S-21 หรือ "ตวล สแลง"
ภายใต้อุดมการณ์สุดโต่งนี้ คุก S-21 หรือ "ตวล สแลง" กลายเป็นสถานที่ทรมานและประหารชีวิตผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า.. เป็นศัตรูของปฏิวัติ ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์เอง ผู้ที่เห็นต่างจากแนวทางของโปล ปต ก็กลายเป็นเหยื่อ เช่น นักวิชาการ วิศวกร แพทย์ ครูอาจารย์ นักเรียนนักศึกษา พระภิกษุสงฆ์ พ่อค้า ฯลฯ หรือแม้กระทั่ง จนท.ของรัฐเอง รวมถึงครอบครัวของผู้ต้องสงสัยด้วย
ความโหดร้ายทารุณ ภายใต้การปกครองของเขมรแดงในเวลาต่อมา ได้รับการกล่าวขานจดจำไปทั่วโลกว่า.. เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมมนุษยชาติที่เลวร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว
2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา