15 ส.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
กัมพูชา

กัมพูชา ตอนที่ 5 เมื่อพันธมิตรกลายเป็นศัตรู

ในช่วงเวลาที่กรุงพนมเปญแตก เจ้าสีหนุยังคงพำนักอยู่ที่กรุงปักกิ่งและกรุงเปียงยาง ต่อมาพระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขแห่งรัฐ จึงเดินทางกลับมายังกัมพูชาในยุคเขมรแดง เมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518) กล่าวคือ ราว 5 เดือนหลังจากกรุงพนมเปญแตก
สำหรับเขมรแดงนั้น การที่เจ้าสีหนุพำนักอยู่ต่างประเทศถือเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะพระองค์อาจกลายเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมคนเพื่อต่อต้านเขมรแดง
ซึ่งในช่วงแรกที่กลับมาถึงกัมพูชา พระองค์ได้รับการดูแลอย่างดีจากฝ่ายเขมรแดง และยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศได้บ่อยครั้งอย่างอิสระ แต่หลังจากนั้นไม่นาน อิสรภาพของพระองค์ก็ค่อยๆ ถูกจำกัดลงทีละน้อย
ระหว่างที่ประทับอยู่กัมพูชา ในปี ค.ศ.1976(พ.ศ.2519) เอียง สารี ได้ทูลเชิญให้พระองค์เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรใน 7 พื้นที่ ซึ่งเมื่อพระองค์ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนกัมพูชาในเวลานั้น จึงทรงสลดพระทัยอย่างยิ่ง และตัดสินใจยุติบทบาทในฐานะประธานที่ปรึกษาของเขมรแดง พร้อมทั้งตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า.. พระองค์ผิดหวังมาก และไม่คิดว่าประชาชนของพระองค์ต้องเผชิญโศกนาฏกรรมจากพันธมิตรของพระองค์เองอย่างเขมรแดง
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จเยี่ยมทหารที่ค่ายบริเวณชายแดนไทย-เขมร เมื่อ 29 มกราคม พ.ศ. 2527
ดังนั้นจึงทรงพยายามหาทางลี้ภัยไปยังประเทศจีน แต่เขมรแดงก็ล่วงรู้และปฏิเสธทันที พร้อมสั่งกักบริเวณให้พระองค์อยู่แต่ในอพาร์ตเมนท์เล็กๆ กลางกรุงพนมเปญ พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ว่า.. ต้องออกจากกัมพูชาให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลังจากเจ้าสีหนุลาออกจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษา เขมรแดงได้แต่งตั้ง นวน เจีย (Nuon Chea) สหายหมายเลข 2 เป็นประธานสภา และแต่งตั้ง เคียว สมพร (Khieu Samphan) เป็นประมุขแห่งรัฐแทนที่เจ้าสีหนุ โดยพระองค์ทรงถูกกักบริเวณตลอดช่วงเวลาที่เขมรแดงครองอำนาจนานถึง 3 ปี
ในด้านการปกครอง เขมรแดงภายใต้การนำของ พอล พต ต้องการสร้างกัมพูชาให้เป็นรัฐคอมมิวนิสต์สมบูรณ์แบบ พึ่งพาตนเอง โดยเฉพาะความมั่นคงทางด้านอาหาร หวังว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ภายใน 10–15 ปี และพัฒนาอุตสาหกรรมให้ได้ภายใน 10 ปี ต่อจากนั้นจึงจะดำเนินการปฏิวัติสังคมให้เท่าเทียมกันอย่างสุดโต่ง ซึ่งในทางปฏิบัติกลายเป็น “ความทุกข์เท่าเทียม”
นวน เจีย (Nuon Chea) กับ เคียว สมพร (Khieu Samphan)
ไม่เพียงชนชั้นปัญญาชน หรือผู้ที่ไม่ยอมคล้อยตามระบอบคอมมิวนิสต์เท่านั้นที่โดนกำจัดทิ้ง แต่ยังรวมถึงสหายร่วมอุดมการณ์ที่เริ่มถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ มีการจับกุมและทรมานโดยสันติบาลลุกลามเกิดขึ้นไปทั่ว
โครงสร้างสายการบังคับบัญชาในกัมพูชาถูกปรับใหม่หมด โดยให้ทุกคนขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม ซึ่งอยู่ภายใต้ สน แซม (Son Sen) เขมรแดงดำเนินการกำจัดไม่เพียงศัตรูภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศัตรูภายในทางการเมืองของพอล พต ด้วย
บุคคลสำคัญในกระบวนการนี้ ได้แก่
  • 1.
    สน แซม (Son Sen)
  • 2.
    ตม็อบ (Ta Mok) – ฉายา “นักฆ่าขาเดียว”
  • 3.
    เคง เก็ก เอียว (Kang Kek Iew) หรือ “สหายดุช”
และในช่วงเวลานี้มีประชาชน และสหายเขมรแดงที่พอล พตไม่ไว้วางใจได้ถูกสังหารไปประมาณ 2 ล้านคน
สน แซม (Son Sen)  ตม็อบ (Ta Mok) และ เคง เก็ก เอียว (Kang Kek Iew) ตามลำดับ
เมื่อพอล พต เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งและเข้าพบ เหมา เจ๋อตง กับ โจว เอินไหล ในปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518) เหมา เจ๋อตงได้เตือนว่า.. แนวทางสุดโต่งเช่นนี้ อาจทำให้เขมรแดงเผชิญชะตากรรมเลวร้ายได้ นั่นแสดงว่า ตัวของ เหมา เจ๋อตง เองก็รู้ว่า สุดโต่งขนาดหนัก ซึ่งพอล พต ก็รับฟัง แต่ยังคงเดินหน้าตามแนวทางของตน หนึ่งในเป้าหมายแรกคือ การกำจัดสมาชิกเขมรแดงที่ใกล้ชิดกับเวียดนาม
พอล พต ยังเริ่มสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคล สร้างรูปปั้น และภาพพิมพ์ของตนเอง พร้อมทั้งประกาศว่า.. กัมพูชาประชาธิปไตย คือพอล พต ไม่ใช่ใครอื่น ถึงแม้เวียดนาม และกัมพูชาจะเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน แต่พอล พตไม่เคยเชื่อในความเป็นเอกภาพของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่เวียดนามเป็นผู้นำ เขาจึงไม่ไว้วางใจเพื่อนบ้านทางตะวันออกเลย และมองว่า.. เวียดนามมีความตั้งใจที่จะผนวกกัมพูชาเข้าไว้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกขององค์กรที่ใกล้ชิดกับตนก็ถูกหมายหัวเอาไว้ให้เป็นเป้าหมายแรกในการทรมาน และสังหารที่คุกตวลสเลง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518)เป็นต้นมา แทนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ กลับกลายเป็นว่า ฝ่ายเขมรแดงซึ่งเป็นองค์กรปกครอง ได้เดินหน้าในการส่งกำลังขับไล่ชาวเวียดนามออกไปจากพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดน รวมถึงการสังหารหมู่คนชาติพันธุ์เวียดนามอย่างเข้มข้น จนต้องมีการเจรจาสานสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายกันเรื่อยมา
เขมรแดงกวานต้อนประชาชน จากกรุงพนมเปญสู่ชนบท
โดยมี เอียง ซารี สหายหมายเลข 3 เป็นแกนนำในการพูดคุยเจรจากับ เหงียน โกะ ทัก รัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนามอยู่ช่วงหนึ่งด้วย โดยส่วนใหญ่พบว่า การรุกรานและการปะทะที่เกิดขึ้น มักจะเป็นฝ่ายเขมรแดงที่เปิดฉากก่อน
ถามว่า.. เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือ พอล พต เชื่อมาโดยตลอดว่า เวียดนามภายใต้การนำของ เล ดวน (Lê Duẩn) เจือง จินเหวียน (Trương Chinh) และ ฟาม วัน ดง (Phạm Văn Đồng) จะต้องมีสักวันที่คิดรุกราน เพื่อผนวกเอากัมพูชาเข้าไปอยู่กับเวียดนามด้วย ไม่ช้าก็เร็ว อย่างแน่นอน
เรากลับมากันที่สถานการณ์ภายในองค์กรของเขมรแดง ด้วยสภาพแบบนี้ สหายผู้ร่วมอุดมการณ์หลายคนถูกจับตามองด้วยความระแวงสงสัย รวมถึง เฮง สัมริน (Heng Samrin) ชาวจังหวัดกำปงจาม ได้เข้าร่วมกับเขมรแดงมานานกว่า 10 ปี หน้าที่ดูแลกองกำลังเขมรแดงในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งมีความคิดว่า.. ต้องการโค่นล้มเขมรแดง
เฮง สัมริน และผู้ที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันได้จัดตั้ง “แนวร่วมแห่งชาติเพื่อการกอบกู้กัมพูชา” โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดกระแจะ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัมพูชา พูดง่ายๆ คือ เริ่มมีการแตกตัวออกจากเขมรแดงแล้ว
เล ดวน (Lê Duẩn) เจือง จินเหวียน (Trương Chinh) และ ฟาม วัน ดง (Phạm Văn Đồng)
นอกจากเฮง สัมรินแล้ว ยังมี ฮุน เซน (Hun Sen) นายทหารหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมรบกับเขมรแดงตั้งแต่อายุ 18 ปี ในปี ค.ศ.1970(พ.ศ.2513) และเมื่ออายุ 23 ปี เขาได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของแนวร่วมต่อต้านเขมรแดง
ฮุน เซน มีพื้นเพเป็นชาวจังหวัดกำปงจาม ซึ่งอยู่ตอนกลางของกัมพูชา เขาเกิดในปี ค.ศ.1952(พ.ศ.2495) เป็นบุตรชาวนา ชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว ครอบครัวมีที่ดิน และเคยมีส่วนร่วมกับขบวนการต่อต้านฝรั่งเศส มีชื่อเดิมในภาษาเขมรแปลว่า “อ้วน” เพราะตอนเด็กมีรูปร่างอ้วน เขาศึกษาที่พนมเปญ ก่อนจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนในเวียดนาม จากนั้นหยุดการเรียนเพื่อเข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อเจ้าสีหนุ ในช่วงที่มีการรัฐประหารโดยนายพล ลอน นอล
อุดมการณ์ของฮุน เซน คือ ต้องการขับไล่อำนาจของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สหรัฐอเมริกาออกไปจากแผ่นดินกัมพูชา เพราะบ้านของเขาก็เคยถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดจากปฏิบัติการ Menu ของสหรัฐอเมริกา
ฮุน เซน ตอนวัยรุ่น
ต่อมาฮุน เซน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ฮุน สำราษ” แต่รู้สึกว่า ชื่อดังกล่าวทำให้เจ็บป่วยบ่อย อาจไม่เป็นมงคล จึงเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “ฮุน เซน” เขาเป็นหนึ่งในกองกำลังเขมรแดงที่เข้าร่วมทำสงครามยึดกรุงพนมเปญในปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518) และได้รับการเลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองพัน ในพื้นที่ภาคตะวันออกติดกับชายแดนเวียดนาม โดยมีทหารภายใต้การบังคับบัญชาประมาณ 2,000 นาย
ฮุน เซน เป็นหนึ่งในแกนนำก่อตั้ง “แนวร่วมต่อต้านอำนาจของพอล พต” ร่วมกับ เฮง สัมริน และ เชียน ซัม (Chea Sim) ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 23 ปี
ปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อรวมตัวเพื่อต่อสู้ แล้วจะไปขอกำลังสนับสนุนจากที่ใดกันล่ะ!! นั่นเพราะพอล พตเองก็ได้กระชับอำนาจทางการทหารเอาไว้กับ สน แซม (Son Sen) จนหมดแล้ว จึงทำให้ตัวเลือกเดียวคือ ต้องไปพึ่งพาเพื่อนบ้านที่มีชื่อว่า.. เวียดนาม
เฮง สัมริน ตอนแก่กับตอนหนุ่ม และ เชียน ซัม ตอนแก่กับตอนหนุ่ม ตามลำดับ
ทีนี้เราก็มาตรง “จุดแตกหัก” ที่ทำให้กองกำลังเวียดนามไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ต่อไป กับการกระทำของเขมรแดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วหลังการก่อตั้ง “กัมพูชาประชาธิปไตย” นั่นคือ เหตุการณ์ที่กองทัพเขมรแดงของพอล พต เปิดฉากรุกรานพื้นที่ Ba Chúc (บั๊ก จุ๊ก)ในจังหวัดอันซางของเวียดนามเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี ค.ศ.1978(พ.ศ.2521) อีกทั้งยังสังหารหมู่พลเรือนชาวเวียดนามกว่า 3,000 คน
ในปลายปีเดียวกันนั้นเอง คือวันที่ 23 ธันวาคม เวียดนามได้ส่งกำลังพลรบกว่า 150,000 นาย บุกเข้ากัมพูชา และสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในวันที่ 7 มกราคม ปี ค.ศ.1979(พ.ศ.2522) ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นั่นจึงทำให้เขมรแดงหมดสิ้นอำนาจ
เหตุจากความขัดแย้งจนนำไปสู่.. การสู้รบครั้งนี้อยู่ในสงครามเย็น และเป็นส่วนหนึ่งของสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม เศษซากที่เหลือทิ้งไว้ให้คือ เศรษฐกิจพังพินาศ สังคมรวมถึงวัฒนธรรมล่มสลาย เรื่องความมั่นคงไม่ต้องพูดถึง.. ถูกบุกเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น กองทัพเวียดนามก็บุกเข้ายึดศูนย์กลางอำนาจกรุงพนมเปญ อันหมายถึงเข้ายึดประเทศกัมพูชาไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อเวียดนามเข้ายึดกรุงพนมเปญได้แล้ว จึงอนุญาตให้เจ้าสีหนุเดินทางไปกรุงปักกิ่ง ก่อนต่อเครื่องบินไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าแถลงในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ กล่าวประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง รวมทั้งอธิบายถึงเหตุผลที่เวียดนามต้องรุกรานกัมพูชาด้วย ซึ่งพระองค์ยังพยายามขอลี้ภัยการเมือง อยู่ในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส แต่ทรงถูกปฏิเสธ จึงต้องเดินทางกลับไปพำนักที่กรุงปักกิ่ง ภายใต้การดูแลของเติ้ง เสี่ยวผิง
ภาพเหตุการณ์ของเวียดนามกำลังบุกกัมพูชา
เขมรแดงไม่ได้สูญพันธุ์ไปในทันที แต่เปลี่ยนโฉมไปเป็น“ขบวนการกองโจรต่อต้านเวียดนาม”ขณะเดียวกันบรรดานานาชาติทั้งหลาย ก็มีท่าทีความคิดเห็นต่อการรุกรานในครั้งนี้ แตกต่างกันออกไป เช่น บางประเทศมองว่า เป็นการดี ที่ยุติอาชญากรรมของเขมรแดง แต่ขณะที่บางประเทศกลับมองว่า เวียดนามเป็นผู้รุกราน และทำให้สิ้นสุดระบอบเขมรแดง ผู้สร้างนรกบนดินเป็นเวลายาวนานกว่า 3ปี ที่ได้สังหารชาวกัมพูชาไปมากกว่า 1 ใน 3 ของประชาชนทั้งประเทศ (ภาพหน้าปกคือภาพที่ประชาชนกัมพูชาอพยพหนีไปประเทศไทย)
เวียดนามปกครองกัมพูชาผ่าน “แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์” ซึ่งตั้งรัฐบาลใหม่ในวันที่ 8 มกราคม ปี ค.ศ.1979(พ.ศ.2522)โดยมี เฮง สัมริน เป็นประธานสมัชชาแห่งชาติ, แปน โสวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี, และ ฮุน เซน ในวัยเพียง 26 ปี เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
การสิ้นสุดอำนาจของพอล พตในเดือนมกราคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) ไม่ได้หมายความว่าสงครามในกัมพูชาจะจบลง ตรงกันข้าม มันกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับกลุ่มต่อต้านที่กระจายกำลังตามชายแดนไทย-กัมพูชา ขบวนการเขมรแดงแม้จะสูญเสียเมืองหลวงและโครงสร้างรัฐ แต่ก็ยังคงมีฐานที่มั่นในป่าเขา พร้อมได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศที่ไม่ต้องการเห็นเวียดนามขยายอิทธิพล
ในขณะเดียวกัน การเข้ามาปกครองของเวียดนามทำให้กัมพูชากลายเป็นหมากตัวสำคัญในกระดานสงครามเย็น ฝ่ายหนึ่งคือ “รัฐบาลประชาชนกัมพูชา” ที่เวียดนามหนุนหลัง กับอีกฝ่ายคือ “กองกำลังต่อต้าน” ที่มีทั้งเขมรแดง กองกำลังนิยมเจ้า และกลุ่มชาตินิยมอื่น ๆ จับมือกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อมีเป้าหมายเดียวคือขับไล่เวียดนามออกจากแผ่นดินกัมพูชา
นี่คือจุดเริ่มต้นของ “สงครามเงา” ที่กินเวลานานกว่าทศวรรษ ทั้งในสนามรบและในเวทีการทูตระหว่างประเทศ… เรื่องราวของการต่อสู้ครั้งใหม่นี้จะเป็นหัวข้อในตอนถัดไป
2
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 5 เมื่อพันธมิตรกลายเป็นศัตรู

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา