5 ก.ย. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
กัมพูชา

กัมพูชา ตอนที่ 6 เมื่อผลประโยชน์ลงตัว: เส้นทางกัมพูชาจากสงครามสู่สันติภาพ

ในตอนนี้เรามาตามกันต่อว่า.. เมื่อเวียดนามบุกยึดกรุงพนมเปญ และโค่นล้มระบอบเขมรแดงได้สำเร็จ เวียดนามจัดตั้ง “รัฐบาลประชาชนกัมพูชา” เป็นหุ่นเชิด โดยมี "เฮง สัมริน" เป็นผู้นำ และ "ฮุน เซน" ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของรัฐบาลใหม่ด้วย มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เวียดนามปกครองแผ่นดินกัมพูชากินเวลานานนับทศวรรษ
กล่าวคือ นับตั้งแต่เวียดนามบุกยึดกรุงพนมเปญ ในปี ค.ศ.1979(พ.ศ.2522) จวบจนถึงวันที่ต้องถอนทหารคนสุดท้ายออกจากแผ่นดินกัมพูชาในปี ค.ศ.1989(พ.ศ.2532) บนเส้นทางที่แสนจะสับสน และสถานะการณ์ที่วุ่นวายเหล่านี้ พวกเขาเดินหน้ากันอย่างไร??.. จนกลายมาเป็นราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างทุกวันนี้
1
นี่ยังไม่นับรวมถึงเขมรแดงที่แตกพ่ายไป แต่ไม่ได้สูญพันธุ์ทันทีที่แพ้สงครามต่อเวียดนาม แถมถอยไปตั้งฐานตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อสู้แบบกองโจร โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง
ช่วงเวลาเข้าสู่ยุค 4 ทันสมัยของจีน
ดังนั้นก่อนอื่น จะขอพาข้ามห้วยไปกันที่พี่ใหญ่จีน ผู้ให้การสนับสนุนเขมรแดงมาโดยตลอด และช่วงเวลานั้น ผู้นำของจีนคือ เติ้ง เสี่ยวผิง เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดแทนประธานเหมา เจ๋อตุง ซึ่งถึงแก่อสัญกรรม นับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากยุคปฏิวัติวัฒนธรรม สู่ยุค 4 ทันสมัยของผู้นำคนใหม่ ย่อมมีอิทธิพลต่อการเมืองของกัมพูชาในยุคเปลี่ยนผ่านนี้อย่างแน่นอน
ในเมื่อที่ผ่านมา การเมืองของกัมพูชาอิงกับรัฐบาลปักกิ่งค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเขมรแดง หรือเป็นที่ลี้ภัยของเจ้านโรดม สีหนุ พาร์ทเนอร์ในการพูดคุยตอนนี้ ไม่ใช่ประธานเหมา เจ๋อตุงแล้ว แต่กลายเป็นเติ้ง เสี่ยวผิง และ จ้าว จื่อหยางแทน
1
เรากลับมากันที่กัมพูชาต่อ กองทัพเขมรแดงต้องถอยร่นและไปกบดานอยู่ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ คือ เทือกเขาบรรทัด ทิวเขาพนมดงรัก ตามแนวชายแดนติดกับประเทศไทย กองกำลังของพวกเขาร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ซึ่งพล พต ตระหนักดีว่า ด้วยจุดยืนเดิมสายสุดโต่งนั้น จะทำให้คนกัมพูชาผลักตนออกไปเรื่อยๆ และตัวเขาก็จะไม่มีกำลังพลเข้ามาเสริมอีกเลย
เครื่องแบบการแต่งกายก่อนที่จะมีการเปลี่ยนไปเป็นชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวไพร
ในแง่อุดมการณ์รวมถึงสัญญาณสีแดงที่อ่อนลงของรัฐบาลปักกิ่ง ทำให้ท่าทีของเขมรแดงต้องเปลี่ยนไปหลายอย่าง เช่น พล พต ลดบทบาทตัวเองลง แล้วมอบตำแหน่งทางการเมืองให้เอียงซารี ในขณะที่เครื่องแบบสีดำก็ต้องถูกยกเลิก เพราะว่าถ้าคุณอยู่ในป่าสีเขียว ใส่เสื้อผ้าสีดำหรือโพกผ้าสีขาวแดงก็เป็นเป้านิ่งให้ฝ่ายตรงข้ามยิงหัวกบาลตายได้ง่ายๆ กองทัพเขมรแดงจึงต้องเปลี่ยนไปใช้ชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวไพรตามปกติ
พล พต เริ่มต้นแสดงจุดยืนที่เปลี่ยนแปลง เขายอมรับว่า ตนเสียใจกับการสังหารคนกัมพูชาจำนวนมาก และพูดว่า “จะบอกว่าผมสั่งฆ่าคนเป็นเรือนล้านก็เกินไปแน่ๆ ผมไม่ได้เป็นผู้สั่งฆ่าเด็กๆ และที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะสถานการณ์ส่วนนึง ไม่ใช่เพราะตัวเองทั้งหมด”
เมื่อเขมรแดงสิ้นอำนาจ กัมพูชาถูกปกครองโดยรัฐบาลหุ่นเชิดของคนต่างด้าว คือ เวียดนาม ฝ่ายการเมืองอื่นๆ ก็ไม่นิ่งเฉย แม้แต่ฝั่งเจ้านโรดม สีหนุ ที่ลี้ภัยสลับกันไปมาระหว่างปักกิ่งกับเปียงยาง มีการตั้งพรรคใหม่ชื่อ “ฟุนซินเปก” คำนี้ย่อมาจากภาษาฝรั่งเศส Les Sons Unis pour l’Indépendance et la Paix au Cambodge แปลว่า “แนวร่วมแห่งชาติกัมพูชาเพื่อเอกราช ความเป็นกลาง ความสงบ และความร่วมมือ”
ยังมีอีกฝ่ายที่สำคัญเป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์คล้ายกับเจ้านโรดม สีหนุ คือ ไม่เอาคอมมิวนิสต์ และต้องการปลดปล่อยกัมพูชาเป็นอิสสระจากเวียดนาม กลุ่มนี้มีชื่อว่า “แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร” หรือบางคนเรียกว่า “เขมรเสรี”
ซอน ซาน อดีตนายกรัฐมนตรี
ผู้นำคือ ซอน ซาน อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยของกัมพูชา และอดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง ทั้งสองฝ่ายมีอุดมการณ์เดียวกัน คือเพื่อกัมพูชาที่สงบสุขและเป็นเอกราช
แต่ปัญหา คือทั้งสองกลุ่มแทบไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือเลย มีกองกำลังเพียงเล็กน้อย ไม่เพียงพอจะต่อกรกับกองทัพเวียดนามที่มีทหารประมาณ 100,000–200,000 นาย
คำถามคือ จะใช้กองกำลังจากไหนกันล่ะ?? เพื่อสู้รบกับรัฐบาลของเฮงสำริน ที่มีกองทัพเวียดนามคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
คำตอบคือ ต้องปรึกษาพี่ใหญ่จีน ภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง และจ้าว จื่อหยาง ได้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกับมือกับเขมรแดง ซึ่งมีกำลังพอที่จะขัดขวางเวียดนามได้บ้าง และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง
พิมพ์เขียวก็คือ เจ้านโรดมสีหนุจะเป็นประมุขของรัฐบาลผสมพลัดถิ่น 3 ฝ่าย อันประกอบด้วย
ภาพของผู้นำทั้ง 3 ฝ่าย
  • 1.
    ฝ่ายของเจ้านโรดม สีหนุ พรรคฟุนซินเปก
  • 2.
    ฝ่ายของซอน ซาน แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร (KPNLF)
  • 3.
    ฝ่ายของพล พต เขมรแดง
คำถามคือ แล้วเจ้านโรดม สีหนุ จะยอมรับได้หรือไม่?
คำตอบคือ พระองค์ไม่ยินยอม เพราะไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมของเขมรแดงในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาได้
แต่ผลสุดท้าย เมื่อได้พูดคุยกับจ้าว จื่อหยาง และฝ่ายอื่นๆ ด้วยแล้ว เจ้านโรดม สีหนุ ต้องยินยอม เป็นประมุขให้กับรัฐบาลผสมพลัดถิ่นของกัมพูชา ซึ่งการพูดคุยกันครั้งนี้ เกิดขึ้นที่สิงคโปร์ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1982(พ.ศ.2525)โดยฝ่ายจีนมีจ้าว จื่อหยางเป็นแบ็คอัพ และอีกคนคือนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในเวลานั้นคือ ลี กวนยู
ทำหน้าที่เป็นกาวใจ ทั้ง 3 ฝ่ายรวมตัวกันเป็น “รัฐบาลแนวร่วมกัมพูชาประชาธิปไตย (CGDK)” และได้รับการยอมรับจากที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ นั่นจึงเป็นการยืนยันถึงประโยคทองที่ใช้ได้ทุกยุคสมัยว่า.. “ เมื่อผลประโยชน์ลงตัว อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวรในทางการเมือง”…
จากซ้ายไปขวา: เคียว สมพร ผู้นำเขมรแดงฝ่ายสนับสนุนจีน, ซอน ซาน ผู้นำพรรคชาตินิยม, เจ้าชายนโรดม สีหนุ ผู้นำกลุ่มต่อต้านกัมพูชา, โรลองด์ ดูมาส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส และฮุน เซน นายกรัฐมนตรีรัฐบาลพนมเปญ ถ่ายภาพก่อนเริ่มการเจรจาโต๊ะกลม เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ณ เมืองลา แซ็ง-คลาวด์ ประเทศฝรั่งเศส
กับอีกหนึ่งความขัดแย้งในกัมพูชาคือ หลังจากที่รัฐบาลกัมพูชาเข้าปกครองโดย เฮง สัมริน และฮุน เซน ภายใต้การสนับสนุนของเวียดนามนั้น ผลปรากฏว่า.. ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติได้ปฏิเสธการรับรองรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียดนาม โดยที่สหประชาชาติยังคงให้การรับรองฐานะของ “รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย“ ที่มีเขมรแดงร่วมอยู่ด้วย เป็นตัวแทนของกัมพูชาในเวทีโลก
1
ซึ่งช่วงเวลานั้น บนเวทีโลกมีความซับซ้อนมาก เพราะไม่เพียงเขมร 3 ฝ่ายต้องรวมตัวกันด้วยความจำเป็น ทางฝั่งชาติตะวันตก นำโดย สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทยด้วย ต่างก็หันมาให้การสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา 3 ฝ่าย ถึงแม้จะมีเขมรแดงรวมอยู่ด้วยก็ตาม ส่วนสาเหตุสำคัญนั่นก็คือ พวกเขาต้องการถ่วงดุลอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตที่ต้องการขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้นั่นเอง
1
และในปี ค.ศ.1985(พ.ศ.2528) รองนายกรัฐมนตรีวัย 32 ปีที่ชื่อ ฮุน เซน ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การสนับสนุนของเวียดนาม
ต่อมาในปี ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) โซเวียตเปลี่ยนผู้นำคนใหม่คือ มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) อายุ 54 ปี ซึ่งนโยบายหลักของเขาคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในของโซเวียต จำเป็นต้องลดภาระภายนอก เช่น เน้นการลดอิทธิพลในภูมิภาคอินโดจีน เริ่มจากลดการสนับสนุนเวียดนาม
มิคาอิล กอร์บาชอฟ
ซึ่งมีทหารมากกว่า 1,260,000 นาย โดยในเวลานั้นถือว่า กองทัพเวียดนามเป็นกองทัพที่มีกำลังพลมากที่สุด เป็นอันดับ 5 ของโลก และงบประมาณในการครอบครองกัมพูชาสูงถึง 1 ใน 3 ของงบการทหารทั้งหมด จึงต้องถือว่า มิคาอิล กอร์บาชอฟ เป็นผู้นำสหภาพโซเวียตที่ช่วยปิดม่านสงครามเย็นในภูมิภาคนี้
ดังนั้นเมื่อโซเวียตลดการสนับสนุนลง เวียดนามจึงจำเป็นต้องเริ่มถอนทหารออกจากกัมพูชาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่ปี ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) จนกระทั่งทหารคนสุดท้ายออกไปในปี ค.ศ.1989(พ.ศ.2532) สิ้นสุดการครอบครองกัมพูชานานนับ 10 ปี
เมื่อสงครามเย็นเริ่มคลี่คลายลง กัมพูชาต้องวางโรดแมปต่อไปว่า หลังเวียดนามถอนกำลังทหารออกไปแล้ว ดุลอำนาจภายในประเทศจะเป็นอย่างไร??
ด้านกำลังทหาร นับว่าฝ่าย ฮุน เซน มีอิทธิพลเหนือกว่ามาก เพราะในทุกพื้นที่ของกัมพูชาอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แม้แต่ในพื้นที่เดิมของเขมรแดงเองก็เช่นกัน
แต่ด้านการเมือง และการยอมรับจากต่างประเทศ รัฐบาลชุดนี้ต้องหาวิธียุติความขัดแย้งให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งฟื้นฟูกัมพูชาให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ดังนั้นสุดท้ายจึงมีการพูดคุยกันระหว่าง เขมร 3 ฝ่าย ที่กรุงพนมเปญ คือ
1. ฝ่ายพรรคฟุนซินเปก โดยเจ้านโรดม สีหนุ
2. ฝ่ายเขมรเสรี โดย ซอน ซาน
3. ฝ่ายเขมรแดง โดย พล พต
และอีกหนึ่งคือ ฝ่ายรัฐบาล ฮุน เซน กลายเป็นที่เรียกขานว่า “ เขมร 4 ฝ่าย (3+1)”
ซึ่งตัวแทนทั้ง 4 ฝ่ายต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอย่างสูง โดยเฉพาะฝ่ายเขมรแดง เนื่องจากประชาชนชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาในช่วงปี ค.ศ.1975~1978(พ.ศ.2518~2521) ด้วยน้ำมือของเขมรแดง
นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คน
ผลลัพธ์คือ สงครามสิ้นสุดลงด้วย “ข้อตกลงสัญญาสันติภาพปารีส”(Paris Agreement) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ปี ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) โดยทั้ง 4 ฝ่ายต่างลงนามในสัญญาร่วมกันยุติสงครามกลางเมืองกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง และนำไปสู่การเลือกตั้งโดยมีสหประชาชาติ (UN) เป็นผู้เข้ามาจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23~28 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536)
และมี 4 พรรคการเมืองจาก 4 ฝ่ายลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้มีที่นั่งในสภาทั้งหมด 120 ที่นั่ง จำเป็นต้องมี 61 ที่นั่ง จึงจะได้เสียงข้างมากในสภา และประชาชนชาวกัมพูชาออกมาใช้สิทธิ์สูงถึงเกือบร้อยละ 90
ซึ่งฝ่าย ฮุน เซน น่าจะได้เปรียบมากที่สุด เนื่องจากมีกำลังทหารที่เข้มแข็ง และเป็นรัฐบาลเดิมอยู่ในอำนาจอย่างต่อเนื่องนานถึง 12 ปี แต่ผลการเลือกตั้งกลับกลายเป็นว่า พรรคฟุนซินเปกของเจ้านโรดม สีหนุ มีคะแนนเสียงได้ไป 58 ที่นั่งเหนือกว่าพรรคประชาชนกัมพูชา(CCP) ของฮุน เซน ที่ได้ 51 ที่นั่ง โดยพรรคเขมรเสรีของ ซอน ซาน ได้เพียง 10 ที่นั่ง
1
แต่ถึงกระนั้น ฮุน เซน ก็ยังไม่พอใจอย่างยิ่งถึงขั้นต้องการแบ่งแยกดินแดนกัมพูชาออกไปเพื่อปกครองเอง จึงทำให้เจ้านโรดม สีหนุ ที่กลับมาเป็นประมุขของประเทศ ต้องพยายามหาทางประนีประนอมกับฮุน เซน ได้ตัดสินใจให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้น อีกทั้งยินยอมให้กัมพูชา มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนคือ
1. เจ้านโรดม รณฤทธิ์ โอรสองค์ที่ 2 ของเจ้านโรดม สีหนุ เป็นนายกฯ คนที่ 1
2. ฮุน เซน เป็นนายกฯ คนที่ 2
1
ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างอึดอัด ข้างฝ่ายข้าราชการและประชาชนต้องปรับตัวให้อยู่ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลผสมนี้ไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นในปี ค.ศ.1997(พ.ศ. 2540) นายกฯ คนที่ 2 ฮุน เซน จึงตัดสินใจก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากฝ่ายเจ้านโรดม รณฤทธิ์ นายกฯ คนที่ 1 และจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี ค.ศ.1998(พ.ศ.2541)
ซึ่งพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และเขาก็ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 39 ปี จนถึงปี ค.ศ.2023(พ.ศ.2566)
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 6 เมื่อผลประโยชน์ลงตัว: เส้นทางกัมพูชาจากสงครามสู่สันติภาพ
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา