11 ส.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

• ประวัติศาสตร์พม่า | ฉบับอ่านจบในโพสต์เดียว

• ประวัติศาสตร์แรกเริ่ม
เมียนมาหรือชื่ออย่างเป็นทางการสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (Republic of the Union of Myanmar) หรือที่คนไทยรู้จักโดยทั่วไปว่าพม่า เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอาณาเขตติดต่อกับไทย ลาว จีน บังกลาเทศ รวมถึงอินเดีย
เมียนมาหรือพม่าเป็นหนึ่งในประเทศมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากการศึกษาด้านโบราณคดีทำให้พบว่า เริ่มปรากฏการตั้งถิ่นฐานของผู้คนอย่างน้อยเมื่อราว 11,000 ปีที่แล้ว
จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ก็ได้ปรากฏการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนที่เรียกว่าชาวพยู (Pyu) ชาวพยูเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) ที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ โดยสัณนิษฐานว่าพวกเขามีถิ่นกำเนิดในแถบมณฑลชิงไห่ กานซู และยูนนานของจีนในปัจจุบัน
1
ส่วนดินแดนพม่าตอนล่าง ในแถบลุ่มแม่น้ำสะโตงและแม่น้ำสาละวิน มีการตั้งถิ่นฐานของชาวมอญ (Mon) ที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic)
ชาวพยูได้สร้างวัฒนธรรมและนครรัฐในแถบลุ่มแม่น้ำอิระวดี โดยพวกเขาได้รับพระพุทธศาสนามาจากอินเดีย และมั่งคั่งจากการเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย
แต่หลายศตวรรษหลังจากนั้น ชาวพยูก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ จากการที่มีคนกลุ่มใหม่อพยพมาอยู่ในดินแดน พวกเขาก็คือชาวพม่าหรือบะหม่า (Bamar) กลุ่มชาติพันธุ์อีกกลุ่มหนึ่งที่พูดภาษาตระกูลจีน-ทิเบต ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเทือกเขาหิมาลัย ที่เริ่มอพยพมาที่พม่าในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 7 ถึง 9
1
ชาวพม่าเข้ามาครอบครองพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอิระวดีแทนที่ชาวพยู โดยมีจุดศูนย์กลางสำคัญโดยเฉพาะเมืองพุกาม (Pagan) ที่จะขยายอำนาจจนเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
พุกามรุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 10 ในยุคของพระเจ้าอโนรธา (Anawrahta) อาณาจักรพุกามรวบรวมแผ่นดินพม่าได้เป็นปึกแผ่น และพิชิตอาณาจักรของชาวมอญได้
1
พม่าในยุคอาณาจักรพุกามยังเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา มีการสร้างวัดและเจดีย์หลายพันแห่งทั่วเมืองพุกาม จนได้รับการขนานนามให้เป็น ‘เมืองแห่งทุ่งพระเจดีย์’ และเป็นมรดกสำคัญของพม่ามาจนถึงทุกวันนี้
อาณาจักรพุกามเฟื่องฟูจนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 13 ชาวมองโกลที่ครอบครองจีนในตอนนั้น ก็ได้เข้ามารุกรานพม่า นำไปสู่การล่มสลายของพุกาม และความแตกแยกบนแผ่นดินพม่าที่ยาวนานกว่าสองศตวรรษ
• ราชวงศ์ตองอู
หลังการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม แผ่นดินพม่าแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดเป็นยุคสงครามระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ยาวนานกว่าสองศตวรรษ
1
เริ่มจากอาณาจักรมยีนไซง์ (Myinsaing) ที่ครอบครองพื้นที่ตอนกลางของพม่า ภายหลังแบ่งแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรปี้นยะ (Pinya) และอาณาจักรซะไกง์ (Sagaing) ก่อนที่สุดท้ายจะถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้อาณาจักรอังวะ (Ava) ในปี ค.ศ. 1365
อังวะมีศัตรูสำคัญคืออาณาจักรหงสาวดี (Hanthawaddy) อาณาจักรของชาวมอญที่เป็นอิสระหลังการล่มสลายของพุกาม อาณาจักรหงสาวดีมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองหงสาวดีหรือพะโค (Pegu)
โดยสงครามระหว่างอังวะกับหงสาวดีถูกเรียกว่า สงครามสี่สิบปี (ค.ศ. 1385-1424) ที่ซึ่งปรากฏอยู่ในวรรณกรรมชื่อดังอย่างเรื่องราชาธิราช
1
ขณะที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ก็เป็นดินแดนรัฐของชาวไทใหญ่หรือฉาน (Shan) ส่วนทางตะวันตกของพม่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรยะไข่หรืออาระกัน (Arakan)
เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ. 1482 เมืองแปร (Prome) ที่เป็นส่วนหนึ่งของอังวะก็ได้แยกตัวเป็นอิสระและก่อตั้งเป็นอาณาจักรแปร เช่นเดียวกับปี ค.ศ. 1510 พระเจ้าเมงจีโย (Mingyi Nyo) จะนำเมืองตองอูแยกตัวจากอังวะ จนกลายเป็นอาณาจักรตองอู
1
หลังสิ้นสมัยพระเจ้าเมงจีโย ตองอูถูกปกครองโดยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ (Tabinshwehti ครองราชย์ ค.ศ. 1530-1550) เป็นยุคที่ตองอูเริ่มต้นขยายอำนาจและทำสงครามเพื่อรวมแผ่นดินพม่า โดยเอาชนะอาณาจักรแปรได้ ก่อนที่จะบรรลุเป้าหมายในยุคพระเจ้าบุเรงนอง (Bayinnaung ครองราชย์ ค.ศ. 1550-1581) กษัตริย์ผู้ได้รับฉายา ‘ผู้ชนะสิบทิศ’
อาณาจักรตองอูของพระเจ้าบุเรงนองพิชิตอังวะ หงสาวดี รัฐไทใหญ่ รวมแผ่นดินพม่าเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ ตามด้วยการพิชิตอาณาจักรอยุธยาแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาจักรล้านนา รวมถึงอาณาจักรล้านช้างแห่งลุ่มแม่น้ำโขง
แต่ความยิ่งใหญ่ของตองอูก็ต้องจบลงหลังพระเจ้าบุเรงนองสวรรคต ตองอูเกิดสงครามภายในและยังถูกรุกรานจากภายนอกอย่างเช่นอาณาจักรอยุธยา ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1599 พระเจ้าญองยาน (Nyaungyan) หนึ่งในพระโอรสของพระเจ้าบุเรงนองจะเข้าควบคุมสถานการณ์ และฟื้นฟูอาณาจักรตองอูขึ้นมาอีกครั้ง แต่ตองอูจะไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนกับในอดีตอีก
• ราชวงศ์คองบอง
อาณาจักรตองอูรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง แต่หลังจากหมดยุคของพระองค์ ตองอูแม้จะดำรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งเหมือนเช่นอดีตอีก
เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 18 ความอ่อนแอของตองอูได้ทำให้ชาวมอญแยกตัวเป็นอิสระ และก่อตั้งอาณาจักรหงสาวดีขึ้นมาอีกครั้ง ท้ายที่สุดตองอูก็ล่มสลายหลังพ่ายแพ้ต่อหงสาวดี
1
เมื่อชาวมอญขึ้นมาเป็นใหญ่ ชาวพม่าจึงพากันต่อต้าน หนึ่งในนั้นคือผู้นำของหมู่บ้านชเวโบ (Shwebo) ที่รวบรวมชาวพม่าทำสงครามต่อต้านหงสาวดี
ในที่สุดชาวพม่าก็เอาชนะชาวมอญ ก่อนพิชิตอาณาจักรหงสาวดีได้สำเร็จ ผู้นำหมู่บ้านชเวโบได้สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์นามว่า พระเจ้าอลองพญา (Alaungpaya) ก่อตั้งราชวงศ์คองบอง (Konbaung) ในปี ค.ศ. 1752 พระเจ้าอลองพญาถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพม่า ต่อจากพระเจ้าอโนรธาแห่งพุกาม และพระเจ้าบุเรงนองแห่งตองอู
ในยุคแรกของราชวงศ์คองบอง พม่ามีความยิ่งใหญ่อย่างมาก พม่าเอาชนะและโค่นล้มอาณาจักรอยุธยาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงเอาชนะมหาอำนาจอย่างราชวงศ์ชิงของจีนได้
ราชวงศ์คองบองรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคพระเจ้าโบดอพญา (Bodawpaya หรือพระเจ้าปดุง) พม่าขยายอาณาเขตเข้าไปทางตะวันตก โดยเข้าครอบครองยะไข่ มณีปุระ (Manipur) และอัสสัม (Assam)
แต่การที่พม่าขยายอิทธิพลไปทางตะวันตก ก็ทำให้พม่าเกิดข้อพิพาทกับอังกฤษที่เป็นเจ้าอาณานิคมของอินเดียในตอนนั้น ความขัดแย้งนำไปสู่สงครามอังกฤษ-พม่า (Anglo-Burmese Wars) ทั้งหมดสามครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1824-1885
และด้วยแสนยานุภาพของอังกฤษ จึงทำให้พม่าพ่ายแพ้ในสงคราม นำไปสู่จุดจบของราชวงศ์คองบองและระบอบกษัตริย์ของพม่า พม่าตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมบริติชราช (British Raj) ของอังกฤษยาวนานถึงหกทศวรรษ
• ยุคเอกราชและประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน
ตั้งแต่ที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1885 พม่าก็ถูกกดขี่และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าอาณานิคม ด้วยเหตุนี้ชาวพม่าหลายกลุ่มจึงพยายามก่อตั้งขบวนการในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
โดยในช่วงปี ค.ศ. 1930 กลุ่มนักศึกษาที่ส่วนใหญ่มาจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ได้ก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า สมาคมตะขิ่น (Thakins) หรือสมาคมเราชาวพม่า (We Burmans Association) ที่มีเป้าหมายเรียกร้องเอกราชของพม่า ซึ่งสมาคมแห่งนี้ก็มีผู้นำคนสำคัญนามว่า อองซาน (Aung San)
เมื่อถึงปี ค.ศ. 1942 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นส่งกองทัพเข้ามาในพม่า สมาคมตะขิ่นของอองซานก็ให้การสนับสนุนกับญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นให้คำมั่นว่า จะช่วยขับไล่อังกฤษและทำให้พม่ามีเอกราชเป็นของตนเอง
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป สมาคมตะขิ่นก็รู้ว่า คำมั่นของญี่ปุ่นเป็นแค่คำลวงเท่านั้น เพราะญี่ปุ่นอยากยึดครองพม่าแทนที่อังกฤษเอง ดังนั้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1945 อองซานจึงก่อตั้งสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อสู้ฟาสซิสต์ (Anti-Fascist People's Freedom League หรือ AFPFL) ในการต่อสู้กับญี่ปุ่น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลง อองซานและผู้นำเรียกร้องเอกราชพม่าคนอื่น ๆ ก็ได้เจรจากับอังกฤษในการเรียกร้องเอกราช
ในระหว่างการเจรจากับอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 อองซานในฐานะของผู้นำของชาวพม่า ตัวแทนของอังกฤษ และตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ได้แก่ฉาน (ไทใหญ่) กะฉิ่น และชิน ได้ทำข้อตกลงปางโหลง (Panglong Agreement) ที่มีเนื้อหาสำคัญคือ ชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์จะรวมตัวกันเพื่อให้การเรียกร้องเอกราชประสบผลสำเร็จ และเมื่อพม่าได้รับเอกราชแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ก็จะสามารถแยกตัวเป็นอิสระจากพม่าได้เช่นกัน
1
แต่ในปีเดียวกัน อองซานผู้นำคนสำคัญในการเรียกร้องเอกราชพม่า และถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งชาติ กลับถูกลอบสังหารเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราช จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อองซานถูกลอบสังหาร
แต่สิ่งที่ชัดเจนเลยก็คือ ความตายของอองซานได้ทำให้ผลของตกลงปางโหลงไม่ได้เกิดขึ้นจริง และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างชาวพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มาจนถึงทุกวันนี้
ในที่สุด 4 มกราคม ค.ศ. 1948 สหภาพพม่า (Union of Burma) รัฐเอกราชของพม่าก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีเจ้าส่วยแต๊ก (Sao Shwe Thaik) และอูนุ (U Nu) สองนักการเมืองของ AFPFL ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศตามลำดับ
บัดนี้ยุคเอกราชของพม่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ใครจะรู้ว่า พม่าจะเข้าสู่ยุคมืดในไม่ช้า ในปี ค.ศ. 1962 การรัฐประหารที่นำโดยพลเอกเนวิน (Ne Win) เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเผด็จการทหารพม่าที่จะครองอำนาจยาวนานถึง 5 ทศวรรษ
การเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1988 กับเหตุการณ์ 8888 (8 สิงหาคม 1988) ที่เกิดการชุมนุมประท้วงของประชาชนทั่วประเทศ โดยมีผู้นำและสัญลักษณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญคือ อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) บุตรสาวของอองซาน
ในปี ค.ศ. 1990 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซานซูจีเอาชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเหนือพรรคเอกภาพแห่งชาติ (NUP) ที่เป็นพรรคของทหาร ทว่ารัฐบาลทหารไม่ยอมรับการเลือกตั้ง และปกครองประเทศแบบเผด็จการต่อไป นำไปสู่การที่อองซานซูจีถูกรัฐบาลทหารสั่งคุมขังไว้ในบ้าน
1
ท่ามกลางการปกครองที่เป็นเผด็จการ แต่รัฐบาลทหารของพม่า ก็ได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนชื่อประเทศในปี ค.ศ. 1989 จากพม่า (Burma) เป็นเมียนมา (Myanmar) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหภาพเมียนมา (Union of Myanmar)
การเปลี่ยนชื่อประเทศในตอนนั้น รัฐบาลทหารอ้างเหตุผลว่า ชื่อ Burma เป็นสิ่งตกทอดจากยุคอาณานิคม และชื่อเมียนมาสะท้อนถึงคนทุกเชื้อชาติที่อยู่ในประเทศที่ไม่ใช่เฉพาะคนเชื้อชาติพม่าเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริง ชื่อเมียนมามีความหมายเดียวกับพม่า โดยปรากฎชื่อดังกล่าวตั้งแต่สมัยอาณาจักรพุกาม
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี ค.ศ. 2008 (รัฐธรรมนูญที่ยังให้ทหารและกองทัพมีบทบาทในทางการเมือง อย่างเช่นที่นั่งในรัฐสภา 25% ถูกสงวนสิทธิ์ให้กับกองทัพ) นำไปสู่การเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2010 ที่พรรคสหภาพสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่ได้การสนับสนุนจากทหารชนะการเลือกตั้ง โดยที่พรรค NLD บอยคอตการเลือกตั้ง
1
และในช่วงปลายปี ค.ศ. 2010 อองซานซูจีก็ได้รับการปล่อยตัวจากการคุมขังในบ้านพัก รวมถึงชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศก็ถูกเปลี่ยนเป็น สหภาพแห่งสาธารณรัฐเมียนมา (Republic of the Union of Myanmar) ในปีถัดมา
หลังการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2010 เกิดกระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยในเมียนมา และดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 2015 เมื่อพรรค NLD ชนะการเลือกตั้ง นับเป็นครั้งแรกที่เมียนมามีรัฐบาลพลเรือนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962
ทว่าอองซานซูจีกลับไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้ เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้ที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติเป็นประธานาธิบดี อองซานซูจีจึงสถาปนาตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐ ในการบริหารประเทศแทน
พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 แต่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เกิดการรัฐประหารที่นำโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย (Min Aung Hlaing) เมียนมากลับเข้าสู่ยุคเผด็จการอีกครั้ง
การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลทหารกับฝ่ายต่อต้านและกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ นำไปสู่ความขัดแย้งในเมียนมาจนถึงปัจจุบันนี้
อ้างอิง
#HistofunDeluxe
โฆษณา