9 ส.ค. เวลา 03:31 • นิยาย เรื่องสั้น

วรรณกรรมคลาสสิค "Ali and Nino"

(๑)
บางครา... ชีวิตก็มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้เราอย่างแผ่วเบา ราวกับบทกระซิบของโชคชะตาที่แทรกผ่านสายตาในห้วงเวลาอันไม่ตั้งใจ
ข้าพเจ้าพบวรรณกรรมคลาสสิค "Ali and Nino" ครั้งแรกในบ่ายอันอ้อยอิ่งของฤดูหนาว ปลายปี 2022 ณ นครอิสตันบูล ภายในร้านหนังสือเก่าเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาโดมของมัสยิดที่เปล่งแสงอุ่นละมุน เสียงอะซานลอยเคล้ากับกลิ่นกาแฟตุรกีเข้มข้นในอากาศ
ข้าพเจ้าหยิบหนังสือขึ้นมาอย่างแผ่วเบา พลิกอ่านเพียงไม่กี่บรรทัด แล้ววางลง... ราวกับว่าโชคชะตายังไม่เอ่ยคำว่า ‘ถึงเวลา’
... แต่หนังสือบางเล่มก็มีวิธีรอของมันเอง ...
สองเดือนถัดมา... ในกรุงทบิลิซี ประเทศจอร์เจีย เมืองที่ฤดูหนาวทำให้เงียบงันราวกับเวลาหยุดเดิน ข้าพเจ้าผลักบานประตูกระจกของร้านหนังสือเก่าหลังหนึ่ง เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังแผ่วเบา ราวกับทักทายจากวันวาน กลิ่นไม้เก่าและกระดาษโบราณลอยอบอวลอยู่ในอากาศ เหมือนบทกวีที่ยังไม่จบ ...
... บทกวีที่รอให้ใครสักคนกลับมาอ่านต่อจากบรรทัดเดิม ด้วยหัวใจที่เปลี่ยนไป ...
และที่นั่น… ท่ามกลางชั้นวางหนังสือที่ฝุ่นจับและเงาสลัวของแสงไฟ ข้าพเจ้าพบ “Ali and Nino” อีกครั้ง
เล่มเดิม…แต่ไม่ใช่ความรู้สึกเดิม
ในครั้งนี้ มันไม่ได้แค่สะกิดสายตา
แต่มันสะกิดหัวใจ ราวกับกระซิบว่า
“ตอนนี้… ถึงเวลาแล้ว”
เรื่องราวนั้น… ไม่ใช่เพียงบันทึกรักระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว...หากคือบทกวีที่ถูกถักทอจากแรงปะทะของโลกสองฟาก
...โลกหนึ่งยึดมั่นในศรัทธา เกียรติ และขนบของตะวันออก เงียบขรึม ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยความอดทน ...
... อีกโลกโบยบินด้วยเสรีภาพ ความรัก และเหตุผลแบบตะวันตก … แสงสว่างของความกล้าหาญที่กล้าฝัน ...
ในหน้ากระดาษของ “Ali and Nino” ไม่ได้มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรับกัน หากแต่คือเสียงสะท้อนของสองอารยธรรมที่โอบกอดกันไว้ท่ามกลางความแตกต่าง …
... อารยธรรมหนึ่งหยั่งรากในขนบ ศรัทธา และเกียรติ ... อีกอารยธรรมโบยบินด้วยเสรีภาพ เหตุผล และความรัก ...
.. เสียงของบทสนทนาอันอ่อนโยนและร้าวลึกระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ..
เสียงที่ไม่เคยตะโกน แต่ทิ้งร่องรอยไว้ในทุกบรรทัด
พวกเขามาพบกัน... รักกัน... และแตกต่างกันอย่างงดงาม
งดงามจนแม้โลกจะพยายามแยกพวกเขาออกจากกัน
แต่ความรัก...
กลับเป็นสิ่งเดียวที่หลอมรวมความแตกต่างให้กลายเป็นบทกวีที่ไม่มีวันตาย
Ali Khan Shirvanshir ... ชายหนุ่มมุสลิมแห่งนครบากู เมืองท่าริมทะเลแคสเปียนของอาเซอร์ไบจาน
ผู้สืบสายเลือดเปอร์เซียอันสูงศักดิ์
เติบโตท่ามกลางกลิ่นหอมของกุหลาบในสวนราชสำนัก
เสียงโลหะกระทบดาบในสนามดวล
และท่วงทำนองบทกวีตะวันออกที่พร่างพราย
ราวดาวฤกษ์ในราตรีแห่งจิตวิญญาณ
ชีวิตของเขาคือการดำรงอยู่ระหว่างศักดิ์ศรีแห่งโลกตะวันออก กับความร้อนแรงของเลือดหนุ่มผู้ภักดีต่อศาสนา
เชื่อมั่นในเกียรติ และรักบ้านเกิดจนถึงปลายทางของชีวิต
ส่วนเธอ... Nino Kipiani ... หญิงสาวชาวจอร์เจียผู้เปี่ยมไปด้วยสง่าราศี
ศรัทธาในคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์
งามสง่าดุจเจ้าหญิงแห่งเทือกเขาคอเคซัส
เติบโตมากับเสียงระฆังโบสถ์เก่าแก่
และวัฒนธรรมยุโรปที่ละเมียดละไมดุจผ้าไหมในสายลม
เธอมีจิตวิญญาณเสรี
งามอย่างอ่อนหวาน แต่กล้าหาญอย่างผู้หญิงแห่งภูผา
คือสายลมจากฝั่งยุโรปตะวันออกเฉียงใต้
ที่มาปะทะกับเพลิงนักรบแห่งตะวันออก
อย่างเร้าใจ งดงาม และไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้
เขา…คือทะเลทรายผู้สงบเสงี่ยม แผ่กว้างด้วยความเงียบงันและศักดิ์ศรีที่ไม่ร้องขอให้ใครเข้าใจ
เธอ…คือแม่น้ำผู้ไม่เคยหยุดไหล มีทั้งความอ่อนหวานและแรงกล้า ไหลผ่านหุบผาแห่งเหตุผลและอารมณ์อย่างเสรี
และระหว่างเขากับเธอ … คือภูเขาแห่งศรัทธา ประเพณี และพรมแดนที่สูงชัน ... ซึ่งไม่อาจข้ามได้ด้วยเพียงคำว่ารัก หากต้องแลกด้วยหัวใจที่พร้อมปีนขึ้นไป … แม้จะบาดเจ็บระหว่างทาง
(๒)
ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดผ่านสายตาของ Ali เด็กหนุ่มผู้แบกทั้งเกียรติยศของตระกูล ศรัทธาของบ้านเมือง และหัวใจที่เต้นเพียงเพื่อ Nino
ภาษาที่เขาใช้ไม่สลับซับซ้อน แต่กลับซื่อตรง จริงใจ และเปลือยเปล่าราวแผลสด… แผลจากความรักในโลกที่ไม่เคยอ่อนโยนให้ใคร
โชคชะตาพัดพาเขาไปสู่บททดสอบที่โหดร้าย เมื่อ Nino หญิงอันเป็นที่รัก ถูกลักพาตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยครอบครัวของเธอเอง เพื่อปิดประตูมิให้เธอกลับมาพบกับ Ali อีกต่อไป
ในโลกของเกียรติยศ ขนบแห่งบูรพา และกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้ด้วยเลือด เรื่องราวเช่นนี้… มักลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม และการล้างแค้น
แต่สำหรับ Ali การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการไล่ล่าผู้ลักพาตัว หากคือการไล่ล่าหัวใจของตัวเอง ที่ต้องเลือกระหว่างความเป็นชายในโลกอิสลามแบบดั้งเดิม กับความเป็นมนุษย์ที่กำลังแตกสลายต่อหน้าความรักที่สูญหายไป
แต่ Ali... กลับเลือกให้อภัย
ให้อภัย... ทั้งที่หัวใจยังเต็มไปด้วยบาดแผล
ให้อภัย... ทั้งที่ศักดิ์ศรีกำลังกรีดร้องอยู่ในทุกลมหายใจ
เขาเลือกจากมา... หนีออกจากทุกสายตา มุ่งหน้าสู่ "ดาเกสถาน" ดินแดนแห่งขุนเขาสูงเสียดฟ้า ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย แต่เพื่อกลบเสียงของหัวใจที่ยังร่ำร้องในความเงียบ
เสียงที่แม้แต่ภูเขาก็ไม่อาจดับได้...
แต่ความรักนั้น ... ไม่เคยซ่อนตัวได้พ้นแสง
ไม่ว่าจะหลบอยู่หลังเงาเขา หรือซ่อนตัวอยู่ในรอยพับลึกที่สุดของความเงียบ มันก็ยังเผยตัวออกมา ไม่ใช่ด้วยเสียง แต่ด้วยจังหวะเต้นของหัวใจที่ไม่เคยลืม
และในท้ายที่สุด... มันจะหาทางกลับมาเสมอ
ผ่านสายลม ผ่านบทกวี หรือแม้กระทั่งผ่านความเจ็บปวด
เพื่อกระซิบย้ำว่า ... บางสิ่งอาจถูกพรากไป
...แต่รักนั้น ไม่เคยหายไปไหนเลย...
Nino ออกตามหาเขา...
ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อระยะทาง
ไม่ยอมจำนนต่อศักดิ์ศรี ชาติพันธุ์ หรือศาสนาใด
เธอก้าวข้ามภูเขาแห่งอคติ
ฝ่าลมหนาวแห่งความไม่แน่นอน
เพียงเพื่อได้กลับมาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง ... คนที่หัวใจไม่เคยลืม
ทั้งสองแต่งงานกันอย่างเงียบงาม
ท่ามกลางความเรียบง่ายของกระท่อมเล็ก ๆ ในหุบเขาอันไกลโพ้น
ไม่มีแหวนทอง
ไม่มีพิธีหรูหรา
มีเพียงแสงจากตะเกียง... และประกายจากดวงตาของกันและกัน
แม้ถูกรายล้อมด้วยความยากจน
แต่หัวใจของพวกเขาอิ่มล้น
ด้วยความรักที่ไม่ยอมจำนนต่อศาสนา ประเพณี หรือพรมแดนใด ๆ
ความรัก...ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
วัฒนธรรมที่แท้จริง ไม่ได้มีไว้สร้างกำแพง
หากมีไว้เพื่อเชื่อมโยงมนุษย์เข้าหากัน
ด้วยสายใยของความเข้าใจ
และหัวใจของความเป็นมนุษย์
(๓)
“Ali and Nino” …คือบทกวีแห่งรักที่มิได้ถูกเขียนด้วยเพียงถ้อยคำ หากถักทอขึ้นด้วยหัวใจที่ไหวสะท้านต่อชะตากรรมของมนุษย์ นวนิยายเรื่องนี้อุบัติขึ้นภายใต้นามปากกาลึกลับ Kurban Said ... นามที่ยังคงเป็นปริศนาในโลกวรรณกรรมตราบจนปัจจุบัน
นักวิชาการจำนวนไม่น้อยพยายามเปิดม่านแห่งความลี้ลับนั้น และพบว่าผู้ที่ถูกเชื่อมโยงกับนามปากกานี้มากที่สุด คือ Lev Nussimbaum ชายหนุ่มชาวยิวจากอาเซอร์ไบจาน ผู้หันไปรับอิสลามและใช้ชีวิตภายใต้นามใหม่ว่า Essad Bey
ทว่าก็ยังมีเสียงอีกด้านหนึ่งที่กระซิบว่า ... บางที Kurban Said อาจมิใช่เขาเพียงผู้เดียว บางทฤษฎีกล่าวถึง Baroness Elfriede Ehrenfels ผู้ถือสิทธินวนิยายฉบับพิมพ์แรก ว่าอาจเป็นผู้สร้างสรรค์หรือมีส่วนในบทประพันธ์อันแสนวิจิตรนี้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร...เสียงแห่งหัวใจในหน้ากระดาษยังคงก้องอยู่ และทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ก็ยังคงชี้กลับไปที่ชายผู้หลงใหลตะวันออกผู้นั้น … Nussimbaum
การหันเข้าสู่ศาสนาอิสลามของเขา...แม้เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางกฎหมายและนาม แต่ก็มีผู้มองว่ามันเป็นมากกว่าศรัทธา … มันคือการโอบรับ “ตะวันออก” ในฐานะอัตลักษณ์ ในฐานะภาพลักษณ์ที่เขาสวมใส่ด้วยความลุ่มหลง และปลุกให้มันกลายเป็นเนื้อแท้ของตน
นวนิยายเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี 1937...ในห้วงเวลาที่โลกเก่ากำลังแตกร้าว เสียงของมันคือเสียงคร่ำครวญของผู้คนท่ามกลางความคลอนแคลนของอารยธรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่าน
เป็นงานเขียนที่เปี่ยมด้วยชั้นเชิง ถ่ายทอดความขัดแย้งระหว่างศาสนา ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมได้อย่างแหลมคม งดงาม และเจ็บลึก จนไม่ต่างจากบทกวีที่แฝงความปวดร้าวไว้ในความเงียบ
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ “Ali and Nino” ก็มิได้หยุดนิ่งอยู่ในกระดาษ หากแต่ถูกปลุกให้มีลมหายใจอีกครั้งในปี 2016 ผ่านฝีมือของผู้กำกับ Asif Kapadia ที่นำมันขึ้นสู่จอภาพยนตร์ โดยมี Adam Bakri และ María Valverde รับบทนำ ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งรักต้องห้าม...ท่ามกลางเปลวเพลิงของสงคราม ความทรงจำของจักรวรรดิที่ล่มสลาย และการดิ้นรนของอัตลักษณ์ที่ถูกฉีกขาด
ภาพของเทือกเขาคอเคซัส เมืองบากู และทะเลแคสเปียน กลายเป็นฉากหลังที่สวยงามจนเจ็บปวด ทุกเฟรมของภาพยนตร์เหมือนปลุกบทกวีในหน้ากระดาษให้ลุกขึ้นมาเดินได้อีกครั้ง ... พร้อมน้ำตา ความเงียบ และคำถามที่ไม่มีวันมีคำตอบ
คำถามที่ว่า... ความรัก ศรัทธา และชาติพันธุ์ … เราจะประคับประคองทั้งหมดไว้พร้อมกันได้อย่างไร?
และบางที... คำตอบอาจซ่อนอยู่ในหน้ากระดาษสุดท้ายของ Ali and Nino หรือไม่ก็...ในหัวใจของคนอ่านเอง
(๔)
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป...
พวกเขากลับสู่ บากู ... เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลด้วยกลิ่นน้ำมันและบทกวี แต่บัดนี้ถูกกลบด้วยควันปืนและเงาแห่งสงคราม
เสียงปืนใหญ่ดังกลบเสียงหัวใจ
เส้นขอบฟ้าที่เคยทอดยาวกลับพร่าเลือน ด้วยธงสงครามและความหวาดกลัวที่ลอยเหนือเมืองราวหมอกยามค่ำ
สุดท้าย... พวกเขาลี้ภัยสู่ เตหะราน
เมืองที่โอบรับวิญญาณของ Ali ไว้อย่างอ่อนโยน
ด้วยภาษาที่เขาคุ้นเคย ศรัทธาที่เขานับถือ และสายเลือดที่เขาถือกำเนิด
แต่เมืองเดียวกันนั้น
กลับกลายเป็นกรงทองของ Nino
เธอถูกกักไว้หลังม่าน
ห่างไกลจากทิวเขาแห่งจอร์เจีย และลมหนาวแห่งอิสรภาพ
ถูกกลืนเข้าสู่วังเงียบงัน ราวกับหลงเข้าไปในฮาเร็มของบทกวีเก่า
และในความเงียบนั้น...
เธอเงียบ... เศร้า... และค่อย ๆ เหินห่างจากตัวตนของตนเอง
หญิงสาวผู้เคยเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวด้วยเสรี
กลับนิ่งงันอยู่ในสระน้ำของประเพณี ที่มิใช่ของเธอเอง
แต่แม้จะเงียบ
แม้จะห่างไกล
ความรักของเขาและเธอ...ยังคงกระซิบอยู่
กระซิบอยู่ในห้องนิ่ง ๆ ของชีวิต
แม้ถูกกั้นด้วยพรมแดนของสงครามและศาสนา
แม้จะพูดกันคนละภาษา สวดภาวนาในคนละทิศ
แต่วิญญาณของพวกเขา...ยังมองโลกผ่านสายตาแห่งกันและกัน
เสียงหัวใจยังเต้นในจังหวะเดียวกัน เงียบ งาม และดื้อดึง
ราวกับเสียงดนตรีสายเดียวที่ไม่ยอมขาด
แม้โลกภายนอกจะพังทลายลงจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน
และในห้องเงียบ ๆ แห่งนั้น
แม้จะไม่อาจโอบกอดกันได้อีก
แต่ความรัก...ยังคงยืนอยู่
ราวกับคำสัญญา
ที่แม้ไม่เคยเอ่ยออกมา...
แต่ไม่มีวันถูกลืม
(๕)
จนกระทั่ง…
เงาอำนาจของ รัสเซีย เคลื่อนตัวกลับเข้าสู่ บากู อีกครั้ง
พร้อมเสียงล้อเหล็กของรถถังที่บดขยี้ความฝัน
และคำสั่งเยือกเย็นจากอำนาจอันห่างไกล...ที่ไม่เคยเอื้อมแตะหัวใจของผู้คน
Ali ตัดสินใจกลับเข้าสู่สมรภูมิ
ไม่ใช่เพราะเขาไม่รัก
แต่เพราะเขารักจนไม่อาจทอดทิ้งแผ่นดินเกิด...
รักจนไม่อาจหันหลังให้กับเกียรติยศแห่งตระกูล Shirvanshir
ที่ครั้งหนึ่งเคยสูงส่งเหนือเทือกเขาคอเคซัสดั่งแสงดาวของโลกเติร์ก–เปอร์เซีย
เขาจับดาบขึ้นอีกครั้ง
ด้วยมือที่เคยลูบไล้แก้ม Nino
และศรัทธาในหัวใจที่สั่นไหวระหว่างความรัก...กับหน้าที่
แม้จะรู้ดีว่าโอกาสรอดนั้นริบหรี่
แต่เขาก็ยังยืนหยัด
เพื่อปกป้องสิ่งสุดท้ายที่เขายังมีสิทธิ์เลือก... ศักดิ์ศรี
และในที่สุด...
เขาล้มลงกลางสนามรบ
เบื้องหน้า คฤหาสน์ Shirvanshir
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเสาหลักแห่งอำนาจของครอบครัว
บัดนี้กลับกลายเป็นเงาสุดท้ายของอุดมการณ์ที่กำลังถูกลบเลือน
ในห้วงลมหายใจสุดท้ายของเขา...
ไม่มีบทสนทนา ไม่มีเสียงร่ำไห้
มีเพียงความเงียบ
และในความเงียบนั้น... ความรักของเขายังคงยิ่งใหญ่
ยิ่งใหญ่...
ไม่ใช่เพราะมันไม่เคยเจ็บปวด
แต่เพราะมันยอมเจ็บ ... ยอมแตกสลาย
เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่น
เพื่อรัก
เพื่อบ้าน
เพื่อเกียรติแห่งเลือดเนื้อ
และ…เพื่อ Nino
ผู้เป็นบทกวีที่ไม่มีวันจบ
แม้ในวันที่ผู้เขียนได้จากไป
(๖)
Ali and Nino จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของชายหนึ่ง หญิงหนึ่งที่ตกหลุมรักกัน
หากคือบทกวีแห่งความขัดแย้งที่เขียนด้วยหัวใจ
บทสนทนาที่ไม่ใช่เพียงคำพูด
แต่คือเสียงสะท้อนระหว่างอารยธรรม…
ระหว่าง ตะวันออก ... ผู้สงบนิ่ง ลุ่มลึก และยึดมั่นในเกียรติ
กับ ตะวันตก ... ผู้เคลื่อนไหว ท้าทาย และกระหายเสรีภาพ
ระหว่าง อิสลาม ... ที่ศรัทธาเป็นรากของชีวิต
กับ คริสต์ ... ที่ความรักและการให้อภัยคือแก่นของวิญญาณ
ระหว่างคำว่า “บ้าน” ... ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน ความทรงจำ และบาดแผล
กับคำว่า “โลก” ... ที่ไร้พรมแดน แต่เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว
ระหว่าง “เรา” ... ที่เราคุ้นเคย
กับ “พวกเขา” ... ที่เราอาจไม่เข้าใจ
และในที่สุด Ali and Nino ก็ไม่ได้พยายามจะให้คำตอบ
เพราะบางคำถาม…ไม่เคยมีคำตอบ
พวกเขามอบเพียงคำถามอันแหลมคม ที่ยังเต้นอยู่ในหัวใจของเราทุกคน
คำถามที่ว่า…
ในโลกที่แตกแยกเช่นนี้
ความรัก… จะเชื่อมอะไรเข้าด้วยกันได้บ้าง?
(๗)
ที่เมือง บาตูมี (Batumi) ริมฝั่งทะเลดำ ในจอร์เจีย
กลางสายลมเกลือ และเสียงกระซิบของคลื่นที่ไม่มีวันหลับ
รูปสลักเหล็กของ Ali และ Nino ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน
สูงส่ง… แต่เปราะบาง
ราวกับบทกวีที่แบกรับความรู้สึกไว้ในเส้นโครงเหล็ก
ทุกวัน…
ร่างของพวกเขาจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากัน
อย่างช้า งดงาม และแน่วแน่
ราวกับฟากฟ้าได้เปิดทางให้ได้พบ ได้สัมผัส ได้โอบกอดกันอีกครั้ง
และในห้วงวินาทีแห่งการบรรจบ
พวกเขา… เกือบจะรวมเป็นหนึ่งเดียว
แต่แล้ว...
เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความสุข
พวกเขาก็สวนกันผ่านไป
แยกจากกันอีกครั้ง
อย่างช้า งาม และเจ็บปวด
ราวกับจะกระซิบว่า…
ในโลกของมนุษย์
ความรัก…อาจยิ่งใหญ่
แต่ไม่ใช่ทุกความรัก…จะได้อยู่ด้วยกันจนสุดทาง
(๘)
บางหนังสือ...
ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อให้เราอ่านในทันที
หากแต่เฝ้ารอวันที่หัวใจของเราจะอ่อนโยนพอ
ที่จะเปิดหน้ากระดาษด้วยความเข้าใจ
บางความรัก...
ต้องอาศัยดวงตาที่มองข้ามเส้นแบ่งของศาสนา
และหัวใจที่ยอมปลดเกราะแห่งอคติลง
จึงจะแลเห็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ในความแตกต่าง
บางเรื่องราว...
เมื่อได้อ่านแล้ว จะเปลี่ยนวิธีที่เรารักไปตลอดกาล
Ali and Nino
คือนวนิยายที่มิใช่เพียงตัวหนังสือ
หากคือบทกวีที่เขียนด้วยปลายปากกาของโชคชะตา
จุ่มหมึกด้วยเลือด น้ำตา และศรัทธา
ความรักของพวกเขา...
คือบทสนทนาระหว่างวิญญาณที่พูดกันคนละภาษา
นับถือคนละศาสนา และเติบโตมาจากรากวัฒนธรรมที่แตกต่าง
แต่กลับโอบกอดกันได้แน่นหนากว่ารักใดในโลก
แม้พรมแดนของสงครามจะฉีกขาดหน้ากระดาษของเวลา
แม้ศตวรรษจะเปลี่ยนผัน
... เรื่องของ Ali และ Nino ก็ยังแผ่วเบาอยู่ในใจของข้าพเจ้า ...
ราวกับเสียงกระซิบของความรัก…
"ที่ไม่มีวันจาง"
แม้จะผ่านศรัทธาที่แตกต่าง
ผ่านพรมแดนที่ปิดตาย
และผ่านสงครามที่พรากทุกอย่างไป
เสียงนั้น...
ยังคงดังอยู่ในความเงียบงันของหัวใจ
เพื่อย้ำเตือนว่า...
ความรักแท้
ไม่ต้องการคำอธิบายใด
แค่ใครสักคน...
ที่ยอม “รัก”
แม้โลกจะไม่อนุญาตให้เขารักเลยก็ตาม
โฆษณา