7 ส.ค. เวลา 15:46 • ข่าวรอบโลก

จุดเริ่มต้นของความขัดเเย้ง ไทย-กัมพูชา

กรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานสมาชิกวุฒิสภาของกัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างเขากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ยังนำไปสู่การแตกหักของสองตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพลระดับภูมิภาค และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
คลิปเสียงดังกล่าวยังทำให้ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องที่กล่าวหาว่าผู้นำรัฐบาลของไทยฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จากข้อความบางส่วนที่ปรากฏในคลิปเสียง
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ฟาดฟันกันด้วยข้อความยั่วยุและสร้างความเกลียดชัง การปะทะคารมกันระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ขึ้นมาเยือนปราสาทหินตาเมือนธม ใน จ.สุรินทร์ มาตรการตอบโต้ด่านชายแดนของกองทัพและรัฐบาล ไปจนถึงความสัมพันธ์ระดับประเทศ
ที่มา : ไทยคู่ฟ้า
ความแตกต่างจากอดีต-ปัจจุบัน กับปัญหาข้อพิพาทเดิม
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2554 และปี 2568 มีสาเหตุจากปัญหาการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนรอบเขตปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งการแบ่งเขตพื้นที่เหล่านี้ยังคงไม่ชัดเจน แม้จะมีคำพิพากษาจากศาลโลกถึงสองครั้งแล้วก็ตาม
ความคลุมเครือของคำตัดสินทั้งในปี 2505 และการตีความเพิ่มเติมในปี 2556 ทำให้พื้นที่โดยรอบปราสาท ยังคงเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายต่างตีความว่าเป็นของตน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดทางทหารมาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงปี 2551-2554 สถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทยเปราะบางจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหลายครั้ง ตั้งแต่รัฐบาล ‘สมัคร สุนทรเวช’ มาสู่รัฐบาล ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ และในที่สุดคือรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ การเมืองที่ขาดความมั่นคง ส่งผลต่อท่าทีของรัฐบาลไทยในปัญหาชายแดน ซึ่งไม่มีเสถียรภาพเพียงพอในการจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาด
ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าว ได้เกิดเหตุปะทะทางทหารขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะการปะทะที่รุนแรงในเดือนเมษายน 2554 ที่บริเวณรอบปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ซึ่งส่งผลให้ประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ รวมถึงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย
รัฐบาล ‘อภิสิทธิ์’ ในขณะนั้นยังคงยึดหลักการเจรจาแบบทวิภาคี และปฏิเสธการให้ประเทศที่สามหรือองค์กรใดๆ เข้ามาแทรกแซง รวมถึงสมาคมอาเซียนในฐานะองค์กรภูมิภาคด้วยเช่นกัน
แม้จะมีข้อเสนอให้ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในเวลานั้น เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย พร้อมส่งผู้สังเกตการณ์ลงพื้นที่ตามคำร้องขอของกัมพูชา แต่ไทยก็ไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการ อาจด้วยเหตุผลเรื่องอธิปไตยและหลักการไม่แทรกแซงภายในซึ่งกันและกันของอาเซียน
ในขณะที่ปี 2568 เหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
เหตุปะทะเริ่มต้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดอย่างฉับพลัน ทว่าความแตกต่างสำคัญจากอดีตคือ ท่าทีของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร ชินวัตร’ และท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ได้เปิดรับแนวทางการเจรจาพหุภาคีมากขึ้น ท่ามกลางจุดยืนของไทย ที่ยืนยันที่จะเจรจาผ่านกลไก JBC
แม้รัฐบาลจะเผชิญวิกฤตอย่างหนักจากกรณีคลิปเสียงที่มีเนื้อหาสนทนากับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ซึ่งถูกเผยแพร่ในสื่อ และนำไปสู่การที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว รวมถึงการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วน ส่งผลให้รัฐบาลตกอยู่ในสถานะที่ขาดเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยอมรับในอีกทางหนึ่ง ที่จะเดินหน้าการเจรจาผ่านกลไกพหุภาคีด้วย โดยยอมรับให้ประเทศที่สามเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากแนวทางเดิมในปี 2554 และทำให้สมาคมอาเซียนสามารถมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท จึงไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันไว้อย่างไม่มีความหมายอีก
ในขณะที่ท่าทีของรัฐบาลไทยเป็นอย่างที่ปรากฏ แต่กัมพูชากลับยังคงยึดแนวทางเดิม คือการใช้กลไกของศาลโลก เป็นเครื่องมือสร้างแรงกดดันทางการเมือง โดยในปี 2554 เคยยื่นขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ใหม่ และในปี 2568 ก็ยังคงยึดแนวทางเดิม ในการเสนอข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของ ICJ อีกครั้ง เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวทางของกัมพูชาว่า ไม่ต้องการจะเจรจาแบบทวิภาคีมาโดยตลอด
เมื่อพิจารณาภาพรวมของสถานการณ์ทั้งสองช่วงเวลา จะพบว่ามีจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ยังคงเหมือนเดิม คือข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนที่ไม่ได้รับการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน
แต่แนวทางการจัดการกับปัญหาข กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากท่าทีที่ปิดกั้นและยึดหลักทวิภาคีในปี 2554 สู่แนวทางการทูตเชิงรุกและการยอมรับบทบาทของประเทศที่สามในปี 2568
แม้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะเผชิญข้อวิจารณ์ว่ามีความอะลุ่มอะล่วยกับผู้นำกัมพูชา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเปิดรับประเทศที่สาม ก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลงได้ในระดับหนึ่ง
ภาพจากเพจ : ความมั่นคงของชาติ
พื้นที่จุดปะทะกำลังบอกอะไร
ในตอนนี้ ยังไม่มีผลการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการที่ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ในกรณีการเผาศาลาตรีมุข บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่เกิดขึ้นในเดือน มี.ค. รวมถึงกรณีเหตุปะทะบริเวณช่องบกที่ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ทว่า หากนับรวมกับกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดและกลายเป็นผู้พิการถาวร 2 นาย จะเห็นได้ว่าพื้นที่ที่ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดยกระดับขึ้นไปอีกขั้นมักอยู่ในบริเวณแนวชายแดน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ของไทย หรือ อ.จวมกสาน จ.พระวิหาร ของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่ทางกัมพูชาพยายามนำขึ้นสู่ศาลโลก องค์กรระหว่างประเทศที่เคยตัดสินเป็นคุณแก่กัมพูชาในกรณีปราสาทเขาพระวิหารมาแล้ว
ล่าสุด เหตุปะทะกันนับตั้งแต่ช่วงเช้าก็เกิดบริเวณชายแดน จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ติดกับ จ.สุรินทร์, จ.บุรีรัมย์ และ จ.ศรีสะเกษ ของไทย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มปราสาทหินที่เป็นกรณีพิพาท
นายแมทธิว บอกกับบีบีซีไทยว่า ดูเหมือนว่าการสู้รบจะปะทุขึ้นจากปฏิบัติการเฉพาะพื้นที่ในพื้นที่นั้น ๆ และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
"ทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมที่จะสู้รบกันมาหลายสัปดาห์แล้ว ดังนั้น มันอาจใช้เวลาไม่นานนักที่จะพลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นความขัดแย้งโดยตรง ซึ่งรวมถึงการยิงปะทะกันด้วยปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศได้" ผู้เชี่ยวชาญจาก ICG ระบุเหตุการณ์กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใด
นายวิชานา นักวิชาการจากกัมพูชา ประเมินว่าสถานการณ์อาจยกระดับจากกรณีพิพาทพื้นที่ชายแดนทางบกไปสู่กรณีพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีปในทะเล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อพิพาทของทั้งสองประเทศ
ขณะที่ นายแมทธิว มองว่าหากเหตุปะทะยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ "มีแนวโน้มว่ากัมพูชาจะได้รับความสูญเสียอย่างหนัก หากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากความได้เปรียบทางทหารอยู่ที่ฝ่ายไทย"
ผู้เชี่ยวชาญจาก ICG เสนอว่าทั้งสองประเทศควรดำเนินมาตรการลดความตึงเครียด และแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยวิธีการสันติ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิตเพิ่มเติม
ด้าน นายวีร็อก ชี้ว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการหยุดยิงชั่วคราว แล้วกลับไปสู่การเจรจา โดยอาจเริ่มต้นจากการเปิด-ปิดด่านชายแดน
"แค่เปิดด่านกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม กัมพูชาก็ให้สัญญามาหลายครั้งแล้วว่า ถ้าฝั่งไทยเปิด ฝั่งกัมพูชาจะเปิดภายใน 5 ชั่วโมงอย่างเร็วที่สุด นี่เป็นทางออกที่ง่ายมาก ไม่ต้องมีการเจรจาอะไรซับซ้อนด้วยซ้ำ" เขาบอก
อย่างไรก็ดี ทางการไทยยืนยันมาเสมอว่าไม่มีนโยบายปิดด่าน โดย พล.ร.ต.สุรสันติ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) บอกว่า "ที่ผ่านมาเป็นการควบคุมด่านต่าง ๆ ที่เข้มข้นขึ้น" โดยเฉพาะการจำกัดจำนวนคน และการจำกัดเวลาการเข้า-ออก
นักวิเคราะห์จากกัมพูชายังเสนอเพิ่มเติมด้วยว่าทั้งสองประเทศควรกลับไปสู่สถานะเดิมที่เคยเป็นมา นั่นคือการลาดตระเวนร่วมกันในพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง ซึ่งทำกันมาเกิน 15 ปีแล้ว
ที่มา : Thai PBS
ถานการณ์ชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้งในรอบทศวรรษ
ในขณะที่การเมืองไทยสั่นคลอน ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนกลับปะทุอย่างรุนแรงมากขึ้น เมื่อในช่วงเย็นวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ทหารลาดตระเวนของไทยได้เหยียบทุ่นระเบิด บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้มีทหารบาดเจ็บ 5 ราย โดย 1 รายข้อเท้าขาด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศทันที ในขณะที่ ‘พล.ท.บุญสิน’ ได้ยกระดับมาตรการตอบโต้ โดยปิดด่านทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ช่องอานม้า, ช่องจอม, ช่องสะงำ และช่องสายตะกู พร้อมเตรียมรับมือทางการทหาร
ในขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า กัมพูชาได้เคยเตือนไทยหลายรอบแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวมีกับระเบิดจากช่วงสงครามหลงเหลืออยู่ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฝ่ายไทยในกรณีที่มีทหารได้รับบาดเจ็บ 5 ราย
จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กัมพูชาได้เปิดฉากยิงบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ซึ่งห่างจากตัวปราสาทตาเมือนธมราว 200 เมตร โดยฝ่ายไทยพยายามตะโกนเจรจาแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ต้องมีการยิงตอบโต้ ก่อนจะเกิดเหตุลุกลามปะทะกันในอีกหลายพื้นที่ คือ บริเวณปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์, บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร คือ ภูมะเขือและห้วยตามาย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ, ช่องบก, ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
การสู้รบดำเนินต่อเนื่องกว่า 5 วัน ส่งผลให้ประชาชนหลายหมื่นคนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่แนวปะทะ ต้องอพยพออกจากพื้นที่ รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน พร้อมกับความเสียหายของอาคารบ้านเรือน
จาก : กระทรวงกลาโหม
รัฐบาลไทยแถลงประณามกัมพูชา จากการโจมตีใส่พื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โรงเรียน และวัด ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ โดยกระทรวงการต่างประเทศระบุว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ในขณะที่กัมพูชาได้ตอบโต้ว่า ไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน
ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายมากขึ้น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ในฐานะประธานสมาคมอาเซียนของปีนี้ ได้เสนอเข้าเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยทั้งสองประเทศ โดยมีการเจรจาขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า ตกลงยุติการสู้รบโดยไม่มีเงื่อนไข และให้มีผลทันทีตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พร้อมนัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC (General Border Committee) ตามกลไก JBC ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#ไทยกัมพูชา #สงคราม #ข้อพิพาท #การต่างประเทศ #ไทย #กัมพูชา
โฆษณา